Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1537
หอเต๋ออี้เป็นโถงโอสถที่ใหญ่ที่สุดของเมืองทางตอนใต้ โดยมีอู๋เฟินเป็นนักหลอมโอสถอับดับหนึ่งประจำอยู่ที่แห่งนี้
ในฐานะที่เป็นถึงโถงสมุนไพรอันดับหนึ่งของเขตเมืองทางตอนใต้ ธุรกิจของหอเต๋ออี้จึงนับว่าเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีการเจรจาติดต่อกันไม่ขาดสาย
“เจ้ากล่าวว่าอันใด?! จู้โหย่วยังไม่ตาย?!”
อู๋เฟินจับจ้องไปที่เถ้าแก่ด้วยความตื่นตกใจยิ่ง
เถ้าแก่คนนั้นพยักหน้าและกล่าวว่า
“ไม่เพียงไม่ตายเท่านั้น แต่เขายังฟื้นคืนกลับมากระฉับกระเฉงราวกับมิใช่คนป่วย! เมื่อเช้านี้เห็นว่าเขาเดินเหินสนทนากับคนของตนอย่างร่าเริงแจ่มใสยิ่ง ราวกับว่าเขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บใดๆมาก่อน!”
คู่สายตาของอู๋เฟิรนหรี่แคบลงในทันใด ยามนี้พลันส่ายหัวอานกล่าวว่า
“นี่เป็นไปไม่ได้! ข้าวินิจฉัยโดยละเอียดดีแล้วด้วยตนเอง! เส้นลมปราณที่เชื่อมต่อกับหัวใจเขาถูกตัดขาดสะบั้น ต่อให้เป็นผู้เป็นอมตะก็ช่วยชีวิตมิได้ แต่นี่เพิ่งผ่านไปเพียงสามวัน เขาจะกลับมาเดินเหินเป็นปกติได้อย่างไร?”
เถ้าแก่ครี่ยิ้มแสนขมขื่นใจยิ่ง เขากล่าวว่า
“ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว นอกจากเส้นลมปราณจะกลับเป็นปกติดังเดิม พิษผลาญกระดูกเพลิงที่กระจายอยู่ทั่วร่างก็ได้รับการขับออกโดยสิ้นแล้ว”
สีหน้าการแสดงออกของอู๋เฟินแปรเปลี่ยนไปทันที เขาขมวดคิ้วแน่นจนเห็นรอยย่นลึกพลางกล่าวน้ำเสียงเคร่งขขรึมว่า
“นี่เป็นไปได้อย่างไร? เขาถูกเด็กนั้นรักษาจนหายได้จริงๆงั้นรึ? ไอ้เปี๊ยกที่ยังไม่โตนั้นจะมีความสามารถขนาดนี้ได้อย่างไร?”
เถ้าแก่งุนงงฉงนใจยิ่งเมื่อได้ฟัง
“พี่อู๋เฟิน เด็กที่ว่าคือใครกัน? ท่านกำลังกล่าวถึงอันใด?”
อู๋เฟินตัวแข็งค้างไปครู่ใหญ่ เขาส่ายหัวกล่าวว่า
“ไม่มีอะไร! นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หอเต๋ออี้และโถงโอสถทั้งหมดของตระกูลตงฟางจะยุติให้ความร่วมมือทั้งหมดกับกลุ่มล่ามังกร ห้ามจำหน่ายโอสถแก่พวกเขา! ในเมื่อพวกมันกล้าดูถูกเราชายชราผู้นี้ เช่นนั้นก็จงรับผลนั้นคืนสนอง!”
สีหน้าการแสดงออกของเถ้าแก่แปรเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะเอ่ยกล่าวอย่างลำบากใจยิ่งว่า
“พี่อู๋เฟิน เอ่อ…กลุ่มล่ามังกรเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเรา การคว่ำบาตรเช่นนี้คงมิใช่ผลดีนัก…”
อู๋เฟินตะคอกสวนเสียงเยียบเย็นว่า
“ทำไม? เห็นข้าไร้ซึ่งอำนาจมากรึไง?”
เถ้าแก่คลี่ยิ้มแสนขมขื่นใจยิ่งพร้อมกล่าวว่า
“พี่อู๋เฟินกล่าวเกินไปแล้ว ท่านย่อมมีอำนาจสั่งการโดยธรรมชาติ เอาล่ะข้าจะเร่งดำเนินการทันที!”
สถานะของอู๋เฟินในตระกูลตงฟางสูงส่งเกินไป แม้เขาจะเป็นเถ้าแก่ของหอเต๋ออี้ แต่ก็ไม่สามารถขัดสั่งของเทพผู้นี้ได้
เพียงว่าสิ่งที่เขาอยากรู้ที่สุดคือ ใครกันที่ทำให้อู๋เฟินผู้สูงส่งขุ่นเคืองจนต้องหันมาจับอาวุธเคลื่อนไหวได้ปานนี้?
…
“เจ้ากำลังกล่าวอันใด? จู้โหย่วมันยังไม่ตายจริงๆ? เป็นไปได้อย่างไร? ศรดับอัสนีของข้าไม่เคยพลาดมาก่อน!”
เมื่อหัวหน้าสองแห่งกลุ่มสุริยะจันทรา เหอเซียวได้ยินดังนั้น ปฏิกิริยาแรกคือไม่อยากจะเชื่อ
ศรดับอัสนีของเรารุนแรงและแม่นยำเสมอมา มันไม่เคยพลาดเป้ามาก่อน!
แม้ว่าเห่อเซียวจะเป็นเพียงเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุด แต่หากอาศัยศรดับอสนีดอกนี้ แม้แต่การจะสังหารยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นก็หาใช่เรื่องยากไม่
ตราบเท่าที่เขามีโอกาสโจมตี!
กลุ่มขนนกเงินนำจ่ายเงินเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อเชิญให้เห่อเซียวดำเนินการโดยส่วนตัว แต่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ผลสุดท้ายกลับต้องประสบความล้มเหลวเช่นนี้
ซิงกวนมิได้ถูกยิงไม่พอ แต่สุดท้ายคนที่เข้าสละชีพเพื่อขวางศรดอกนี้อย่างจู้โหย่วก็ยังไม่ตายอีกด้วย ซ้ำร้ายอีกฝ่ายที่ควรนอนติดเตียง ยังลุกขึ้นเดินเหินราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก! แล้วนี่จะมิให้เขาตกใจได้อย่างไร?
“เหอะ การที่จู้โหย่วเดินเหินทั่วเมืองได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นมันแสร้งกันได้ที่ไหน? นอกจากนี้ยังมีข่าวสะเทือนใจยิ่งกว่า กลุ่มล่ามังกรตอนนี้เปลี่ยนชื่อไปเป็น…กลุ่มอัสนีคำรนแล้ว!”
สีหน้าการแสดงออกของเหอเซียวเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ประหลาดใจแล้วยังมีเรื่องประหลาดใจกว่า
เกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มล่ามังกรกันแน่?
“วันนี้ที่เจ้ามาหาข้าเพื่อต้องการจัดการเรื่องนี้กระมัง? ข้าดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่ว่าจู้โหย่วจะตายหรือไม่กลับไม่เกี่ยวข้องกับข้าแล้ว! หรือเป็นไปได้ไหมที่กลุ่มขนนกเงินของเจ้าจะคิดกลับคพูด?”
หลัวอวี้ยิ้มและกล่าวว่า
“มั่นใจได้เลย ถนนเชียนถิงสามสายหลัก หนึ่งในนั้นย่อมเป็นของพวกเจ้า! ที่ข้ามาในวันนี้เพียงต้องการหารือเท่านั้น ในเมื่อท่านประมุขทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้ เราจะไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเขตเมืองตอนใต้ได้อีกต่อไป ก่อนหน้านั้น พวกเรามาร่วมมือกันกำจัดกลุ่มอัสนีคำรนก่อนดีหรือไม่? เจ้าในฐานะประมุขคนต่อไปคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
ในบรรดาสามกลุ่มอิทธิพล เป็นกลุ่มสุริยันจันทราที่แข็งแกร่งที่สุด
ความแกร่งกล้าของประมุขกลุ่มสุริยันจันทราอยู่ใกล้เคียงกับยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าขนานแท้ที่สุด และเขาสามารถทะลวงขึ่นไปได้ทุกเมื่อ
หลายปีที่ผ่านมา เขาปลีกวิเวกเก็บตัวอย่างเงียบงันมาโดยตลอด
และความแข็งแกร่งของเหอเซียวเองก็ใกล้เคียงกับอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นเช่นกัน
ตามกฎของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์คือ ยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าจะไม่สามารถแทรกแซงกิจของเมืองชั้นนอกได้
เมื่อถึงเวลานั้น เหอเซียวจะขึ้นกลายมาเป็นประมุขกลุ่มสุริยันจันทราคนต่อไป
เหอเซียวจับจ้องปืที่หลัวอวี้พร้อมคู่สายตาหลายหลากความหมาย
“เจ้า…คิดจะภักดีต่อกลุ่มสุริยันจันทรากระมัง?”
หลัวอวี้ยิ้มกล่าวว่า
“นกที่ดีย่อมเลือกต้นไม้เกาะ! กลุ่มอิทธิพลทั้งสามของเราต่อสู้แข่งขันกันอย่างเปิดเผยมาเป็นเวลาหลายปี แต่ในสายตาของสามตระกูลใหญ่กลับมองพวกเราเป็นแค่ริ้วล้อข้างถนน ทว่าตอนนี้ในที่สุดพวกเราก็ให้กำเนิดยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าขึ้นมาได้ นี่คือเวลาที่เราจำต้องพึ่งพิงซึ่งกันและกัน!”
เมื่อเอ่ยกล่าวออกไปเช่นนั้น หลัวอวี้เองพลันสีหน้าหม่นหมองลงพร้อมหลากอารมณ์ที่ผันผวนซับซ้อนไม่ต่าง
อำนาจอิทธิพลของกลุ่มอำนาจทั้งสามด้อยกว่าสามตระกูลใหญ่อย่างเห็นได้ชัด เพราะพวกเขาไม่มียอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ประมุขทั้งสามกลุ่มล้วนแข่งขันกันอย่างดุเดือด เพื่อเดาว่าใครกันที่สามารถบุกทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าเต็มขั้นได้ก่อนกัน
และเมื่อพินิจมองในยามนี้ ดูเหมือนจะเป็นประมุขของกลุ่มสุริยันจันทราที่มีความเป็นไปได้สูงสุด!
แม้ว่ายอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าจะไม่สามารถเข้าแทรกแซงกิจของเมืองชั้นนอกได้อย่างโจ่งแจ้ง แต่หลับหลังในเงามือย่อมเคลื่อนไหวได้เป็นธรรมดา
เมื่อเหอเซียวได้ยินเช่นนั้นก็อดยิ้มมิได้ว่า
“ยังคงเป็นประมุขหลัวที่เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างดีที่สุด ต่างจากเจ้าซิงกวนที่ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น แจ่ความแกร่งกล้าของซิงกวนเองก็น่าเกรงขามอย่างมาก หาใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ!”
หลัวอวี้ยิ้มและกล่าวตอบว่า
“ในอดีตเขาหาใช่เรื่องง่ายที่จะต่อกร แต่ในตอนนี้…ไม่รู้ว่าเห็นใดไฉนซิงกวนถึงแตกหักกับปรมาจารย์อู๋เฟิน ทั้งธุรกิจของหอเต๋ออี้กับตระกูลตงฟางต่างพากันคว่ำบาตรกลุ่มอัสนีคำรนกันหมด หากปราศจากตระกูลตงฟางค่อยหนุนหลัง ซิงกวนคงยังพลิกสวรรค์ได้กระมัง?”
เหอเซียวเลิกคิ้วกล่าวว่า
“นี่เป็นเรื่องจริงรึ?”
หลัวอวี้ยิ้มกล่าวว่า
“จริงยิ่งกว่าทองบนฟันข้าอีก!”
ทั้งสองสบตากันเล็กน้อยก่อนระเบิดหัวเราะลั่น
…
บนถนนสายหนึ่งปรากฏชายขนหนังสืออายุเยาว์วัยกำลังเดินเตร่ติดตามชายหน้าสวยอีกคนอยู่บนท้องถนน
“คุณหน…เอ่ย…นายน้อย นี่ก็สายมากแล้ว ควรรีบกลับ…”
ชายขนหนังสือที่ไล่ตามมาติดๆเอ่ยกล่าวขึ้น
เยาวชนอีกที่อีกฝ่ายติดตามอยู่ เป็นนายน้อยหนุ่มใบหน้าสวย ผิวพรรณละเอียดอ่อนนวลขาวประดุจหิมะ คู่ดวงตากลมโตและใสบริสุทธิ์ยิ่ง หากสังเกตให้ดีควรจะเป็นหญิงงามที่ปลอมตัวเลียนแบบผู้ชายเสียมากกว่า
ถึงแม้จะพยายามแต่งตัวปิดบังขนาดนี้ รวมทั้งยังมิได้แต่งหน้าใด ทว่าทั้งหมดทั้งมวลกลับไม่สามารถปิดกั้นความงดงามของนางได้เลย
หนุ่มหน้าหวานจ้องเขม็งใส่อีกฝ่ายพลันดุขึ้นว่า
“เจ้าฮวนน้อย อยากกลับจนคันแล้วรึไง? เจ้าเข้าใจคำว่าหนีออกจากบ้านหรือไม่? กลับไปงั้นรึ? กลับไปเพื่ออันใด? นั้นก็มิได้ต่างกับเดินไปหากับดักเลยรึไง?”
ฮวนน้อยเองก็ดูจะเป็นหญิงสาวปลอมตัวมาเช่นกัน ยามนี้รีบเม้มริมฝีปากงามและไม่กล้ากล่าวอันใดอีกต่อไป
ทันใดนั้นหนุ่มหน้าหวานก็เงยหน้า พลันพบเห็นป้ายร้านค้าแห่งหนึ่ง‘ร้านรับจ้างสารพัด’เขียนอยู่เป็นอักษรใหญ่โต ดูอย่างไรก็เป็นเพียงร้านขายโอสถเล็กๆเส็งเคร็งร้านหนึ่งเท่านั้น เห็นแบบนี้หนุ่มหน้าหวานพลันปั้นหน้าดูถูกอย่างอดมิได้
“เหอะ ร้านขายโอสถเล็กๆเช่นนี้คงไม่มีแม้แต่จอมเทพโอสถสามดาวด้วยซ้ำ ยังกล้ากล่าวอ้างว่ารับจ้างสารพัดงั้นรึ? เช่นนั้นขอดูเสียหน่อยว่าจะสามารถทำได้ทุกคำขอจริงๆหรือไม่!”
ในขณะที่เอ่ยปากขึ้นนั้นเอง หนุ่มหน้าหนาวก็ก้าวแช่มเดินตรงเข้าไปในร้านทันที
“เจ้าของร้าน! ป้ายด้านหน้าร้านมันเขียนว่า รับจ้างสารพัด เจ้าคงหลอมกลั่นโอสถได้ทุกชนิดกระมัง?”
เจ้าของร้านรีบเร่งออกมาทักทายทันที พร้อมท่าทีเก้อเขินเล็กน้อย
“ก็เอ่อ…ตามนั้นเลยนายน้อย”
เจ้าของร้านคนนี้ดูท่าอ่อนประสบการณ์นัก เมื่อวานมีคนขอให้ทำร้านค้าแห่งนี้ขึ้นมากะทันหัน และสิ่งที่เจ้าของร้านผู้แสนเขินอายคนนี้ร้องขอคือ ช่วยทำป้ายคำว่า‘ร้านรับจ้างสารพัด’ขึ้นและติดไว้หน้าทางเข้า
ยามนี้แค่ออกมาพบหน้าลูกค้าก็เหงื่อตกเสียแล้ว เอ่อ…หรือข้าปลอมเสียงดูน่ากลัวเกินไป?
อย่างไรก็ตาม เจ้าของร้านคนนี้ยังเป็นเด็กน้อยอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นต้น ทว่ากลับขี้โม้ขนาดนี้เลยงั้นรึ? เด็กตัวแค่นี้จะหลอมกลั่นโอสถทุกชนิดได้อย่างไร?
เช่นนี้คงต้องลองจับผิดกันเสียหน่อยว่าอย่างไร?
“จริงๆงั้นรึ? เจ้าเป็นเจ้าของร้าน? เหอะ ฟังดูไม่เลว นี่คงมิใช่อวดอ้างขี้โม้หลอกลวงผู้คนไปเรื่อยกระมัง?”
หนุ่มหน้าหนาวแสยะยิ้มกล่าวอย่างเยือกเย็น
…………………………………