Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1909 ความคิดบ้าๆ
“ลูกศิษย์?”
เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีก่อนจะหยุดคิดไปนานแสนนาน แต่เขาไปรับลูกศิษย์จริงๆ จังๆ ตั้งแต่ตอนไหนกัน?
แต่คิดไปคิดมาแล้วมันก็คงไม่มีใครที่จะบ้าถึงขั้นมาอ้างเป็นศิษย์เขาหน้าประตูบ้านของเขา
“พาเขาเข้ามา” เย่หยวนสั่ง
ไม่นานนักหนิงเทียนปิงก็ได้นำพาชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีใบหน้าหล่อเหลาได้รูปเข้ามา
“ท่านอาจารย์!” เมื่อชายหนุ่มเห็นเย่หยวนเขาก็ร้องขึ้นมาด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจก้มหัวลงกราบแทบพื้นทันที
เมื่อได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายแล้วเย่หยวนก็จับได้ขึ้นมาทันทีว่าศิษย์คนนี้เป็นใครและตอบรับกลับไปด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจไม่น้อยไปกว่ากัน
“ไป๋เฉิน!”
ชายหนุ่มคนนี้คือศิษย์ที่เย่หยวนรับไว้ตอนยังอยู่ในดินแดนนภาบรรพต เขาคือเจ้าวังเทวะรัตติกาลฉาย ไป๋เฉินนั่นเอง
จากกันไปนับพันปีเย่หยวนย่อมไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาหาเขาถึงที่แห่งนี้จึงรู้สึกอบอุ่นซาบซึ้งหัวใจอย่างมาก
หนิงเทียนปิงและโซชูเจียที่ด้านข้างนั้นมองดูภาพตรงหน้าด้วยใบหน้ามึนงง
ยอดนภาสวรรค์เก้าดาวขั้นสุดผู้นี้กลับเรียกเย่หยวนว่าอาจารย์ มันเป็นเรื่องที่ดูแปลกตาไม่น้อย
พวกเขาย่อมไม่ได้สงสัยในคุณสมบัติของเย่หยวน เพียงแค่ว่าการที่ศิษย์จะเหนือล้ำกว่าอาจารย์ไปได้มันก็ต้องมีขอบเขตกันบ้าง
ที่สำคัญไป๋เฉินคนนี้เองก็ยังหนุ่มยังแน่น แต่กลับสามารถพัฒนาขึ้นไปถึงนภาสวรรค์เก้าดาวขั้นสุดได้มันจึงทำให้พวกเขาแปลกประหลาดใจมาก
“ชิๆ นายท่านนี่ก็เป็นนายท่านจริงๆ แม้แต่ศิษย์ที่รับเข้ามายังยอดเยี่ยมขนาดนี้!” หนิงเทียนปิงบอกขึ้น
“เจ้าเองก็ติดตามนายท่านมานาน เจ้าเคยเห็นท่านรับศิษย์หรือไม่?” โซชูเจียถาม
หนิงเทียนปิงส่ายหัวออกมา “ไม่เคย”
โซชูเจียหรี่ตาลงทันทีด้วยความตื่นตกใจ “เช่นนั้นมันย่อมหมายความว่าศิษย์คนนี้นายท่านรับมาตั้งแต่ก่อนจะมาอยู่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เรา? เช่นนั้นศิษย์คนนี้… ก็จะเก่งกาจจนเกินไปแล้วใช่ไหม?”
ไป๋เฉินนั้นมีอายุที่น้อยกว่าเย่หยวนเสียด้วยซ้ำ เหตุใดเขาจึงสามารถบ่มเพาะได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้กัน?
“ฮ่าๆ รีบลุกขึ้นมาๆ! ไม่นึกเลยว่าผลวิญญาณเต๋าที่เจ้าหลอมซับไปนั้นจะเป็นถึงผลวิญญาณเต๋านภาสวรรค์เก้าดาวขั้นสุด ตอนนี้เจ้ามีพลังที่เหนือล้ำกว่าข้าแล้วเสียด้วยซ้ำ!” เย่หยวนบอกพร้อมหัวเราะขึ้น
หากจะบอกว่าเขานั้นเลี้ยงดูไป๋เฉินมามันก็คงไม่ผิดนัก
การที่เห็นคนที่ได้เลี้ยงดูเติบใหญ่ขึ้นเช่นนี้มันย่อมทำให้เขาปลื้มปีติ
นภาสวรรค์เก้าดาวขั้นสุด แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริงแต่มันก็นับว่าเป็นยอดคนในภูมิภาคได้แล้ว
เมื่อหนิงเทียนปิงและโซชูเจียได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็ได้เข้าใจเรื่องราว แท้จริงแล้วไป๋เฉินนั้นหลอมซับผลวิญญาณเต๋านภาสวรรค์มาจึงได้บ่มเพาะได้รวดเร็วปานนี้
ไป๋เฉินพูดขึ้นมาด้วยความอับอาย “ท่านอาจารย์ อย่าได้ว่าแกล้งข้าเลย ท่านอาจารย์ต่างหากที่บ่มเพาะได้เร็วเหนือคนจนน่ากลัว ในเวลาแค่พันปีนี้ท่านกลับบ่มเพาะจากอาณาจักรปฐมพระเจ้าขึ้นมาจนถึงอาณาจักรที่ท่านอยู่ได้เช่นนี้ มันเป็นเรื่องที่เหนือล้ำอย่างไม่เคยมีมาก่อน! ที่สำคัญท่านอาจารย์นั้นยังมีความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด แต่ข้านั้นมันหมดหวังที่จะบรรลุขึ้นไปได้อีกแล้ว!”
พูดมาถึงตรงนี้ดวงตาของไป๋เฉินก็แสดงความเศร้าหมองออกมา
สำหรับเขาในตอนนั้นแล้วอาณาจักรนภาสวรรค์นั้นเป็นตัวตนที่ไม่อาจเอื้อม ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตมันก็ไม่อาจจะก้าวไปถึง
แต่ตอนนี้เขานั้นเป็นเจ้าแห่งดินแดนนภาบรรพต ยอดฝีมืออาณาจักรนภาสวรรค์เก้าดาว แน่นอนว่าสายตาของเขามันย่อมยกสูงขึ้นอย่างที่ไม่อาจเทียบเคียงกับเมื่อก่อนได้
บนมหาพิภพถงเทียนนี้มันยังมีโกลอีกทั้งใบให้เขารู้จัก!
ก่อนหน้านั้นเย่หยวนเองก็ได้เตือนเขาไว้แล้ว แต่ในตอนนั้นเขาก็ถูกสถานการณ์บังคับพร้อมๆ กับรู้ดีว่ามันเป็นอาณาจักรที่เขาไม่อาจเอื้อมต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิต
แต่ตอนนี้เขาที่ได้ซึมซับผลวิญญาณเต๋าเข้าไปกลับรู้สึกสิ้นหนทาง
นี่เป็นเส้นทางที่เขาเลือกเดิน ตัวเขาย่อมไม่คิดเสียใจภายหลัง แต่หัวใจของเขาก็ไม่อาจต้านทานความรู้สึกว่างเปล่านี้ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้เห็นเย่หยวนที่แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างมากมายผู้นี้แล้ว
เมื่อเห็นท่าทางของไป๋เฉินนั้นเย่หยวนเองก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
ไป๋เฉินนั้นมีพรสวรรค์ที่ดีไม่น้อยในดินแดนนภาบรรพต แต่แม้จะมีพรสวรรค์เช่นนั้นมันยังเป็นเรื่องยากหากคิดอยากบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์
การหลอมผลวิญญาณเต๋านั้นเป็นทางเลือกที่ถูกต้องแล้วสำหรับเขา
แต่ความโลภของมนุษย์นั้นมันไร้สิ้นสุด มีหรือที่ใครจะยอมยืนนิ่งไม่พัฒนาใดๆ เลยในชีวิตได้?
ที่สำคัญไป๋เฉินนั้นยังหนุ่มยังแน่นอยู่มาก
คิดมาถึงตรงนี้เย่หยวนก็เกิดความคิดแสนบ้าขึ้น
ผู้ที่ซึมซับหลอมผลวิญญาณเต๋านั้นจะไม่สามารถบรรลุได้อีกแล้วหรือในชีวิต?
บางทีมันอาจจะมีโอสถที่สามารถช่วยเหลือคนเหล่านั้นที่ซึมซับผลวิญญาณเต๋าให้กลับมาสู่เส้นทางของการพัฒนาได้อีกครั้ง?
เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นในหัวแล้ว ทุกสิ่งอย่างใดๆ มันก็ไม่อาจหยุดยั้งเขาได้อีก
“ไป๋เฉิน สวรรค์นั้นไม่ได้ปิดกั้นเส้นทางไว้จนสิ้น! บางทีมันอาจจะยังมีทางไปต่อได้ ที่เจ้ามาหาข้านี้เจ้ามีธุระใดเล่า?” เย่หยวนยิ้มก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
ไป๋เฉินนั้นคิดว่าเย่หยวนแค่ปลอบตัวเขาด้วยรอยยิ้มฝืนๆ
หลังจากไป๋เฉินหลอมซับผลวิญญาณเต๋าสวรรค์แล้วเขาก็ไม่อาจทำความเข้าใจเต๋าได้อีกต่อไป ทำให้การบ่มเพาะใดๆ ของเขาไม่อาจพัฒนาขึ้นได้อีก
ไม่ว่าเขาจะพยายามหนักเพียงใดมันก็ไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ
เป็นตอนนั้นเองที่เขาได้รู้ว่าอาจารย์ของเขานั้นไม่ได้หลอกขู่เขาเลย
มันไม่มีหวังแล้วจริง!
เพราะเขานั้นแตกต่างจากคนเฒ่าคนแก่ทั้งหลายที่ไปแย่งชิงผลวิญญาณเต๋าสวรรค์กัน เพราะเขายังหนุ่มยังแน่น
เขานั้นไม่คิดยอมแพ้จึงหนีออกมาจากดินแดนนภาบรรพต มายังมหาพิภพถงเทียนเพื่อว่าบางทีอาจจะได้เจอโชคใดๆ บ้าง
ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้มาหาเย่หยวนเช่นกัน แต่ตอนนั้นเป็นเวลาที่เย่หยวนได้จากเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปแล้วทำให้เขาไม่อาจตามติดหาตัวอาจารย์ได้
เพราะฉะนั้นเขาจึงได้แต่เดินทางร่อนเร่ไปในมหาพิภพถงเทียน
แต่ยิ่งเขาได้พบเจอเรื่องราว เขาก็ยิ่งสิ้นหวัง
เขารู้ดีว่าเมื่อหลอมผลวิญญาณเต๋าไปแล้วมันย่อมไม่มีโอกาสใดๆ จะบรรลุขึ้นไปได้อีกเว้นเสียแต่ว่าจะเจอผลวิญญาณเต๋าที่ระดับสูงกว่า
แต่เรื่องนั้นมันแสนยากเย็น!
ยิ่งเป็นผลวิญญาณเต๋าระดับสูงมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งมีโอกาสปรากฏออกมาต่ำมากเท่านั้น
ที่สำคัญเมื่อพวกมันทั้งหลายปรากฏออกมาบนผิวโลกเหล่ายอดฝีมือนับไม่ถ้วนต่างก็จ้องที่จะนำมันมาไว้ในครอบครอง
เพราะฉะนั้นไป๋เฉินจึงยิ่งสิ้นหวัง
“ท่านอาจารย์ ข้าอยากอยู่รับใช้ท่าน หากท่านมีสิ่งใดคิดใช้ศิษย์ผู้นี้ทำศิษย์จะน้อมรับทำมันทั้งสิ้น!” ไป๋เฉินบอก
ไป๋เฉินนั้นซาบซึ้งในบุญคุณของเย่หยวนอย่างมาก หากไม่มีเย่หยวนแล้วเขาก็คงต้องตายลงไปนานแสนนานแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการขึ้นเป็นเจ้าครองดินแดนนภาบรรพตเลย
ตอนนี้เขานั้นมีพลังบ่มเพาะที่ยังพอรับใช้เย่หยวนได้อยู่บ้าง แต่หากปล่อยเวลาผ่านไปอีกไม่นาน เขาคงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะช่วยเย่หยวนทำเรื่องใดๆ อีกต่อไป
เย่หยวนพยักหน้าออกมา “เทียนปิง ไปเรียกคนอื่นๆ มา ข้าจะแนะนำศิษย์ของข้าผู้นี้ให้รู้จัก”
เย่หยวนแนะนำเหล่ายอดฝีมือนภาสวรรค์ของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ให้ได้รู้จักกับศิษย์ของเย่หยวนผู้นี้
เพียงแค่ว่าในจิตใจลึกๆ ของทุกผู้คนนั้นต่างดูถูกเขา นภาสวรรค์เก้าดาวคนนี้อยู่ไม่น้อย เพียงแค่ว่าไม่มีใครคิดจะแสดงมันออกมาตรงๆ
ในหมู่คนทั้งหลายนั้นรวมไปถึงหนิงเทียนปิง อิ้งหมัวหู่และพวกเล้งชิวหลิงทั้งหลายด้วย
เพราะนักยุทธที่หลอมซับผลวิญญาณเต๋านั้นมันเป็นตัวตนที่มักโดนดูถูกเป็นธรรมดา
เรื่องแรกเลยคือพวกเขาทั้งหลายนั้นได้พลังมาอย่างง่ายดายไม่ต้องลงแรงบ่มเพาะ อย่างที่สองคือคนผู้นั้นจะหมดสิ้นอนาคตไม่อาจบรรลุขึ้นสูงกว่าที่เป็นอยู่ได้อีกต่อไป
หากไป๋เฉินไปยังเมืองจักรพรรดิธรรมดาๆ ทั่วไปแล้วเรื่องมันอาจจไม่เป็นเช่นนั้น แต่กับเหล่าผู้ติดตามของเย่หยวนทุกคนนั้นต่างมีอนาคตที่ไม่อาจคาดวัดได้
มีเพียงไป๋เฉินเท่านั้นที่จะไม่พัฒนาอีกต่อไปแล้ว
เพราะฉะนั้นแม้ตอนนี้ไป๋เฉินจะมีพลังบ่มเพาะเหนือล้ำที่สุดในสิบเมืองสันเขาใต้ เป็นยอดฝีมือลำดับที่สองแต่สุดท้ายพวกเขาทั้งหลายก็ยังอดไม่ได้ที่จะดูถูกอยู่ในหัวใจ
แน่นอนว่าสภาพบรรยากาศเช่นนั้นไป๋เฉินเองก็ย่อมสัมผัสได้
แต่เพื่อเย่หยวนแล้วเขาย่อมทนได้
เย่หยวนเองก็เห็นถึงบรรยากาศนั้นเช่นกันแต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป
เพราะเรื่องราวเช่นนี้มันไม่มีใครมั่นใจว่าจะแก้ไขได้ เขาจึงยังไม่ได้พูดออกไป
ที่สำคัญในเวลานี้ทางเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นก็ได้ส่งคนมาด้วย
ในวันนี้จวนเจ้าเมืองจากเมืองหลวงจักรพรรดิเก้ามั่นได้ส่งนักยุทธมาหลายต่อหลายคนพร้อมด้วยนักโทษผู้หนึ่ง เดินทางมาถึงเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์
ชายที่นำหน้ามานั้นเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง
ชายหนุ่มผู้นี้แก่กว่าหยูจินซงเล็กน้อยแต่ก็ยังมีใบหน้าท่าทางที่ดูคล้ายกันอยู่ไม่น้อย
เมื่อเห็นเย่หยวนชายหนุ่มคนนั้นก็ก้มโค้งลงทันที “ข้ามีนามว่าหยูชางหยุน มาหาท่านผู้ตรวจการในวันนี้ตามคำสั่งของท่านพ่อ”
…………………………..