Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1743
“ฮ่าๆๆ ช่างเป็นเด็กที่อวดดีเสียเหลือเกิน! ถึงขั้นกล้าพูดแบบนี้ออกมาหน้าวิหารนักบวช เจ้าไม่คิดจะเห็นเหล่าผู้อาวุโสท่านอยู่ในสายตาเลยใช่ไหม?” มู่หยวนชุนหัวเราะ
เพราะเหล่าผู้อาวุโสแห่งวิหารนักบวชนั้นล้วนแล้วแต่ใช้เวลานานหลายต่อหลายปีในการฝึกฝนวิชาโอสถมา
ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์หรือเผ่าอสูร สุดท้ายแล้วนักหลอมโอสถมันก็คืออาชีพที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนตัวอย่างมากอาชีพหนึ่ง เป็นเรื่องที่ทุกผู้คนต่างรู้ดี
แต่เย่หยวนกลับมาพูดจาอวดดีเช่นนี้!
เรื่องนี้ทำให้เหล่าอสูรหนุ่มทั้งหลายต่างหันมาชี้หน้าเย่หยวนและว่ากล่าวไปต่างๆ นาๆ
ไม่ใช่ว่าเย่หยวนนั้นเกิดอยากอวดดีขึ้นมา แต่เป็นเพราะว่าเขาอยากจะยืมพลังของวิหารนักบวชมากจริงๆ เขาจึงเลือกที่จะดึงดูดความสนใจผู้หลักผู้ใหญ่ของวิหารมาให้ได้
เพราะเหล่าอัจฉริยะทั่วๆ ไปจะมีปัญญาพูดแบบนี้หรือ?
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาก็ต้องทำตัวเองให้เด่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้เหล่าผู้อาวุโสในวิหารนักบวชได้เห็นความสามารถ!
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะยังไม่มีปัญญาไปพูดเรื่องความสามารถใดๆ ก็ตาม
เย่หยวนบอกกลับไป “อย่ามาพูดกันให้มากความอีกเลย สุดท้ายนี่ก็เป็นการสอบ ผลลัพธ์ย่อมเหนือคำพูดอยู่แล้ว”
เฒ่าที่ทำหน้าที่รับสมัครจึงถามขึ้น “เจ้าหนุ่ม หากข้ารู้ว่าเจ้าแค่คิดมาป่วนวิหารนักบวชเราเจ้าจะได้เจอดีแน่!”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “ผู้น้อยย่อมรู้ถึงเรื่องนั้นดี!”
ชายแก่จึงถาม “เจ้ามีนามว่า?”
“เย่หยวน!”
ชายแก่คนนั้นพยักหน้ารับและโยนป้ายไม้ไปให้เย่หยวน
เย่หยวนรับป้ายมาและเข้าไปต่อแถวอยู่ในตำแหน่งท้ายสุด
ในกลุ่มยอดอสูรที่มากันวันนี้ เย่หยวนมองดูพวกเขาอยากตื่นตา
ตอนนี้บนที่นั่งเหนือวิหารนั้นมีชายชราสามคนปรากฏตัวขึ้น คลื่นพลังที่ออกมาจากร่างของพวกเขาทั้งหลายนี้ช่างเหนือล้ำ
ชายชราทั้งสามนี่แต่งตัวด้วยชุดนักบวชวีม่วง พร้อมดาวห้าดวงบนอก นั่นแสดงว่าพวกเขาทั้งสามนี้คือนักบวชห้าดาว และยังเป็นผู้อาวุโสของวิหารด้วย!”
ผู้อาวุโสคนตรงกลางค่อยๆ เปิดปากขึ้นพูด “กงหลิน เริ่ม!”
กงหลินก้มหัวรับคำสั่ง “ขอรับท่านอาจารย์!”
ได้เห็นเช่นนั้นเหล่าอสูรที่ด้านล่างก็เริ่มประหม่ากันขึ้นมา
กงหลินเดินไปที่ด้านหน้าผู้คนและกล่าวขึ้นอย่างชัดเจน “เริ่มการสอบนักบวชฝึกหัดได้ รอบแรกเป็นการสอบควบคุมไฟ! ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทั้งหลายย่อมคุ้นเคยกับมันดี มันจะมีกระดาษอยู่ทั้งหมดสามแบบที่ทำมาจากไม้ที่ต่างกันไป คือไม้ไหมทองเทวะ ไม้หอมควันม่วงเทวะและไม้หลิวเมฆา พวกเจ้าจงเลือกมันตามพลังฝีมือของตน ตราบเท่าที่พวกเจ้าไม่เผามันจนไหม้ ก็จะถือว่าผ่าน! แต่ข้าต้องขอเตือนไว้ด้วยว่าพวกเจ้าจงเลือกตามฝีมือของตัวเองให้ดี การเลือกกระดาษนี้เหล่าผู้อาวุโสจะคอจับตามองมันอย่างดี มันจะเป็นตัวตัดสินทรัพยากรต่างๆ ที่เจ้าจะได้หลังจากเจ้ามาเป็นนักบวชฝึกหัดแล้ว เพราะเช่นนั้นจงแสดงพลังฝีมือที่ตัวเองมีออกมาให้ถึงที่สุด ให้เหล่าผู้อาวุโสท่านได้เห็น! แต่ละคนมีโอกาสสองครั้ง เริ่มได้!”
เย่หยวนมองดูที่กระดาษตรงหน้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
เพราะไม้เทวะทั้งสามชนิดนี้มันแตกต่างกันอย่างมาก ความต้านทานความร้อนของไม้แต่ละชนิดหลังจากทำมาเป็นกระดาษมันจึงย่อมแตกต่างกันไป
การใช้ไฟศักดิ์สิทธิ์เผากระดาษไม่ให้ไหม้นั้นมันหมายความว่านักหลอมโอสถผู้นั้นต้องมีเทคนิคการควบคุมไฟชั้นสูง
แค่ประมาทนิดเดียวมันก็จะเปลี่ยนให้กระดาษกลายเป็นเถ้าได้
เพราะอย่างไรเสียไฟศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่นั้นมันก็รุนแรงมากพอที่จะเผานักยุทธระดับสามลงได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องพูดถึงกระดาษที่บางราวปีกแมลงนี้เลย
การทดสอบเช่นนี้มันเป็นอะไรที่ยากเย็นมากจริงๆ ทดสอบความแม่นยำและความบริสุทธิ์ ช่วยเปิดหูเปิดตาเย่หยวนอย่างมาก
แต่การควบคุมไฟนั้นมันง่ายแสนง่ายสำหรับเขา
ภายใต้คำของกงหลิน เหล่าอสูรหนุ่มทั้งหลายต่างเริ่มออกมาทำการทดสอบไปทีละคนๆ แต่ส่วนมากที่พวกเขาเลือกนั้นก็จะเป็นกระดาษที่ทำจากไม้ไหมทองเทวะ
ในไม้ทั้งสามนี้ ไม้ไหมทองเทวะทนไฟได้ดีที่สุด ส่วนไม้หลิวเมฆาทนไฟได้น้อยสุด
หมายความว่าพวกเขาทั้งหลายเลือกที่จะใช้ของง่าย เช่นนี้แล้วมันก็คงไม่ไหม้ไปง่ายๆ
เย่หยวนมองดูเหล่าอัจฉริยะทั้งหลายนี้ควบคุมไฟและได้แต่ส่ายหัวออกมา
อ่อนเกิน!
แม้ว่าเผ่าอสูรจะมีการสร้างระบบหลอมโอสถของตนขึ้นมาเอง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ดีกว่าเผ่าปีศาจมากนัก เผ่าอสูรนั้นยังมีฝีมือที่หยาบกระด้างมากหากเอาไปเทียบกับเผ่ามนุษย์
งานละเอียดอ่อนเช่นนี้ พวกเขายังคงทาบมนุษย์ไม่ติด
แต่อย่างน้อยๆ พวกเผ่าอสูรก็ยังเก่งกว่าเผ่าปีศาจ
“พระเจ้าช่วย! อีกนิดเดียว!”
“อย่าไหม้นะ อย่าไหม้! พระเจ้าช่วย!”
“ให้ตายเถอะ ทำไมมันถึงไหม้อีกแล้วเล่า? สิบปีของข้าสูญเปล่าอีกแล้ว!”
…
เหล่าอสูรนับร้อยกำลังรวมตัวกันอยู่ในโถงใหญ่
แต่คนส่วนมากนั้นไม่สามารถจะผ่านการทดสอบด้วยกระดาษจากไม้ไหมทองเทวะเสียด้วยซ้ำ
แต่มันก็มีคนเก่งๆ บ้างที่พอจะผ่านไปด้วยกระดาษจากไม้ไหมทองเทวะ
และคนที่ผ่านด้วยกระดาษจากไม้หอมควันม่วงเทวะยิ่งมีน้อยเข้าไปอีก!
“ต่อไป มู่หยวนชุน!” กงหลินตะโกนบอก
ในที่สุดมู่หยวนชุนก็เดินขึ้นสนามมา
มู่หยวนชุนหันมามองเย่หยวนด้วยรอยยิ้มอันเหนือกว่า “เด็กน้อย เจ้าเบิกตาดูให้ดีว่านายน้อยคนนี้ควบคุมไฟอย่างไร!”
เย่หยวนยิ้มและไม่คิดจะตอบใดๆ
มู่หยวนชุนรู้สึกเหมือนตัวเองต่อยอากาศเข้าจึงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
เขาเดินขึ้นไปหยิบกระดาษจากไม้หลิวเมฆาและนั่นทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันที
“พระเจ้าช่วย มู่หยวนชุนคิดจะท้าทายกระดาษจากไม้หลิวเมฆา พลังฝีมือของเขามันน่ากลัวปานนี้เลยหรือ?”
“ได้ยินว่าคราวก่อนนักบวชกงหลินเองก็ท้าทายกระดาษจากไม้หลิวเมฆาเช่นกัน เรื่องนั้นมันยังพูดกันมาจนทุกวันนี้!”
“หึ เจ้าจะไปรู้อะไร? ข้าได้ยินว่าผู้อาวุโสฉีหยูนั้นตัดสินใจรับเขาเป็นศิษย์มาก่อนแล้ว หากเขาไม่มีฝีมือถึงขั้นนี้เขาจะมีปัญญาได้รับตำแหน่งนั้นมาหรือ?”
…
สำหรับเหล่าอัจฉริยะหนุ่มเหล่านี้แล้ว กระดาษที่ทำจากไม้หลิวเมฆานั้นมันยากจนเกินไป
เพราะแม้แต่นักบวชฝึกหัดบางคนก็ยังไม่มีปัญญาจะผ่านการทดสอบนี้
คนที่ท้าทายและผ่านไปได้นั้นล้วนแล้วแต่กลายเป็นยอดอัจฉริยะของโลกโอสถฝั่งอสูร
หลังจากเข้าวิหารนักบวชไปได้ พวกเขาทั้งหลายนี้จะได้รับการปฏิบัติอย่างสูงส่ง
เหมือนกงหลิน เพราะหลังจากเขาท้าทายไม้หลิวเมฆาได้แล้วเขาก็ถูกผู้อาวุโสรับไปเป็นศิษย์ตรงทันที อีกไม่กี่ต่อมาก็ได้กลายเป็นนักบวชได้
เพราะต่อให้คนทั่วๆ ไปจะผ่านการทดสอบไปได้ ต่อให้เวลาผ่านไปเป็นร้อยๆ ปีพวกเขาก็คงยังเป็นได้แค่นักบวชฝึกหัด
ทุกคนได้แต่กลั้นใจมองดูมู่หยวนชุน
มู่หยวนชุนนั้นมั่นใจมาก ไฟสีฟ้าค่อยๆ ลุกขึ้นจากมือของเขาอย่างอ่อนโยนราวสายน้ำ
กระดาษจากไม้หลิวเมฆานั้นติดไฟอย่างเงียบงัน แต่กลับไม่มีรอยไหม้ใดๆ
ไฟสีฟ้านั้นไหลไปเหมือนสายน้ำ กระจายตัวไปทั่วกระดาษทั้งแผ่นจนปกคลุมกระดาษไปได้ทุกมุม
เมื่อเหล่าอัจฉริยะคนอื่นได้เห็นภาพนี้ พวกเขาก็ได้แต่มองดูมันอย่างตื่นตะลึงจนตาแทบหลุดออกมาจากเบ้า
“ช่างเป็นเทคนิคการคุมไฟที่สุดยอดอะไรเช่นนี้ ถึงกับไม่มีรอยไหม้ใดๆ เลย!”
“ข้าเองก็เคยเห็นกงหลินคุมไฟเมื่อคราวก่อน และมู่หยวนชุนในตอนนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าเขาเลย!”
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้รับเป็นศิษย์ก่อนจะผ่าน ที่แท้พลังฝีมือของเขาก็เป็นของจริง”
…
บนที่นั่งสูงนั้นผู้อาวุโสทั้งสามต่างพยักหน้าออกมาด้วยท่าทางที่แสนพอใจกับมู่หยวนชุนมาก
ขนาดเย่หยวนยังอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าตาม
การคุมไฟของมู่หยวนชุนนี้เหนือล้ำสมควรแก่คำชมจริงๆ
ไม่นานนักมู่หยวนชุนก็หุบมือตัวเองและปล่อยให้กระดาษลอยไว้ตรงนั้น
กงหลินรับมันไปมองดู ก่อนจะพยักหน้าออกมาและยิ้มบอก “ควบคุมอุณหภูมิได้เยี่ยม ไม่มีร่องรอยความเสียหาย ผ่าน! ศิษย์น้องมู่ อีกไม่นานเราคงได้เป็นศิษย์พี่น้องกันแล้ว!”
มู่หยวนชุนก้มหัวลงอย่างนอบน้อม “หยวนชุนคารวะศิษย์พี่กงหลิน!”
กงหลินยิ้มตอบ “อีกสองรอบหลังเจ้าก็จงทำให้ได้ดีเช่นนี้ อาจารย์ของเรามองดูอยู่นะ!”
มู่หยวนชุนตอบกลับ “ขอรับศิษย์พี่!”
ดูท่าแล้วตอนนี้มู่หยวนชุนคงคิดว่าตัวเป็นได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสแน่แล้ว
เมื่อทุกคนได้เห็นภาพนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่แสดงท่าทางตกตะลึงออกมา
ไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้ ดูท่ามันจะเป็นเรื่องจริงแล้ว!