Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1599
เมื่อมองไปยังจุดแสงสลัวที่หรี่ลงทุกที หลิงหยุนก็ถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า
“ช่างน่าเสียดายนัก! ยอดอัจฉริยะนักหลอมโอสถแห่งยุคกลับต้องมาเผชิญพบชะตากรรมเช่นนี้!”
ยามใดที่จุดแสงหายไป นั้นแสดงว่าบุคคลผู้นั้นจะหายลับตลอดกาลนิรันดร์ จะไม่สามารถกลับออกมาจากห้วงแห่งความโกลาหลได้อีก
แต่หรงซูกล่าววาจาเหยียดหยามขึ้นว่า
“นี่เป็นเพราะเขารนหาที่ตายเอง! เขาคิดว่าการที่ตนเองหลอมกลั่นได้ขั้นเทวะโมฆะ จะทำให้เขาไร้เทียมทานและไม่จำต้องฟังคำตักเตือนของผู้ใดอีกต่อไป! ผ่านไปไม่กี่วัน ผยิ่งผยองถึงขั้นท้าทายห้วงมิติสืบทอดเสียแล้ว!”
หลิงหยุนเหลือบมองไปที่หรงซู แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าเอ่ยเสริมเติมต่อใดๆ
ศึกการต่อสู้ระหว่างชนชั้นสูง ลูกปลาตัวน้อยที่มีตำแหน่งแค่ผู้ดูแลย่อมไม่สามารถเข้าไปข้องเกี่ยวได้
นอกจากนี้เอง เขายังเข้าใจดีถึงเจตนาของผู้อาวุโสใหญ่ที่มาในวันนี้ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรอยู่ดี
ทันทีทันใด ดวงตาคู่นั้นของหลิงหยุนพลันสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง เขาเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจขึ้นว่า
“หื้ม? จุดไฟสว่างขึ้นอีกครั้งแล้ว!”
สีหน้าการแสดงออกของหรงซูพลิกเปลี่ยนฉับพลัน ก่อนพบว่าจุดไฟนั้นสว่างขึ้นแล้วจริงๆ
“หุหุ ดูเหมือนว่าสิ่งนี้อาจทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ต้องผิดหวังเสียแล้ว!”
ทันทีทันใด สุ้มเสียงของซวนอี้ก็ดังกึกก้องจากด้านหลัง
หลิงหยุนปวดเศียรขึ้นฉับพลัน สองขั้วอำนาจใหญ่ประหนึ่งคู่กัดตลอดมา กลับโคจรพบหน้าในเวลาเดียวกัน!
แต่ผู้อาวุโสเย่เองก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะชักพาสองขั้วอำนาจใหญ่ให้เคลื่อนไหวจริงๆ
หรงซูตะคอกเสียงเย็นตอกกลับทันทีว่า
“เพียงยื้อชีวิตต่ออายุไปอีกเล็กน้อย! อันตรายจากห้วงแห่งความโกลาหลนั้นวิปบาสเพียงใด ใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ตัว!”
ซวนอี้เหลือบมองหรงซู พร้อมคู่แววตาหลากความหมาย เขากล่าวว่า
“ผู้อาวุโสใหญ่ อารมณ์ค่อนข้างแปรปรวนมิใช่น้อย! ผู้อาวุโสเย่ถือเป็นเสาหลักของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ หากเขาเสียชีวิตลงภายในนั้น ท่านกล่าวราวกับว่ามันไม่ส่งผลกระทบใดๆเลยต่อเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์?”
สีหน้าการแสดงออกของหรงซูมืดครึ้มลงทันใด ก่นเสียงเย็นใส่ว่า
“เราชายชราคนนี้อารมณ์มิค่อยจะดีนัก! การกระทำของผู้อาวุโสเย่นับว่าไม่สมควร! เขาเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ แต่กลับวิ่งแจ้นเข้ามาในหอยุทธ์เพื่อแสวงหาความบันเทิง! ซวนอี้ หากผู้อาวุโสเย่ตายลงไปจริงๆ กลับต้องเป็นเจ้าที่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด!”
ซวนอี้อดสำลักมิได้เมื่อได้ยิน ทันทีทันใด เขาค้นพบได้ทันทีว่า เมื่อเย่หยวนไม่อยู่ข้างกาย เรื่องต่อฝีปากกลับต่อกรกับผู้อาวุโสใหญ่มิได้เลย
ที่ว่ากล่าวออกไปในทีแรก นับว่าดักตัวเองโดยแท้!
หรงซูกรนเสียงเย็นอีกคำโต และสะบัดแขนเสื้อไปทันที
เมื่อเห็นว่าจุดแสงของเย่หยวนสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง ความจริงแล้ว เขาเองก็รู้สึกไม่สู้ดีนัก
ซวนอี้จับจ้องไปที่จุดแสงนั้นด้วยความกังวลใจยิ่ง
ซึ่งในความเป็นจริง สถานการณ์ในปัจจุบันของเย่หยวนก็ค่อนข้างเลวร้ายนัก
ห้วงมิติยิ่งนานเข้ายิ่งซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติของเนย่หยวนไม่ในขณะนี้ ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนร่างของเขาให้เหาะเหินผ่านอากาศได้อีกต่อไป
หลังจากใช้ความพยายามอย่างหนัก เขาก็ค้นพบพื้นที่ห้วงมิติบางส่วนที่มีความเสถียรอยู่บ้างเล็กน้อย เพื่อพักหายใจ
“ให้ตายเถอะ ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ ข้าจะไปทำความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติได้อย่างไร? นี่พวกบรรพชนทิ้งมรดกเอาไว้หรือต้องการฆ่าคนเล่น?”
เย่หยวนเอ่ยปากบ่นไม่หยุดเจือโทสะไม่น้อย
หวู่เฉินกล่าวว่า
“ห้วงมิติแห่งความโกลาหลแห่งนี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง แต่ในเมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมาจุดปลายเช่นกัน หากเจ้าค้นพบจุดสิ้นสุดของที่แห่งนี้ได้ เจ้าจะเปิดโลกทัศน์ครั้งใหม่!”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านต้องการจะสื่อดี แต่จุดจบที่ว่าช่างหายากเย็นเสียเหลือเกิน กล่าวมักง่ายกว่าทำเสมอ”
หวู่เฉินยิ่มและกล่าวว่า
“เจ้าคิดหรือว่า แนวคิดแห่งห้วงมิติจะจับจ้องกันได้ง่ายดุจผักกะหล่ำปลี? ผู้ที่เข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติล้วนแต่เป็นอัจฉริยะหนึ่งในล้าน แม้เจ้าจะสามารถอนุมานในความคิดจนเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ แต่เจ้าก็ทราบดีว่านั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยว ต่อให้ตายก็ไม่สามารถทำความเข้าใจต่อแนวคิดได้ง่ายๆ”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของหวู่เฉินไปแบบนั้น เย่หยวนก็คล้ายกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในทันใด
“ผู้อาวุโส เมื่อครู่ท่านกล่าวว่าอย่างไร?”
เย่หยวนเอ่ยสวนกลับไปทันทีอย่างตื่นอกตื่นเต้น
หวู่เฉินกล่าวตอบไปว่า
“ข้าบอกว่า ต่อให้ตายก็ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายๆ”
เย่หยวนโบกมือปัดและกล่าวว่า
“ไม่ใช่! ไม่ใช่! ก่อนหน้าประโยคนั้น!”
หวู่เฉินเกาหัวแกรกแสนมึนงง ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบไปว่า
“ข้ากล่าวไปว่า แม้เจ้าจะสามารถอนุมานในความคิดจนเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงเศษเสี้ยว เจ้ามีปัญหาอันใดรึ?”
เย่หยวนตบต้นขาตัวเองฉะใหญ่ อุทานลั่นด้วยความดีใจ
“นั้นไงล่ะ! ไฉนข้าโง่ปานนี้! ก็ที่ข้าเข้าใจเป็นเพราะข้าอนุมานมันผสานเข้ากับเต๋าแห่งดาบ แล้วไฉนข้าต้องเริ่มต้นเข้าใจอะไรใหม่ ทั้งๆที่มีรุนรอนพื้นฐานตั้งแต่ต้นแล้ว!”
หวู่เฉินเอ่ยถามเจือสีหน้าฉงนใจว่า
“หมายความอย่างไร? หรือเจ้าจะใช้เพลงดาบเพื่อเป็นตัวกลาง? มันจะได้ผลรึ?”
เย่หยวนรวนหัวเราะเล็กน้อย กล่าวตอบไปว่า
“ต้องได้ผลแน่นอน! ขอบคุณท่านอาวุโสยิ่งสำหรับคำชี้แนะ มิฉะนั้นข้าคงต้องตายเกิดเป็นชาติที่สามแล้วกระมัง!”
ทันทีที่กล่าวจบ เย่หยวนก็ชักดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าขึ้นมาทันที
“เพลงดาบเมฆาลับแล!”
ดาบยาวในมือเย่หยวนเคลื่อนขยับ เข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าในทันใด
ท่ามกลางเพลงดาบไสว ห้วงมิติยังคงโกลาหลสับสนวุ่นวายไปหมด
แต่ทันทีทันใด ห้วงมิติทั้งหมดก็ปะทุเดือดราวกับกำลังจะถล่มลงมา
อย่างไรเสีย เย่หยวนประดุจไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ทั่วกายายังคงมีเพลงดาบของเขาห่อหุ้มไว้อยู่
แกร๊ก! แกร๊ก!
ห้วงมิติกำลังแตกสลาย!
ทว่าในเวลานั้นเอง ร่างของเย่หยวนก็อันตรธานหายวับไปทันใด ตรงเข้าสู่บริเวณต่อไป
เย่หยวนยังไม่หยุดแค่นั้น แต่ยังคงร่ายรำเพลงดาบต่อไป
พื้นที่ห้วงมิติโดยรอบแตกกระจายออก ร้าวรานลามมาถึงบริเวณที่เย่หยวนยืนอยู่อย่างรวดเร็ว
ยามนี้เย่หยวนตระหนักพบแล้วว่า เป็นเพราะเขาสำแดงใช้เพลงดาบเมฆาลับแลจึงทำให้ห้วงมิติแห่งนี้บ้าคลั่งยิ่งขึ้น
ราวกับว่าห้วงมิติแห่งนี้รับรู้ได้ถึงพลังของแนวคิดแห่งห้วงมิติ มันจึงเพิ่มระดับแนวคิดให้อยู่สูงกว่าผู้มาท้าทายเล็กน้อย
แต่ถึงอย่างไร แนวคิดแห่งห้วงมิติก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจเพิ่มระดับเองได้ในทันที
ฤดูใบไม้ร่วงสู่ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูกาลภายในห้วงมิติแปรเปลี่ยนเป็นวัฏจักร เวลาผ่านไปแล้วสามปี
สามปีที่ผ่านมา เย่หยวนยังคงร่ายรำเพลงดาบไม่หยุดหย่อน
พินิจมองให้ดี เพลงดาบที่เย่หยวนสำแดงใช้ในปัจจุบัน ช่างงดงามและประณีตกว่าแต่ก่อนเสียเหลือเกิน
เห็นได้ชัดยิ่งว่า ความเข้าใจของเขาต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติยามนี้ ลึกซึ้งไปอีกขั้นแล้ว
ในวันนี้เย่หยวนเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้นภายในใจ
บูมมม!
ห้วงมิติอันว่างเปล่าถูกเคมดาบเย่หยวนสะบั้นแตกสลายโดยตรง!
ทันทีทันใด ภาพฉากเบื้องหน้าเย่หยวน แปรเปลี่ยนกลายเป็นวิสัยทัศน์แปลกตาไม่รู้จัก
ภายในห้วงพื้นที่แห่งนี้ คงความเสถียรมากเสียยิ่งกว่าพื้นที่ก่อนหน้า
ทันใดนั้นเอง สายตาการจับจ้องของเย่หยวนก็แปรเปลี่ยนไปทันใด คลื่นยักษ์ถาโถมเข้าสู่จิตใจโดยพลัน
เพราะไม่ใกล้ไม่ไกลกลับมาใครบางคนอยู่จริงๆ!
คนที่มีชีวิต!
ใครคนนั้นกำลังนั่ง่สมาธิอยู่ ในเวลาต่อมา เขาก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับจ้องไปที่เย่หยวน
เย่หยวนเผยท่าทีแสนระวังตัว พร้อมกระชับดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าในมือแน่น
ดาบจักรพรรดิล้ำฟ้าเป็นสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำก็จริง แต่ก็ยากที่จะรับประกายได้ว่า จะใช้ป้องกันตัวจากคนๆนี้ได้!
เย่หยวนไม่สามารถหยั่งถึงอีกฝ่ายได้เลยสักนิด แต่ด้วยขอบเขตอันไกลโพ้นของหวู่เฉิน เขาตระหนักได้ทันทีว่า อีกฝ่ายเป็นถึงขุมพลังอาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาว!
แม้ว่าเย่หยวนจะมิได้เกรงกลัวอีกฝ่าย แต่สุดท้ายนี้ยังต้องใช้ความระมัดระวังตัวอย่างมาก
ปรากฏว่าเบื้องหน้าของเขาเป็นชายชราคนหนึ่งในชุดสีดำ สายตาที่จับจ้องคู่นั้นไร้ประกายชีวิตชีวาราวกับว่าเขาตายลงไปแล้ว
เย่หยวนมั่นใจได้ในทันทีว่า อีกฝ่ายน่าจะเป็นอัจฉริยะแห่งหอยุทธ์เมื่อนานมาแล้ว เขายังคงอยู่ที่นี่เพื่อพยายามทำความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งห้วงมิติแห่งนี้
เว้นเสียแต่ว่า เขายังคงถูกขังอยู่ที่นี่และไม่สามารถออกไปไหนได้
เย่หยวนคิดไม่ถึงเลยว่า ยังมีคนรอดชีวิตจากห้วงมิติแห่งนี้จริงๆ
คนๆนั้นขนาดตัวเท่าเย่หยวน เขาปริปากกล่าวขึ้นพร้อมเสียงแหบแห้งขึ้นว่า
“มาที่นี่เท่ากับแสวงหาบทลงโทษให้ตัวเอง! เจ้าหนูน้อย ไม่จำเป็นต้องตั้งท่าป้องกันเช่นนั้น เมื่อมาถึงที่นี่ เจ้าจะไม่มีวันออกไปได้อีก ส่วนสมบัติราชันพระเจ้าเลิศล้ำนั้น ข้ามิได้ต้องการ”
เย่หยวนรู้สึกมึนงงอย่างยิ่งยวด
“หมายความว่าอย่างไร?”
ชายชราคนนั้นหลับตาลงอีกครั้งและกล่าวว่า
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
…………………………………