Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1656
ตอนที่ 1656 ความลำบากของอาณาจักรเต๋าบรรพกาล
“ถึงขั้นเชิญทายาทจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้มาแบบนี้ ดูท่าของในครานี้มันจะดีจริง!” หวู่เฉินบอก
เย่หยวนนั้นจึงถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ “โอ้? จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้คนนี้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลย?”
หวู่เฉินตอบ “ยิ่งเสียกว่านั้นอีก! เจาสามารถอ่านดวงชะตาฟ้าดินได้ สามารถรู้ถึงความเป็นความตายของนักยุทธ แยกของจริงจากสิ่งลวงมากมายมหาศาล และเป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ที่น่าเกรงขามที่สุดคนหนึ่ง! จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้มีพลังในการมองที่ไม่เป็นรองใคร! เห็นปราณเทวะนั้นไหม? นั้นคือสิ่งที่เรียกว่าปราณเทวะเฉียนจี้ มีแต่ตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้และลูกหลานเท่านั้นที่จะสามารถบ่มเพาะปราณแบบนั้นได้ มันคล้ายๆ กับความสามารถเฉพาะของสายเลือด”
เย่หยวนพูดขึ้นด้วยท่าทางตกใจ “มันยังมีปราณที่ลึกลับปานนั้นอยู่ด้วย?”
หวู่เฉินตอบ “หากจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้บอกว่าใครจะได้เป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ คนๆ นั้นก็จะขึ้นสู่อาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้จริงๆ หากเขาบอกว่าใครจะต้องตายลงก่อนไปถึง พวกเขาเหล่านั้นก็จะพบจุดจบอย่างเลี่ยงไม่ได้! ตราบเท่าที่มันเป็นเรื่องที่จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ทำนาย มันไม่เคยที่จะผิดพลาดมาก่อนเลย!”
เย่หยวนนั้นตื่นตระหนกอยู่ในใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะยังมียอดคนที่สามารถมองความลับของสวรรค์ออกได้ขนาดนั้นอยู่!
แต่สิ่งที่เย่หยวนไม่รู้ก็คือไม่นานก่อนหน้านี้ เต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งได้เข้าไปเยี่ยมเยือนจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ที่คฤหาสน์ของเขา
“เฉียนจี้ห้าร้อยปีก่อนเจ้าบอกว่าเขาแห่งถงเทียนเกิดความผิดปกติขึ้น ตอนนี้เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้หันไปมองเต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งด้วยดวงตาที่เปี่ยมความนัยก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เฉิงหมิ่ง เจ้าเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้กฎของข้า เรื่องราวเกี่ยวกับเขาแห่งถงเทียนนั้นข้าไม่คิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับมัน!”
หากคนนอกมาได้ยินจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้พูดกับเต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งแบบนี้พวกเขาคงตกใจจนตาแถบถลนแน่ๆ
ยอดคนอาณาจักรเต๋าบรรพกาลนั้นคือตัวตนที่อยู่เหนือและห่างไกลจากโลก
ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพสวรรค์ เมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าพวกเขามันก็ไม่ต่างจากมดปลวกเลย
แต่จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้คนนี้กลับไม่แสดงท่าทีเคารพใดๆ ต่อเต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งเลยแม้แต่น้อย
เต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งขมวดคิ้วแน่น “เรื่องนี้ ข้าย่อมรู้ดี ข้าแค่อยากถามเจ้าว่าเวลานั้นมันมาถึงหรือยังก็เท่านั้น!”
พูดจบเขาก็ทำหน้าตาเศร้าหมอง ราวกับว่าได้ผ่านเรื่องราวที่สั่นสะท้านแผ่นดินมา
สิ่งใดก็ตามที่ทำให้ยอดคนอาณาจักรเต๋าบรรพกาลแสดงท่าทางอ่อนแอออกมาได้ขนาดนี้มันต้องไม่ธรรมดา
เฉียนจี้ถอนหายใจยาว “เจ้าเองก็ผ่านยุคก่อนมาแล้ว เจ้าน่าจะพอรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร เรื่องแบบนี้มีความจำเป็นหรือที่ต้องยังมาถามข้า? ทุกคนนั้นต่างกล่าวว่าเต๋าบรรพกาลนั้นมีชีวิตนิรันดร์ แต่เรื่องนั้นมันก็เพราะว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ดูจุดจบของเต๋าบรรพกาลก็เท่านั้น ในโลกใบนี้หากจะมีสิ่งใดที่ยั่งยืนเป็นนิรันดร์มันก็คงมีแค่เขาแห่งถงเทียนเท่านั้นใช่ไหมล่ะ? หรือบางทีแม้แต่เขาแห่งถงเทียนก็อาจจะไม่ได้เป็นนิรันดร์อย่างแท้จริง! เรื่องแบบนี้ไม่มีใครรู้ได้หรอก”
เต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งเปลี่ยนสีหน้าไปทันทีเพราะคำพูดของจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นไปจี้ใจดำเขาเข้า
คนบนโลกนี้ต่างกล่าวว่าเต๋าบรรพกาลนั้นเหนือล้ำโลกไม่สนใจสิ่งใด แต่พวกเขาหาได้รู้ไม่เลยว่าอาณาจักรเต๋าบรรพกาลเองก็มีปัญหาของอาณาจักรเต๋าบรรพกาลเช่นกัน
“เช่นนั้น มันจะมารึ?” เต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งถาม
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้ยิ้มตอบ “อ่า เฒ่าหมิ่ง เวลามันก็ผ่านไปตั้งนานนมแล้วเจ้าคิดถึงมันไม่เลิกอีกรึ? ความเป็นความตายมันล้วนถูกกำหนดโดยโชคชะตา หาใช่สิ่งที่เจ้าหรือข้าจะกำหนดมันได้”
ใบหน้าของเต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งสั่นสะท้านขึ้นก่อนจะถอนหายใจยาว “พูดมันง่ายแต่ทำมันยาก!”
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้เหลือบมองดูอีกฝ่ายก่อนจะพูดขึ้นอีกครา “วันนั้น ข้าได้เห็นนิมิตยามค่ำคืน ที่ทิศใต้มีแสงฉีสีม่วงพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า เรื่องราวผิดปกติต้องเกิดขึ้นแน่ แต่นี่เป็นความลับของสวรรค์ข้าจึงไม่ได้รับรู้ถึงมัน”
ดวงตาของเต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งเบิกกว้างก่อนร่างของเขาจะหายลับไป
“เฮาหยู!”
ไม่นานก็มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฎตัวออกมาต่อหน้าเต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่ง
“เต๋าบรรพกาล!” จักรพรรดิเทพสวรรค์เฮาหยูตอบรับอย่างสุภาพ
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฮาหยูนั้นรู้สึกกลัวอยู่ในใจเพราะการที่เต๋าบรรพกาลจะเรียกเขามาแบบนี้มันจะมีขึ้นแค่ในรอบล้านปี แล้ววันนี้มันจะมีเรื่องอะไรกันแน่?
เต๋าบรรพกาลเฉิงหมิ่งพยักหน้า “เจ้าจงรีบส่งคนออกไปทางใต้เพื่อค้นหาให้ละเอียด ดูมาว่าในรอบห้าร้อยปีนี้มีเหตุการณ์ประหลาดใดเกิดขึ้นบ้าง! ข้าต้องการรู้ถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้น เข้าใจนะ?”
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฮาหยูจึงรีบตอบกลับไป “ขอรับ ข้าน้อยน้อมรับ! ข้าน้อยจะรีบส่งคนออกไปเดี๋ยวนี้!”
…
“ที่ทุกท่านเห็นอยู่นี้คือของเรียกน้ำย่อยในการประมูลครั้งนี้ วรยุทธระดับห้า นามดาบเทพเทวาลับ! นี่เป็นวรยุทธที่สุดจะแข็งแกร่ง ผู้ใช้สามารถใช้มันช่วยในการบ่มเพาะไปได้จนถึงอาณาจักรนภาสวรรค์! แต่ละระดับการบ่มเพาะผู้ใช้ก็จะสามารถชนะทุกผู้คนในระดับเดียวกันได้! ราคาเริ่มต้นที่หมื่นล้าน! การเรียกแต่ละครึ่งต้องเคาะราคาอย่างน้อยห้าร้อยล้าน!”
ดูท่าแล้วเจียงเจิ้นเทาคงเคยชินกับการจัดงานประมูลแบบนี้มาก เพราะเขาสามารถทำให้สนามประมูลร้อนแรงขึ้นมาได้ตั้งแต่ของชิ้นแรกแบบนี้
วรยุทธระดับห้า นั้นมันเป็นสิ่งที่เกิดมาจากยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เป็นอย่างน้อย มันจึงมีพลังที่ไม่ธรรมดาเลย
แถมทั้งเรื่องการช่วยในการบ่มเพาะและเจียงเจิ้นเทายังยกเรื่องการที่จะทำให้ชนะทุกผู้คนในระดับเดียวกันได้มาเป็นจุดขาย ทำให้ความต้องการของทุกผู้คนยิ่งสูงมากขึ้นกว่าเก่า
ไม่นานนักวรยุทธระดับห้า อันนี้ก็ถูกประมูลไปในราคาหนึ่งหมื่นหกพันห้าร้อยล้าน
แต่เย่หยวนไม่คิดจะสนใจแม้แต่น้อย ไม่ว่ามันจะเป็นวรยุทธที่แข็งแกร่งแค่ไหนมันก็ไม่มีทางดีไปกว่าของเหมาะกับตัวเขา
และแน่นอนว่าเพลงดาบเมฆาลับแลนั้นเหมาะกับตัวเขามากที่สุด!
เพลงดาบเมฆาลับแลนั้นคือเพลงดาบที่ใช้คู่กับบัญญัติเทพแห่งถงเทียน ไม่มีวรยุทธใดจะมาทดแทนมันได้
ชนะทุกผู้คนในระดับเดียวกันนั้นเป็นคำพูดที่เป็นได้แค่มุกตลกต่อเย่หยวน
เพราะพลังฝีมือของเขาในตอนนี้มันข้ามอาณาจักรไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
ระดับเดียวกัน?
สำหรับเย่หยวนมันต้องชนะข้ามระดับเท่านั้น!
ลุงหวงคนนั้นพยายามจะพูดกล่อมนายน้อยจิงลู่ของเขาจนได้รู้ถึงความน่ากลัวของเมืองหลวงลาภสายน้ำ และได้เข้าใจว่ามันน่ากลัวแค่ไหน
จิงลู่นั้นถูกจัดให้มานั่งในเขตสวรรค์ ซึ่งที่นี่เองก็เป็นห้องส่วนตัวเช่นกัน เพียงแค่ว่ามันเป็นห้องส่วนตัวที่ไม่หรูหราเท่าเขตสูงสุด
“นายน้อย เป้าหมายของเราในครานี้คือศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดนะ หากถึงเวลาประมูลมันแล้วเราไม่มีผลึกปราณเทวะพอเราจะทำอย่างไรเล่า?” ลุงหวงเตือน
จิงลู่นั้นยกมือขึ้นมาบอกปัดอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องห่วงน่า วันนี้เราเตรียมผลึกปราณเทวะมาด้วยถึงหนึ่งแสนสองหมื่นล้าน มันพอที่จะชนะศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดนั้นมีประโยชน์แค่กับอาณาจักรราชันพระเจ้า หมายความว่ามันจะไม่มีค่ามากมายกับอาณาจักรนภาสวรรค์ ราคาจึงไม่มีทางขึ้นไปสูงมากมายแน่ แถมเจ้าวรยุทธระดับห้าชิ้นนี้ หากเมืองจักรพรรดิทำนองสุริยะของเราได้มันไปก็จะเป็นเหมือนเสือติดปีก จะมีใครกล้าว่าอะไร?”
ลุงหวงที่เห็นท่าทางไม่แยแสของจิงลู่นั้นได้แต่ต้องยอมแพ้และถอนหายใจยาวออกมา
เขารู้ดีว่านายน้อยของเขาคนนี้มีอารมณ์ความคิดระดับไหน ขืนพูดต่อไปก็จะโดนโกรธใส่เปล่าๆ
ราคาหนึ่งหมื่นหกพันห้าร้อยล้านนั้นมันเกินกว่าคุณค่าของวรยุทธนี้ไปแล้ว ลุงหวงคนนี้จึงไม่คิดว่ามันคุ้มค่านัก
เพียงแค่เขาไม่กล้าที่จะพูดมันออกมาก็เท่านั้น
หลังจากนั้นการประมูลก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และราคาขายส่วนมากล้วนแล้วแต่เกินกว่าสองหมื่นล้านทั้งสิ้น
ค่ำคืนนี้มันมีของดีขึ้นประมูลมากจริงๆ
แต่ของพวกนั้นไม่ได้เข้าตาเย่หยวนเลยแม้แต่น้อย เขาจึงไม่ได้สนใจมันมากมาย
“ข้าคิดว่าค่ำคืนนี้คงมีหลายๆ คนที่มาเพื่อจะประมูลสิ่งนี้กัน นี่คือศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดที่เราเจอในสายแร่เก่า ไม่เพียงแค่มันจะชิ้นใหญ่เท่านั้น แต่มันยังบริสุทธิ์มากๆ เสียด้วย เฒ่าคนนี้รับรอบได้เลยว่ามันจะช่วยนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวหรือนักยุทธอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวให้เข้าใจวิธีสวรรค์ได้ ศิลาวิญญาณสวรรค์ไร้สิ้นสุดชิ้นนี้มีราคาเริ่มต้นที่สองหมื่นแปดพันล้านการเคาะเรียกราคาแต่ละครั้งต้องเคาะไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันล้าน! เอาล่ะ เริ่มการประมูล!”
“สามหมื่นห้าพันล้าน!” เมื่อเจียงเจิ้นเทาพูดจบก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทันที เพิ่มราคาไปถึงเจ็ดพันล้าน
ลุงหวงนั้นได้แต่นั่งหน้าเสียอยู่ข้างๆ เพราะนายน้อยจิงลู่คนนี้ช่างไร้ซึ่งความอดทนเสียจริงๆ
การประมูลนั้นมันคือสงครามเงินตรา พูดเสียงดังไปแล้วจะได้อะไร?
“สามหมื่นเจ็ดพันล้าน!”
“สี่หมื่นล้าน!”
“ห้าหมื่นล้าน!”
จิงลู่เคาะราคาเพิ่มไปถึงหมื่นล้านในคราเดียว จึงทำให้ผู้คนเงียบลงทันที