Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1944 ทุกข์จุติ
ภายในห้องลับตอนนี้เย่หยวนกำลังค่อยๆ เปิดฝาขวดใบน้อยออก
กลิ่นโอสถที่ออกมาจากขวดนั้นมันแผ่ไปทั่วทั้งห้องลับนี้และทำให้ผู้ได้รับกลิ่นนี้รู้สึกสดชื่นสดใสขึ้นมาในจิตใจ
“โอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์ขั้นเทวะวิญญาณมรณา…ข้าคิดว่ามันยังไม่น่าจะช่วยให้ข้าขึ้นถึงกายทองคำระดับหกสัมบูรณ์ได้ แต่หากเพิ่มเลือดแท้มังกรเข้าไปแล้วข้าสงสัยเหลือเกินว่ามันจะดันข้าไปถึงได้หรือไม่”
เย่หยวนนั้นไม่คิดลังเลอีกต่อไปรีบกลืนโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์ลงไปในทันที
เมื่อโอสถนั้นไหลลงท้องไปดวงตาทั้งสองของเย่หยวนก็ต้องเบิกกว้างด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่พลุ่งพล่านไปทั้งร่างตั้งแต่หัวจรดเท้า
เย่หยวนพูดบ่นกับตัวเองด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว “สมชื่อเป็นโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์ที่สร้างร่างกายขึ้นมาให้ทำให้เกิดการจุติ!”
โอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์นั้นขึ้นชื่อจากคำสองคำนั้นคือ ‘พันทุกข์’
การกินโอสถนี้ลงไปมันจะเหมือนได้พบเจอเรื่องราวทุกข์ยากพันอย่างเข้ามาพร้อมๆ กันจนครอบงำผู้คนอาจถึงขั้นทำให้อยากตายขึ้นมาเสียดื้อๆ
ต่อให้เป็นผู้มีกายระดับห้าขั้นสุดก็ยังไม่อาจกล้าจะท้าทายกินโอสถชนิดนี้ลงคอไป
เพราะแค่ผิดพลาดครั้งเดียวนั้นผลลัพธ์มันคือความตาย เต๋าสูญสลาย
ยอดฝีมือที่ฝึกกายถึงระดับห้าขั้นสุดได้นั้นย่อมมีร่างกายที่แข็งแกร่งไม่แพ้สมบัตินภาสวรรค์เลิศล้ำขั้นสุด แค่การเปรียบเทียบนี้มันก็มากพอแล้วที่จะอธิบายถึงความแข็งแกร่งของร่างกายนั้น
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ยังไม่อาจจะทนทานพลังของโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์ได้ง่ายๆ
เพราะโอสถชนิดนี้มันบ้าคลั่งจนเกินไป
แน่นอนว่าผลที่โอสถชนิดนี้ให้มันก็ย่อมเหนือล้ำเช่นกัน
และเจ้าโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์ขั้นเทวะวิญญาณมรณานี้เย่หยวนยังเป็นคนหลอมมันขึ้นมาเพื่อร่างกายของตัวเขาเองด้วย
เพียงแค่ว่าเขาไม่นึกไม่ฝันว่าเจ้าโอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์นี้เขาจะหลอมมันขึ้นไปได้ถึงขั้นเทวะวิญญาณมรณา
วรยุทธ์บ่มเพาะนั้นมีพลังที่แตกต่างกันไปแม้จะเป็นนักยุทธ์ในระดับเดียวกันมันก็มีความแตกต่างด้านปราณเทวะให้ได้เห็น พลังฝีมือเทคนิคการต่อสู้ทั้งหลายเองมันก็ย่อมแตกต่างกัน
และวรยุทธ์กายทองคำเก้าอหัตถ์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่การแปลงของกายทองคำเก้าอหัตถ์นั้นมันเป็นขั้นชั้นตำนาน ระดับสัมบูรณ์!
กายทองคำเก้าอหัตถ์นั้นแต่ละระดับมันก็เทียบได้กับการเกิดใหม่ลงจุติ
ว่ากันว่าตอนที่วรยุทธ์กายทองคำเก้าอหัตถ์นี้ถูกสร้างขึ้นมามันถูกพัฒนาขึ้นมาด้วยความเป็นความตาย
นักยุทธ์ผู้ฝึกฝนมันนั้นต้องทำลายกายของตนเพื่อดูดซับพลังของเต๋าสวรรค์และตีสร้างกายทองคำของตนขึ้นมาใหม่!
วิธีการบ่มเพาะฝึกฝนเช่นนี้มันเป็นสิ่งที่สุดแสนอันตรายแต่มันย่อมตามมาด้วยพลังที่เหนือล้ำเช่นกัน
เว้นเสียแต่ว่าการต้องผ่านการจุติถึงเก้าครั้งนั้นมันเป็นเรื่องที่อันตรายจนเกินไปอัตราการตายของผู้ฝึกนั้นสูงยิ่ง
ที่สำคัญยิ่งอยู่ในระดับสูงมันยิ่งเป็นอันตรายหนักหน่วงมากขึ้นตาม
เมื่อขึ้นมาถึงระดับหกหรือระดับเจ็ดแล้วคนที่จะยังสามารถผ่านมันไปได้นั้นมันก็มีไม่มากมาย
ส่วนเรื่องการแปลงระดับแปดในอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์นั้นมันยิ่งมีผู้ขึ้นไปถึงน้อยกว่า
จากนั้นมาผู้คนก็ได้พบเจอวิชาวรยุทธ์เก้าอหัตถ์ที่ไม่ต้องผ่านการจุติใดๆ
วิธีการนี้มันย่อมดูไม่น่าสนใจเท่าของเดิมแต่สุดท้ายผู้ฝึกฝนก็ยังสามารถได้รับพลังที่แข็งแกร่งมาได้
เพียงแค่ว่าหากเทียบกับกายทองคำแล้วมันเป็นพลังที่ต่ำต้อยกว่ามาก
เย่หยวนนั้นได้รับวรยุทธ์นี้มาจากความทรงจำมังกรที่ตื่นขึ้นหลังจากแปลงขึ้นกายระดับห้ามาได้
การบ่มเพาะวรยุทธ์กายพุทธะมังกรสวรรค์นั้นเป็นสุดยอดวรยุทธ์บ่มเพาะของเผ่ามังกร เพียงแค่ว่าวิธีการฝึกกายทองคำที่สมบูรณ์นั้นมันไม่ได้มีพูดถึงในวรยุทธ์กายพุทธะมังกรสวรรค์
มันเป็นสิ่งที่มีแค่เย่หยวนทราบถึงหลังจากแปลงบรรลุขึ้นกายระดับห้ามา
“เย่หยวน เจ้าลองคิดดีๆ ก่อน ผู้คนรุ่นก่อนนั้นได้ซ่อนวิชานี้ไว้มันย่อมหมายความว่าพวกเขานั้นกลัวว่าคนรุ่นหลังจะต้องมาเสียชีวิตไปอย่างใช่เหตุ ที่สำคัญเจ้าเองก็ไม่เคยฝึกฝนร่างกายก่อนบรรลุขึ้นมาถึงกายทองคำระดับห้าเลย การแปลงระดับหกนี้เจ้าจะต้องรับทุกข์จุติของระดับก่อนๆ หน้าไปพร้อมๆ กัน!” หวู่เฉินบอก
เย่หยวนนั้นมีเหงื่อไหลท่วมกายแต่ก็ยังกัดฟันตอบกลับไป “เส้นทางยอดเต๋านั้นยากเย็น! หากคนไม่มีจิตใจที่จะเดินตามเต๋าแล้วจะยังมีหน้าไปพูดถึงยอดได้อย่างไร?”
พูดจบเย่หยวนก็ยกขวดหยกที่บรรจุเลือดแท้มังกรฟ้าออกมาเทใส่ปาก
‘ปัง!’
นั่นทำให้คลื่นพลังอันรุนแรงบ้าคลั่งระเบิดทะลุออกมาจากร่างของเย่หยวน
โอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์และเลือดแท้มังกรฟ้านั้นผสานพลังกันอย่างบ้าคลั่งจนแทบจะฉีกร่างกายของเย่หยวนออกเป็นชิ้นๆ
เย่หยวนนั้นไม่คิดที่จะลังเลใดๆ และเริ่มทำตามวิชากายทองคำที่ถูกบันทึกไว้ในวรยุทธ์กายพุทธะมังกรสวรรค์
เย่หยวนได้แต่สูดหายใจสู้กับความเจ็บปวดนั้นอย่างไม่ส่งเสียงร้องแม้แต่น้อย
เขานั้นทำตามวิชาที่ถูกบันทึกไว้ด้วยจิตใจที่หนักแน่น
โอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์นั้นมันส่งผลได้สมชื่อ
เย่หยวนรู้สึกราวกับว่าเขาได้เผชิญกับความตายอย่างนับครั้งไม่ถ้วน
เขารู้สึกได้ถึงชีวิตและความตายที่เลื่อนลอยผ่านหน้าไปอย่างไม่มีสิ้นสุด
“อ่า! แขนข้า!”
จู่ๆ เย่หยวนก็ร้องออกมาอย่างโหยหวน
จากนั้นกล้ามเนื้อบนแขนของเขาก็ค่อยๆ จางหายไปทีละน้อยเหลือไว้เพียงกระดูกสีขาวสะอาดตา
ไม่นานนักร่างกายของเย่หยวนก็เกลือไว้เพียงกระดูกสีทองคำ เป็นภาพที่ดูน่ากลัวอย่างมาก
ภายใต้ความเจ็บปวดนี้จิตศักดิ์สิทธิ์ของเย่หยวนนั้นแทบจะถูกฉีกทำลายลง
หากไม่ใช่เพราะมีไข่มุกสยบวิญญาณอยู่แล้วจิตของเย่หยวนคงได้แตกสลายลงไปแน่นอน
เย่หยวนเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าทุกข์จุตินั้นมันจะรุนแรงและน่ากลัวได้ปานนี้
ไม่นานนักร่างที่เหลือแต่กระดูกของเย่หยวนก็ค่อยๆ แตกสลายออกเหลือไว้เพียงผงกระดูกจากการผุกร่อน
หากให้พูดตามความเป็นจริงของโลกแล้วสภาพของเย่หยวนในตอนนี้มันไม่เหลือสิ่งใดอยู่และไม่น่าจะสามารถรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอีก
แต่ความเจ็บปวดที่เขารับรู้นั้นมันกลับไม่ลดน้อยลงแถมยังเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ
เย่หยวนนั้นรับรู้ถึงจิตศักดิ์สิทธิ์ของตนได้อย่างแจ่มชัดและเขาก็รับรู้ด้วยว่าตอนนี้โอสถแก่นโกลาหลพันทุกข์มันเริ่มที่จะแสดงฤทธิ์ออกมาแล้ว
เพราะกระดูกแต่ละข้อของเขากำลังได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่!
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแต่ในที่สุดผงกระดูกทั้งหลายนั้นมันก็ได้กลับมารวมกันอีกครั้งก่อให้เกิดเป็นร่างมนุษย์กระดูก
จากนั้นเลือดเนื้อหนังก็ค่อยๆ งอกออกมาจากกระดูกเหล่านั้น
ในที่สุดเย่หยวนที่มีชีวิตก็กลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เย่หยวนได้แต่สูดหายใจเข้าลึก เขานั้นรู้สึกราวกับว่าชีวิตของเขามันได้จบลงไปแล้วครั้งหนึ่ง
“ฮู้ว…นี่หรือคือทุกข์จุติ? น่ากลัวแท้!” เย่หยวนได้แต่ปาดเหงื่อบนหน้าผากพร้อมด้วยความรู้สึกกลัวที่ยังตราตรึงอยู่ในหัวใจ
แต่เย่หยวนนั้นกลับรู้สึกได้ทันทีว่าตอนนี้ร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งมากกว่าเก่า
แต่จู่ๆ ใบหน้าของเย่หยวนก็ต้องถอดสีไปเพราะความรู้สึกเจ็บปวดที่แล่นผ่านร่างเข้ามาราวกับสายน้ำที่หลั่งไหล
ร่างกายของเขากำลังค่อยๆ สูญสลายไปอีกครั้ง!
เย่หยวนรู้ว่าทุกข์จุติครั้งที่สองมันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!
เย่หยวนนั้นรู้ดีในใจว่าเขานั้นยังต้องผ่าฟันมันไปอีกถึงห้าครั้งด้วยกัน
ที่สำคัญทุกข์จุติครั้งใหม่นั้นจะเจ็บปวดกว่าครั้งก่อนหน้าเสมอและยังเป็นอันตรายมากกว่าด้วย
…
ระหว่างที่เย่หยวนกำลังอยู่บนเส้นความเป็นความตายนี้เวลาภายนอกก็ได้ผ่านไปหลายปี
ก่อนจะเข้าสู่การเก็บตัวครั้งนี้เย่หยวนได้หลอมโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าทิ้งเอาไว้มากมายก่อนจะวางมือลง
ในวันนี้บนท้องฟ้าของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้เกิดมีคลื่นพลังอันแสนน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้น
ภายในเมืองไป๋เฉินถึงขั้นหน้าถอดสีเมื่อรับรู้ถึงมันก่อนจะรีบลอยตัวขึ้นไปเผชิญกับผู้มาเยือน
“ท่านเป็นใครกัน? มาที่เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ของเราด้วยเหตุใด?”
คนผู้นี้เหมือนมีหมอกสีดำปกคลุมอยู่รอบใบหน้าคลื่นพลังชั่วร้ายที่เขาปล่อยออกมานั้นหนักหน่วงที่สำคัญพลังของเขาผู้นี้ไม่ได้อ่อนแอแม้แต่น้อย ไป๋เฉินจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม
“เจ้าคือเด็กที่กินโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าและบรรลุอาณาจักรเทพถ่องแท้? ข้าไม่นึกเลยว่าข่าวลือนั้นจะเป็นจริงได้ คนที่กลืนกินผลวิญญาณเต๋าลงไปกลับมีโอกาสจะบรรลุขึ้นมาได้อีก!” ชายคนนั้นมองดูไป๋เฉินและร้องขึ้นด้วยความตื่นตะลึง
ไป๋เฉินนั้นสะดุ้งขึ้นในใจก่อนจะขมวดคิ้วตอบกลับไป “ข้าไม่เห็นเข้าใจว่าท่านพูดเรื่องใด! เรานั้นเป็นแค่เมืองจักรพรรดิเล็กๆ จะเอาโอสถครองวิญญาณผสานเต๋าที่ไหนมา?”
เย่หยวนนั้นได้ขอความร่วมมือจากหอมหาสมบัติไว้ว่าให้บอกชาวโลกทั้งหลายว่าโอสถเหล่านี้เป็นฝีมือการหลอมขึ้นของทางหอมหาสมบัติเอง
เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นเป็นแค่เมืองจักรพรรดิน้อยๆ แน่นอนว่าย่อมไม่มีปัญญาพอที่จะปกป้องสูตรของโอสถนี้
หากคนภายนอกรู้เรื่องเข้าและคิดอยากแย่งชิงสูตรมันไปแล้วพวกเขาก็คงไม่อาจทำอะไรตอบโต้ได้
เพียงแค่ว่าแม้จะทำการปกปิดไปมากมายเช่นนั้นแล้วชายคนนี้ก็ยังตามสืบมาถึง!
ชายผู้นั้นหัวเราะขึ้น “เจ้าหนู เจ้าเลิกแสร้งเถอะ ประตูวิญญาณมรณาของเราได้รับรู้มาแล้วว่าโอสถนี้มันถูกหลอมขึ้นโดยเจ้าเด็กนามเย่หยวน และมันก็น่าจะเป็นนายของเจ้าใช่หรือไม่? ไปเรียกมันมา! ไม่เช่นนั้นแล้วอย่าหาว่าข้าเสียมารยาทสังหารล้างบางผู้คน!”
……………………