Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1842 ใครกันแน่ที่โง่
ตอนที่ 1842 ใครกันแน่ที่โง่
เย่หยวนแบกร่างหมดสติของเล้งซู่เดินผ่านตามทางที่คนผู้นั้นบอกมา เมื่อเขาเดินมาถึงตรอกตามที่ว่าสภาพของเย่หยวนที่แบกชายหมดสติมาไว้บนหลังมันย่อมทำให้ผู้คนไม่น้อยต้องหันมามองด้วยความสงสัย
มุมปากของตงน้อยตกลงมาและกล่าวขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้าเด็กคนนี้มันช่างชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเสียจริงๆ!”
ในสายตาของนักยุทธแล้ว สายสัมพันธ์ที่จะก่อขึ้นกับเรื่องเช่นนี้มันไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง
ไม่ว่าอย่างไรเสียนอนเมาอยู่แค่คืนเดียวมันคงไม่ทำให้ใครถึงตาย
ที่สำคัญชายคนนั้นยังบอกมาด้วยว่าสถานการณ์ของตระกูลเล้งนั้นมันไม่ค่อยดีนักในตอนนี้
แต่เย่หยวนกลับยิ้มตอบกลับไป “แค่ส่งคนเมากลับบ้าน เรื่องเล็กน้อยน่า”
ตงน้อยได้แต่ส่ายหัวออกมาอย่างที่ไม่คิดจะเถียงสิ่งใด
ดูแล้วมันก็ชัดเจนมากว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้มากแค่ไหน
‘ฟุบ!’
จู่ๆ ก็มีสองเงาร่างบินลงมาจากท้องฟ้าบินหน้าและหลังของเย่หยวนไว้
สภาพของเย่หยวนในตอนนี้ไม่ต่างจากหนูติดจั่น
ตงน้อยถอนหายใจออกมาพร้อมพูดบอก “นั่นไง ปัญหามาถึงแล้ว”
แต่ว่าใบหน้านั้นของเขากลับไม่มีท่าทางกังวลมากมาย
แต่เมื่อเห็นการมาถึงนี้เย่หยวนกลับทำหน้าดำมืดขึ้น
เพราะคนที่มาดักทางของเขาในตอนนี้มันไม่ใช่ใครที่ไหน ชายคนที่บอกชี้ทางให้เขาในร้านสุรานั่นเอง
ส่วนอีกคนก็เป็นชายที่ร่วมโต๊ะกับเขาคนนั้น
ชายคนนั้นมองเย่หยวนด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “เด็กน้อย เจ้าทำดีมากที่พามันมาส่งถึงตรงนี้ วางมันลงเสียแล้วเจ้าจงไป”
เย่หยวนขมวดคิ้ว “เจ้าคิดชักนำข้ามาที่นี่? ที่แท้ปัญหาที่เจ้าเตือนมันก็คือตัวเจ้านี่เอง”
ชายคนนั้นหัวเราะลั่นขึ้น “ข้ารับเงินผู้อื่นมาเพื่อแก้ปัญหาให้ ปัญหาของมันนั้นมิใช่ปัญหาของเจ้า แต่หากเจ้าดื้อด้านอยากรับปัญหาไปด้วยมันก็ย่อมได้ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้มันก็คงไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว”
เมื่อใดก็ตามที่นักยุทธมึนมาจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาเองก็จะเข้าสู่สถานะสงบนิ่งไปด้วย และย่อมไม่มีทางที่จะรับรู้ได้ถึงภัยอันตรายจากภายนอกเลย
เพราะฉะนั้นหากผู้คนไม่ได้มีเรื่องใดให้หนักใจมากจริงๆ พวกเขาก็ย่อมไม่คิดจะดื่มจนเมาอย่างเล้งซู่
สภาพของเล้งซู่ในตอนนี้มันเหมือนหมูที่นอนรอให้คนมาเชือด
เย่หยวนมองดูชายคนนั้นอย่างเลือดเย็น “หากเป็นเช่นนั้นการที่เจ้าบอกให้ข้าไปได้มันก็เพื่อที่จะให้ข้าไม่ทันระวังตัวใช่ไหม? เพราะดูท่าเจ้าจะเป็นคนเจ้าแผนการและทำงานละเอียดรอบคอบทีเดียว”
เมื่อชายคนนั้นได้ยินเขาก็หัวเราะลั่นออกมา “เด็กคนนี้เจ้ามันช่างฉลาดแท้! แต่น่าเสียดายที่นิสัยเจ้ามันไม่เหมาะกับการเป็นนักยุทธ ที่แห่งนี้คือโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ความอ่อนโยนของเจ้ามันย่อมทำให้เจ้าไม่ได้ตายดี! ชาติหน้าขอให้เกิดมาโหดร้ายกว่านี้ก็แล้วกันนะ ฮ่าๆๆ…”
คนเรานั้นไม่ควรไปยุ่งเรื่องของคนอื่นให้มาก เมื่อทำการพูดหรือลงมือใดๆ ย่อมห้ามลงมือให้เต็มแรง เก็บไม้ตายเผื่อไว้บ้าง นั้นคือความรู้ความเข้าใจที่นักยุทธทุกคนต่างต้องจำให้ขึ้นใจ
แต่เย่หยวนกลับดูเหมือนไม่มีความคิดนี้อยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย
หรือจะบอกว่าเขารู้ แต่กลับไม่ยอมทำ
คน ‘โง่’ เช่นนี้ย่อมจะได้ตายลงไม่ช้าก็เร็ว
เย่หยวนมองดูเขาอย่างเย็นชา “เจ้ามั่นใจเหลือเกินราวกับว่าจะชนะข้าได้แล้ว”
ชายคนนั้นยิ้มรับ “เจ้าว่าอย่างไรล่ะ? เจ้าคงไม่คิดว่าตัวเอง นภาสวรรค์หนึ่งดาว จะมาขัดขืนอะไรได้หรอกใช่ไหม? เจ้าอย่าได้ไปพยายามคิดปลุกเล้งซู่เลยด้วย มันไม่มีประโยชน์หรอก”
ชายคนนี้มีพลังบ่มเพาะอาณาจักรนภาสวรรค์สามดาวขั้นต้น ส่วนชายที่ยืนปิดด้านหลังนั้นเป็นนภาสวรรค์สองดาวขั้นสุด
เย่หยวนนั้นเป็นแค่นภาสวรรค์หนึ่งดาวขั้นสุด ย่อมไม่มีทางใดที่จะต่อสู้ขัดขืนเขาได้
“โง่เง่า!” ตงน้อยด่าว่าออกมา
เมื่อชายคนนั้นได้ยินเขาก็หัวเราะลั่นออกมา “ได้ยินไหม? แม้แต่เจ้าเด็กคนนี้ก็ยังด่าว่าเจ้าเป็นคนโง่! แม้เจ้าจะตาย เจ้ากลับคิดจะลากเด็กน้อยคนนี้ไปด้วย น่าเสียใจจริงๆ!”
ตงน้อยอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา เจ้าหมอนี่มันช่างโง่เง่าจนถึงที่สุดจริงๆ ได้ยินเช่นนี้แล้วทำไมยังเข้าใจไปแบบนั้นได้?!
เย่หยวนวางเล้งซู่ลงใกล้ๆ ตัวตงน้อยและบอก “ดูเขาหน่อยนะ ข้าจะรีบจัดการ”
“อ่า” ตงน้อยบอกอย่างสบายๆ ไม่มีท่าทีกังวล
พูดจบเย่หยวนก็หันหน้าไปหาชายคนนั้นอีกครั้ง “นี่ ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง บ้านตระกูลเล้งนี่ผ่านตรอกนี้ไปจริงๆ ใช่ไหม?”
ชายคนนั้นผงะไปไม่น้อยก่อนจะหัวเราะลั่นขึ้น “เพื่อ? เจ้ายังคิดจะอยากส่งวิญญาณมันกลับบ้านอีกหรือ? เด็กน้อยคนนี้มันช่างมีจิตใจซื่อสัตย์ เล่นเอาข้าไม่อยากข้าเจ้าเลยจริงๆ”
เย่หยวนได้แต่ถอนหายใจ “ดูท่าข้าคงต้องไปเดินถามคนอื่นเสียแล้ว แล้วก็ที่ตงน้อยบอกว่าโง่เง่านั้นเขาหมายถึงพวกเจ้าทั้งสอง มิใช่ข้า อืม ข้าคิดว่าก่อนพวกเจ้าจะตายพวกเจ้าน่าจะได้เข้าใจ”
ชายคนนั้นยังไม่ทันเข้าใจว่าเย่หยวนพูดอะไรแต่ร่างของเย่หยวนก็ได้จางหายไปเสียก่อนแล้ว
ชายคนนั้นเบิกตากว้างพร้อมตะโกนลั่น “แนวคิดแห่งห้วงมิติ!”
กลิ่นอายแห่งความตายเข้าปะทะร่างกายของเขาอย่างแรง เขาพยายามปล่อยพลังโลกของตนออกมาเพื่อคิดใช้จับตำแหน่งของเย่หยวน
แต่มันไร้ประโยชน์
‘ฉึก!’
ดาบนั้นพุ่งออกมาจากความว่างเปล่าเข้าแทงลำคอของชายคนนั้นอย่างจังจนมีเลือดสดๆ ไหลสายพุ่งออกมา
เป็นเวลานี้เองที่เขาได้เข้าใจว่าตัวเขานั้นได้มาหาเรื่องตัวตนเช่นไหนเข้า
เมื่อชายที่อีกด้านเห็นเช่นนั้นเขาก็หน้าซีดเผือดลงทันที
ร่างของเขาพุ่งหายวับไปโดยไม่ยั้งคิดใดๆ คิดที่จะหลบหนีออกจากตรอกนี้ให้เร็วที่สุด
น่าเสียดายแค่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าแนวคิดแห่งห้วงมิติสี่ดาวของเย่หยวนแล้วไม่ว่าจะเป็นการหลบหนีด้วยวิธีใดมันก็ไร้ค่า
ฉึก!
อีกดาบพุ่งพวยออกไปฟันนักยุทธนภาสวรรค์สองดาวขั้นสุดคนนั้นลง!
ภายในดวงใจมิติอนัตตานั้นเย่หยวนได้ใช้เวลาสามปีในการเรียนรู้เข้าใจเต๋า ทำให้ความเข้าใจของเย่หยวนต่อแนวคิดเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก
ประกอบกับการต้องมาล่องลอยอยู่ในช่องว่างมิติอีกนับสิบปีมันจึงทำให้เย่หยวนสามารถขึ้นมาอยู่ยังนภาสวรรค์หนึ่งดาวขั้นสุดได้
เมื่อรวมกับแนวคิดแห่งห้วงมิติสี่ดาวและแนวคิดแห่งดาบห้าดาวขั้นกลางแล้ว พลังฝีมือของเขาในตอนนี้มันจึงเหนือล้ำกว่าตอนที่เข้างานชุมนุมการต่อสู้แห่งก่อไผ่ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
นภาสวรรค์สามดาวขั้นสุด หากคนผู้นั้นไม่ได้มีแนวคิดที่เหนือล้ำใดๆ มันก็ย่อมไม่มีพลังฝีมือจะต้านทานเย่หยวนได้
น่าเสียดายที่ชายคนนี้ไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น
การจะสังหารพวกเขานั้นมันง่ายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ
เมื่อได้เห็นเช่นนั้น ตงน้อยก็หรี่ตาลงทันที
“เจ้าเด็กคนนี้มันพัฒนาตัวเองขึ้นอีกแล้ว! เจ้าหมอนี่มันไม่รู้จักคำว่าคอขวดเลยจริงๆ!”
เวลาไม่กี่ปีมานี้ตงน้อยได้เห็นความเร็วการพัฒนาของเย่หยวน
ในเวลาแค่สิบปี เย่หยวนสามารถพัฒนาขึ้นได้อย่างชัดเจนจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เร็วมาก!
ต่อให้เป็นเขาเทพสวรรค์คนนี้ก็ยังได้แต่ต้องชื่นชมความเร็วในการพัฒนาของเย่หยวน
เย่หยวนช่วยยกร่างเล้งซู่ขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่ใช่ว่าเขาคือนายน้อยของตระกูลเล้งหรือ? ทำไมเขาจึงได้มาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้กัน? ถึงกับมีนักยุทธนภาสวรรค์สามดาวมาไล่ล่าหัวเช่นนี้”
ตงน้อยตอบกลับมาด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย “ในตระกูลใหญ่ๆ นั้นการต่อสู้สังหารของพี่น้องมิใช่เรื่องแปลกประหลาดเลย จะสงสัยอะไรอีก?”
เย่หยวนพยักหน้ารับ “เรื่องนั้นก็จริง ไปเถอะ”
บ้านตระกูลเล้งนั้นไม่ได้หายากเย็น แค่ถามคนเดินผ่านไปมาก็รู้ได้ทันที
และจริงๆ สถานที่ที่ชายคนนั้นบอกมามันก็ไม่ได้ไกลจากบ้านตระกูลเล้งจริงๆ นัก เพียงแค่ว่ามันไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องเดินผ่านตรอกนี้
ตรอกนี้คือสถานที่ที่ถูกจัดขึ้นเพื่อดักโจมตีโดยเฉพาะ
แต่น่าเสียดายที่เหล่าผู้ดักทำร้ายนั้นไร้พลัง ทำให้ตัวเองกลับถูกสังหารไปแทน
เย่หยวนเดินมาถึงหน้าบ้านตระกูลเล้งและพบเจอเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่ง
เมื่อชายคนนั้นเห็นเล้งซู่สีหน้าของเขาก็ซีดลงอย่างทันที
เขายกร่างเล้งซู่ลงมาจากหลังเย่หยวนและรีบบอกตะโกนว่า “น้องซู่ ทำไมเจ้าถึงได้ดื่มจนมีสภาพเป็นเช่นนี้กัน? แล้วพวกเจ้าเป็นใคร? เจ้าทำอะไรกับน้องซู่? พวกเจ้าทั้งหลาย! มาจับคนชั่วร้ายสองคนนี้ให้ข้าที!”
………………………..