Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1984 ไร้ค่า
ร่างกายของซัวโม่ในตอนนี้มันส่องแสงสว่างจ้าออกมาราวกับเขาได้กลายร่างเป็นดวงตะวันไป
พลังงานอันเดือดดาลนั้นมันรุนแรงเสียจนแม้แต่ตัวเฟิงเสี่ยวเถียนก็ยังต้องสั่นสะท้านไปทั้งกาย
พลังของวิชานี้มันเหนือล้ำอย่างมหาศาล!
แน่นอนว่าทางซงหยูก็หน้าซีดเผือดลงทันทีที่สัมผัสได้ถึงพลังนั้น สัญชาตญาณของเขานั้นบอกเตือนถึงความอันตรายตรงหน้าอย่างรุนแรง
แน่นอนว่านั่นมันย่อมจะทำให้เขาลงมืออย่างสุดแรงคิดที่จะไล่กดดันเฟิงเสี่ยวเถียนกลับไปเพื่อเปิดช่องหนี
แต่มีหรือที่เฟิงเสี่ยวเถียนจะยอมง่ายๆ?
ตัวเฟิงเสี่ยวเถียนเองก็ปล่อยพลังโลกออกมาจนถึงขีดสุดเข้าปะทะรับมือซงหยูไว้อย่างหนักแน่น ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้หนีแม้แต่น้อย
ด้วยความที่ฝีมือของทั้งสองนั้นอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน การที่จะทิ้งหนีจากกันนั้นมันย่อมมิใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ
ระหว่างนั้นคลื่นพลังจากร่างของซัวโม่ก็ยิ่งเพิ่มพูนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ร่างกายของเขาแทบกลายเป็นดวงตะวันไปอย่างแท้จริง ส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ
ในเวลานี้ตัวเขานั้นดูราวกับเป็นเทพแห่งดวงตะวัน
วิชาที่ต้องใช้เวลาในการรวบรวมพลังเช่นนี้มันจะค่อยๆ ดูดกลืนพลังจากฟ้าดินรอบๆ เข้ามาให้กลายเป็นพลังโจมตี
เพียงแค่ว่าวิชาเช่นนี้มันไม่ค่อยจะมีใครคิดฝึกฝนกัน ด้วยความที่ต้องใช้เวลานานแสนนานใครกันที่จะมารอให้อีกฝ่ายรวบรวมพลังเสร็จสิ้น?
แต่ตอนนี้ด้วยการที่ตัวเขาได้รับการช่วยเหลือจากเฟิงเสี่ยวเถียน ซัวโม่จึงจะมีโอกาสใช้ไม้ตายอันนี้ออกมา
ในเวลานี้ความร้อนรอบๆ ตัวซัวโม่นั้นเพิ่มพูนพุ่งทะยานสูงขึ้นจนแทบจะมอดไหม้ทุกสิ่งอย่างที่อยู่รอบกายให้กลายเป็นเถ้าธุลี
จากนั้นซัวโม่ก็ค่อยๆ เบิกตาลืมขึ้นมองดูไปทางเย่หยวนก่อนจะหัวเราะลั่น “เย่หยวน เจ้าคงรู้สึกว่าตนนั้นช่างไร้พลังใช่หรือไม่เล่า? เจ้า… ได้แต่มองดูผู้คนตายไปต่อหน้าแต่กลับไม่อาจทำอะไรช่วยเหลือพวกเขาได้! เมื่อใดก็ตามที่ยอดตะวันล้างนี้ถูกปลดปล่อยออกไป มันย่อมจะเหนือล้ำกว่าวิชาใดๆ ในระดับเดียวกันสิ้น! ฮ่าๆ!”
คลื่นพลังแนวคิดแห่งไฟที่รุนแรงนั้นมันทำให้ฟ้าดินสั่นสะท้าน
ซงหยูหน้าซีดเผือดเพราะรู้สึกได้ถึงความตายที่ใกล้เข้ามาเยือน
“ขอบคุณที่ลำบากพี่เฟิง ที่เหลือปล่อยให้ข้าจัดการเอง!” ซัวโม่ร้องบอก
เฟิงเสี่ยวเถียนได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเลาะขยับร่างหนีออกมาจากซงหยูทันที
“หึ วิชานี้ของพี่ซัวช่างเหนือล้ำนัก!” เฟิงเสี่ยวเถียนบอก
ซัวโม่ยิ้มรับก่อนจะดันฝ่ามือออกมาปล่อยคลื่นพลังตะวันอันร้อนแรงนี้ไปใส่ซงหยู
ซงหยูนั้นย่อมคิดอยากจะหนีแต่มันราวกับว่าพื้นที่โดยรอบถูกแนวคิดแห่งไฟเผาล้างไว้ทำให้ร่างกายของเขาไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย
เจ้ายอดตะวันล้างนั้นค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ซงหยูขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ใบหน้าของซงหยูยิ่งซีดขาวลง
จะให้เขายอมมาตายเช่นนี้มันย่อมจะไม่มีทาง
แต่ด้วยเวลาอันกระชั้นชิดทำให้เขาใช้ได้เพียงวิชาดาบที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมา แต่เขาก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันจะลดพลังของเจ้าดวงอาทิตย์ตรงหน้านี้ไปได้สักเท่าไหร่
เขานั้นใช้ปราณเทวะทั้งร่างออกมาพร้อมชักดาบฟันไปด้านหน้าอย่างเต็มแรง
“ดาบเจ็ดยอดไร้สุด!”
ซงหยูร้องบอกพร้อมฟาดดาบออกมาอย่างรุนแรง
เมื่อได้เห็นเช่นนั้นซัวโม่ก็หัวเราะขึ้นมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน “มดปลวกคิดมาหยุดตะวัน ไปตายเสียเถอะ!”
แม้ว่าซงหยูนั้นจะมีพลังดาบที่รุนแรงเพียงใดแต่เขาก็ย่อมจะไม่อาจชักนำพลังของฟ้าดินมาใช้ได้มากมายได้ในเวลาแค่เสี้ยววินาทีทำให้ดาบของเขานี้ย่อมจะไม่อาจเทียบเคียงกับยอดตะวันล้าง
ต่อหน้ายอดตะวันล้างนั้นดาบเจ็ดยอดไร้สุดของซงหยูมันก็เป็นได้เพียงแค่การละเล่นของเด็กๆ
ตอนนี้ใบหน้าของซงหยูนั้นเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดเขาได้รับรู้ด้วยตัวเองแล้วว่าดาบเจ็ดยอดไร้สุดของเขานั้นมันไม่อาจต้านทานใดๆ ยอดตะวันล้างได้เลย
แต่ในวินาทีที่ยอดตะวันล้างปะทะเข้ากับดาบเจ็ดยอดไร้สุดนั้นมันกลับมีคลื่นพลังอีกสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจากระยะไกลและมาถึงในทันที!
‘ปัง!’
พื้นดินสั่นสะเทือน ขุนเขาสั่นไหว
แม้แต่ตัวเทพถ่องแท้อย่างซงหยูก็ยังไม่อาจยืนได้มั่น
เจ้ามารกระดูกทั้งหลายนั้นถูกคลื่นพลังอันแสนรุนแรงนี้เป่าทำลายล้างจนกลายเป็นฝุ่นผง
ซัวโม่นั้นเป็นคนแรกที่ได้รับผลกระทบจากมันจนต้องกระอักเลือดออกมาพร้อมปลิวลอยลิ่วไปด้านหลังจนชนเข้ากับเนินเขาที่ด้านหลังร่างของเขาจึงจะหยุดลง
เขานั้นมองดูเย่หยวนที่ค่อยๆ เดินกลับออกมาจากซากมารกระดูกทั้งหลายด้วยความคิดไม่อยากเชื่อสายตา
ดาบนี้เป็นของเย่หยวน?
“นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกัน?”
“ช่างเป็นดาบที่รุนแรงนัก!”
“เย่หยวนนั้นฟาดดาบนั้นออกมาจากระยะไกลแต่มันกลับเข้ามาถึงก่อน ไม่เพียงแค่พลังของดาบนี้จะดับยอดตะวันล้างลงแล้วมันยังทำให้ซัวโม่บาดเจ็บหนักขนาดนี้ นี่มัน… มันเป็นไปได้อย่างไร?” เฟิงเสี่ยวเถียนร้องขึ้นมาด้วยความตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด
ดาบนี้ที่ถูกปล่อยออกมานั้นมันถูกปล่อยออกมากลางวงล้อมของมารกระดูกทั้งหลาย
และด้วยความเร็วของเย่หยวนตอนนี้เขาจึงได้ใช้เส้นทางที่ถูกดาบนี้เปิดออกพุ่งตัวออกมาจนแทบพ้นเขตของพวกมารกระดูกแล้ว
ซงหยูเองก็ยังไม่อาจตั้งสติให้ตื่นหายจากความตกตะลึงได้ ความตื่นเต้นดีใจใดๆ นั้นมันยังไม่เกิดขึ้นในหัวใจของเขา
เพราะดาบนี้มันทำให้เขางุนงง
เย่หยวนค่อยๆ เดินไปหายังร่างของซัวโม่ที่นอนบาดเจ็บอยู่ก่อนจะกล่าวขึ้น “เจ้าคิดว่าความเมตตาของผู้อื่นนั้นเป็นจุดอ่อนหรือ ช่างน่าขัน! ไม่มีปัญญาจะทำอะไร? แข็งแกร่งที่สุดในระดับเดียวกัน? ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจผิดๆ แบบนั้นมาจากไหนกัน”
ซัวโม่นั้นมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวอย่างถึงที่สุด ไม่ทราบว่าจะเป็นเพราะอาการบาดเจ็บที่เขาได้รับ หรือจะเป็นเพราะความอับอายที่เขาต้องเผชิญกันแน่
เขานั้นเพิ่งจะพูดจาอวดดีว่ากล่าวผู้คนไปไม่ถึงวินาที บอกว่าไม่มีใครจะช่วยซงหยูได้
แต่เย่หยวนนั้นกลับใช้แค่หลังมือตบหน้าเขาจนคว่ำ
ดาบของเย่หยวนนี้มันเหมือนถูกปล่อยลงมาจากสวรรค์ด้วยพลังที่เหนือล้ำจนไม่อาจคาดเดา
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียระหว่างพวกเขามันก็ยังมีเหล่ามารกระดูกนั้นขวางกันอยู่
เจ้าดาบนี้ถูกลดทอนพลังด้วยร่างของมารกระดูกทั้งหลายแล้วแท้ๆ แต่เมื่อมันพุ่งมาถึงมันกลับยังสามารถมีพลังที่เหนือล้นได้ขนาดนี้?
มีหรือที่เทพถ่องแท้สองดาวจะสามารถปล่อยพลังที่รุนแรงขนาดนี้ออกมาได้?
นี่มันพลังของเทพถ่องแท้สี่ดาวชัดๆ!
แท้จริงแล้วเย่หยวนนั้นไม่เคยคิดที่จะเอาจริงเลยสักครั้ง!
ช่างน่าขัน!
“ระหว่างทางมาข้านั้นแค่ไม่คิดอยากจะลดตัวไปล้อเล่นกับพวกเจ้านัก แต่เจ้ากลับคิดว่าตัวเองเป็นคนใหญ่โตหรือ? ยอดอัจฉริยะ? อัจฉริยะเช่นเจ้านั้นมันไร้ค่าใดๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า! จะสังหารเจ้าลงนั้นมันง่ายเสียยิ่งกว่าปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้า!”
คำพูดของเย่หยวนนั้นเฉียบคมจนทำให้ซัวโม่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจอีกต่อไป
ดูแล้วหากเย่หยวนคิดอยากสังหารซัวโม่จริงมันคงง่ายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ
แต่ซัวโม่นั้นไม่ได้รับรู้เลยว่าการใช้ดาบนี้ออกมามันก็ทำให้ปราณเทวะของเย่หยวนแทบเหือดแห้งไปเช่นกัน
เย่หยวนนั้นสามารถบรรลุแนวคิดแห่งห้วงมิติห้าดาวมาได้นานแสนนานจึงได้สร้างวิชาดาบนี้ขึ้นมาภายในมิติบ่มเพาะมรณา นามว่าดาบสลักกลวง
ด้วยพลังของแนวคิดแห่งดาบหกดาบที่ผสานเข้ากับแนวคิดแห่งห้วงมิติห้าดาว พลังที่มันแสดงออกมาย่อมจะเหนือล้ำกว่าสิ่งใด
แม้ว่าเจ้ายอดตะวันล้างนั้นจะเป็นวิชาที่สุดแสนรุนแรงแต่เมื่อต้องมาเผชิญกับดาบสลักกลวงแล้วมันย่อมไม่มีค่าใดๆ
หากเย่หยวนใช้วิชานี้ออกมาตอนอยู่ในอาณาจักรเม็ดต้นกำเนิดสี่ดาวแล้วต่อให้มีร้อยซัวโม่มันก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้
เพียงแค่ว่าวิชานี้มันกลืนกินพลังงานอย่างมาก ต่อให้เย่หยวนจะมีปราณเทวะบริสุทธิ์ที่หนาแน่นเพียงใดมันก็ยังทำให้เขาแทบหมดแรงหลังจากใช้มัน
หลังจากใช้มันออกมาแล้วเขาก็แทบจะได้แต่รอความตาย
เพราะฉะนั้นหากยังมีทางเลือกอื่นเย่หยวนย่อมไม่คิดจะใช้มันออกมา
แต่เพราะว่าการกดดันของซัวโม่เมื่อสักครู่นี้มันทำให้เย่หยวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้ดาบสลักกลวงออกมา
เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียแค่ใช้พลังของสองสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์เย่หยวนก็พอที่จะเบิกทางรอดกลับออกมาได้
แต่คำพูดนี้ของเย่หยวนมันทำให้ทุกผู้คนได้รู้สึกถึงความไร้ค่าของตน
เหล่าผู้คนที่เข้าสนามรบเทพโบราณมานี้มีใครบ้างที่ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลใหญ่ดวงชะตาล้ำเลิศมีพรสวรรค์เปี่ยมล้น?
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวนแล้วพวกเขานั้นดูไร้ค่าไปถนัดตา!
อัจฉริยะ?
พวกเขาทั้งหลายนั้นเป็นได้เพียงแค่หินให้เย่หยวนเหยียบเพียงเท่านั้น!
ซงหยูมองดูเย่หยวนด้วยความตื่นตะลึงอย่างมาก
ตอนนี้สมองของเขาเริ่มนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องที่เจียนหงเซียวเคยบอกไว้ในตึกวาโยบริสุทธิ์ว่าเหล่าคนตระกูลเจียนทั้งหลายที่คิดมองดูชะตาของเย่หยวนจะต้องกลายเป็นคนตาบอดไปสิ้น
เพราะฉะนั้นพวกเขาทั้งหลายจึงได้แต่คาดเดาว่าเย่หยวนเองก็คงมีรัศมีผ่าจักรพรรดิ
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วพวกซัวโม่หรือเฟิงเสี่ยวเถียนที่มีรัศมีผ่าจักรพรรดินั้นมันไม่อาจเทียบเคียงใดๆ กับเย่หยวนได้เลย!
บางทีอนาคตของเย่หยวนนั้นมันอาจจะไม่หยุดลงแค่ที่จักรพรรดิเทพสวรรค์ก็เป็นได้
…………………………