Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1986 พ่ายแพ้กลับมา
“หืม? พวกเจ้าทั้งหลายนั้นยังไม่คิดจะมาอีกหรือ? หรือว่าพวกเจ้าคิดจะค้าน?”
โจวหยูเห็นว่าพวกเย่หยวนไม่คิดขยับจึงได้แต่ร้องถามขึ้นด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น
เขานั้นไม่นึกไม่ฝันว่าแม้จะเชือดไก่ให้ลิงดูไปแล้วคนทั้งหลายนี้ก็ยังไม่คิดจะเชื่อฟังคำสั่งของเขา
ด้วยความที่เย่หยวนยังไม่คิดขยับตัว เฟิงเสี่ยวเถียนเองก็ย่อมไม่คิดจะขยับเคลื่อนไปไหน
โจวหยูนั้นมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำจริง แต่เย่หยวนเองก็ไม่ต่างกัน!
เขานั้นไม่อาจวัดได้ว่าระหว่างโจวหยูและเย่หยวนนั้นใครกันที่จะแข็งแกร่งกว่า แต่สิ่งที่เขามั่นใจคือเย่หยวนนั้นสามารถฆ่าสังหารเขาได้ด้วยมือข้างเดียว
“พี่เย่ ท่านดูสิ… เราจะไม่ไปกับพวกเขาหรือ?” เฟิงเสี่ยวเถียนถามขึ้นด้วยท่าทางหวาดๆ
เย่หยวนหันไปมองอีกฝ่ายก่อนจะบอกขึ้น “เจ้าอยากไปก็ไป ข้าจะรออีกหน่อย”
เฟิงเสี่ยวเถียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้จะทำหน้าหนักใจ
‘ไปหรือ?
ข้าจะกล้าไปหรือ?
ข้านั้นได้ลบหลู่เจ้าไปอย่างมากแล้ว หากตอนนี้ข้าไปแล้วเจ้าลงมือออกมาข้าจะไม่ต้องตายลงอย่างโง่ๆ หรือ?
แต่ไม่ไป… ข้าก็จะไม่ถูกเจ้าบ้าโจวหยูนี่สังหารเอาหรือ?’
เฟิงเสี่ยวเถียนได้แต่คิดอยู่ในใจอย่างไม่อาจตัดสินใจได้ว่าจะเลือกทางไหน
เมื่อโจวหยูเห็นว่าเย่หยวนไม่คิดสนใจเขา ใบหน้าของเขาก็เริ่มแดงขึ้นมาด้วยความไม่พอใจในทันที
แต่เมื่อเขาได้เห็นว่าเฟิงเสี่ยวเถียนนั้นกลับดูมีท่าทางเกรงใจเทพถ่องแท้สองดาวนี้ เขาก็ตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย
และเมื่อดูสีหน้าของพวกซงหยูทั้งหลายนั้น ดูท่าแล้วเย่หยวนคนนี้คงเป็นแกนนำของกลุ่มอย่างแน่นอน
“เจ้าเด็กคนนี้ ข้าพูดกับเจ้า เจ้าได้ยินหรือไม่?” โจวหยูถามขึ้นพร้อมมองดูเย่หยวน
“ทัพมารกระดูกนั้นมันมิใช่ศัตรูที่จะกำจัดได้ง่ายๆ เราควรรอต่ออีกหน่อย มีคนมาเพิ่มมันก็ย่อมจะเท่ากับกำลังที่เพิ่ม” เย่หยวนบอก
ตัวเขานั้นเคยเข้าไปต่อสู้กับเหล่ามารกระดูกมาก่อนแล้วและย่อมจะรู้ดีกว่าใครว่ามันเป็นศัตรูที่ยุ่งยากเพียงใด
แม้ว่าตัวเย่หยวนนั้นจะสามารถต่อสู้เปิดทางกลับมาได้แต่ผู้คนทั้งหลายนั้นก็ไม่ได้มีปราณเทวะที่หนาแน่นอย่างที่ตัวเขามี
เมื่อต้องเจอกับมารกระดูกเทพถ่องแท้สี่ดาวมากมายเมื่อใดก็ตามที่ปราณเทวะของพวกเขาหมดสิ้นลง มันคงได้แต่ต้องนั่งรอความตาย
ที่สำคัญกำลังของเหล่ามารกระดูกนั้นมันก็มีมากมายหลายระดับ
พวกตัวอ่อนๆ นั้นเย่หยวนสามารถทำลายมันลงด้วยกระบวนท่าเดียว
แต่พวกที่แข็งแกร่งนั้นแม้จะเป็นเย่หยวนก็ยังรับมือได้ยาก
แม้ว่าดาบสลักกลวงจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่เขานั้นก็สามารถใช้มันออกมาได้แค่ครั้งเดียว
เมื่อไม่ถึงตาจนจริงๆ ตัวเขาย่อมไม่คิดจะใช้มันออกมา
เว้นเสียแต่ว่าโจวหยูที่มาถึงทีหลังย่อมจะไม่รู้เรื่องราวทั้งหลายนั้น
และเมื่อเย่หยวนไม่คิดเล่า เฟิงเสี่ยวเถียนเองก็ย่อมไม่กล้าจะเล่าใดๆ
เมื่อได้ยินคำของเย่หยวนโจวหยูก็กล่าวขึ้นด้วยท่าทางไม่พอใจ “ดูท่ามันจะยังมีคนที่ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรเลวร้าย! ในเมื่อการเชือดไก่ให้ลิงดูเมื่อสักครู่มันไม่พอใจเจ้า อย่างนั้นก็จงดูมันอีกรอบแล้วกัน!”
โจวหยูผู้นี้มีนิสัยดุร้ายมีอะไรก็คิดสังหาร พุ่งตัวเข้ามาโจมตีในทันทีอย่างที่ไม่มีใครจะมองตามทัน
“ตราประทับความเป็นความตาย!”
เย่หยวนนั้นเตรียมรับมือมานานแสนนานจึงได้ปล่อยตราประทับความเป็นความตายออกมารับการโจมตีจากกระบองของโจวหยู
‘ปัง!’
คนทั้งสองต้องก้าวถอยหลังไปหลายก้าวก่อนจะหยุดยืนกับที่ได้
นั่นทำให้สีหน้าของโจวหยูเปลี่ยนไปอย่างมหัน ไม่นึกไม่ฝันว่าเทพถ่องแท้สองดาวน้อยๆ คนหนึ่งนี้จะรับการโจมตีนี้ไว้ได้!
ก่อนหน้าเขานั้นสามารถทำลายสังหารเทพถ่องแท้สี่ดาวลงได้ด้วยการโจมตีเดียว!
“เจ้าเด็กคนนี้มันแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?” โจวหยูได้แต่มองดูภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง
คนทั้งหลายเองที่ได้เห็นเช่นนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที พวกเขาทั้งหลายนั้นล้วนคิดว่าเมื่อกระบองนี้ถูกฟาดออกตัวเย่หยวนคงแหลกสลายลงแน่แล้ว
แต่ใครจะไปคิดไปฝันว่าเย่หยวนกลับยืนอย่างมั่นคงโดยไม่มีบาดแผล!
แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหลายไม่ได้คิดว่าโจวหยูจะมีฝีมืออยู่เพียงแค่นี้ การโจมตีนี้ตัวเขาคงไม่ได้ใช้พลังออกมาทั้งหมด
แต่ต่อให้มันจะเป็นการโจมตีที่ไม่จริงจังสักเท่าใด มันก็ยังเป็นการโจมตีที่เทพถ่องแท้สี่ดาวไม่อาจต้านทานได้
ตอนนี้เทพถ่องแท้สองดาวผู้นี้กลับสามารถรับมันไว้ได้อย่างไม่ยากเย็น
ในที่สุดพวกเขาทั้งหลายก็ได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเฟิงเสี่ยวเถียนถึงได้มีท่าทางเกรงใจขนาดนั้น
โจวหยูนั้นได้แต่ทำหน้าเหยเกออกมา เดิมทีเขานั้นคิดอยากเชือดไก่ให้ลิงดู แต่ใครจะไปคิดว่าตัวเขากลับมาเจอยอดฝีมือเช่นนี้เข้า ผู้ที่สามารถรับการโจมตีของเขาไว้ได้อย่างไม่ลำบากยากเย็นใดๆ
“เด็กน้อย เจ้าเก่งนี่! ในเมื่อเจ้าคิดจะรอก็รอไปเถอะ เมื่อเราได้กระดูกจักรพรรดิมาไว้ในมือแล้วข้าอย่างรู้เหลือเกินว่าเจ้าจะทำหน้าอย่างไร!” โจวหยูร้องบอก
เย่หยวนนั้นทำเพียงแค่ยิ้มรับ “เชิญ”
โจวหยูหัวเราะเยาะใส่ก่อนจะหันหน้ามาถามเฟิงเสี่ยวเถียน “เจ้าจะไปหรือไม่?”
เฟิงเสี่ยวเถียนนั้นอดไม่ได้ที่จะหันหน้ากลับไปมองดูเย่หยวน แต่เห็นว่าเย่หยวนนั้นได้เดินกลับไปนั่งที่อย่างไม่คิดสนใจ
โจวหยูนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเฟิงเสี่ยวเถียนและเย่หยวนนั้นไม่ใช่พรรคพวกเดียวกัน
“ข้า… ข้าไป!” เฟิงเสี่ยวเถียนกัดฟันตอบ
เขานั้นไม่เคยถูกผู้คนกดขี่มากขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต
แต่ตอนนี้เขากลัว กลัวว่าหากเขาปฏิเสธไปจะถูกกระบองนั้นฟาดหัวเข้า
เพราะนั่นมันคือสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์!
สิ่งที่อยู่ในมือของโจวหยูตอนนี้มันน่ากลัวกว่าเย่หยวนมาก
เพราะไม่ว่าอย่างไรโจวหยูก็มีพลังบ่มเพาะที่เหนือกว่าเย่หยวนถึงสองดาว
“หึ อย่างน้อยเจ้าก็มีสมอง!” โจวหยูร้องบอก
ด้วยเหตุนี้โจวหยูจึงได้นำผู้คนราวห้าสิบคนมุ่งหน้าฝ่าทัพมารกระดูกไป
ซงหยูมองดูกลุ่มคนทั้งหลายด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ไอ้พวกโง่ทั้งหลาย พวกมันคิดว่าแค่ได้สมบัตินิดหน่อยมานี้แล้วมันจะเก่งกาจเหนือคน ดูเถอะ พวกมันจะไม่ทันได้รู้ด้วยซ้ำว่าตนตายเพราะอะไร พวกมันคิดว่ากระดูกจักรพรรดินั้นมันจะยอมให้ผู้คนไปหยิบมาง่ายๆ หรือ?”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ห้ามมิได้หรอก ปล่อยพวกเขาไป แต่เท่านี้ก็เป็นโอกาสดีของเรา มาใช้เวลานี้หลอมซึมซับพลังจากซากร่างเทพสวรรค์กันเสียหน่อยเถอะ อย่างน้อยๆ มันก็น่าจะช่วยพวกเราได้บ้าง”
เพราะก่อนหน้านี้มันมีคนอยู่มากจนเกินไป พวกเขาย่อมไม่มีโอกาสที่จะนำเอาซากร่างเทพสวรรค์มาหลอมซึมซับพลัง
ตอนนี้เมื่อทุกผู้คนได้บุกเจ้าทัพมารกระดูกไปแล้ว พวกเขาย่อมไม่มีเวลาจะหันมามองใดๆ
เท่านั้นคนทั้งห้าก็เริ่มหลอมซากร่างเทพสวรรค์ทำให้พลังบ่มเพาะของคนทั้งหลายพัฒนาไปอย่างมากมาย
อู๋เต้านั้นได้กดเก็บพลังทั้งหมดในชีวิตของเขาลงใส่ซากร่างทั้งหลายนี้ แม้ว่าเวลาที่ผ่านมานานปีมันจะทำให้พลังภายในนั้นเสื่อมสลายไปไม่น้อยแต่กับพวกเขาที่เพิ่งขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้มาไม่นานนี้มันย่อมจะยังเป็นพลังงานที่ทรงคุณค่าอย่างเหนือล้ำ
สองวันต่อมาเย่หยวนก็ได้ขึ้นมาถึงอาณาจักรเม็ดต้นกำเนิดสองดาวขั้นสุด เพิ่มพลังการต่อสู้ของเขาขึ้นอีกอย่างมหาศาล
ส่วนคนอื่นๆ นั้นเองจะมีความเร็วในการซึมซับที่ช้ากว่าแต่ก็ยังพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้อย่างมาก
ตอนนี้ทางกั๋วจิงหยางนั้นกลับบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้สี่ดาวมาได้แล้วเสียด้วยซ้ำ
ทำให้ตอนนี้กลุ่มของพวกเขามีเทพถ่องแท้ขั้นกลางเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
และในเวลานั้นเองที่เกิดเสียงโห่ร้องดังขึ้นไม่ไกล พวกโจวหยูทั้งหลายนั้นได้พุ่งตัวออกมาจากวงล้อมของทัพมารกระดูก
ส่วนคนอื่นๆ เองก็โห่ร้องวิ่งหนีตามออกมาเป็นสาย
แต่บนร่างของคนทั้งหลายนั้นมันกับมีบาดแผลกันอยู่ไม่น้อย ดูท่าคงบาดเจ็บกันอย่างถ้วนหน้า
ที่ด้านนอกนั้นมันกว้างโล่งมากทำให้โจวหยูมองเห็นเย่หยวนในทันทีและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น
เวลาแค่สองวันแต่เจ้าเด็กคนนี้มันแข็งแกร่งขึ้นได้ขนาดนี้?
แม้ว่าตัวเขาจะยังไม่บรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้สามดาวแต่ความเร็วในระดับนี้มันก็เหนือล้ำจนเกินไป
ดูท่าคนพวกนี้คงพกสมบัติใดติดตัวมาแน่!
โจวหยูนั้นมีใบหน้าที่อึดอัดขัดใจอย่างมากเพราะคำพูดของเย่หยวนนั้นมันไม่มีผิด พวกเขานั้นสามารถฝ่าเข้าไปได้นับพันเมตรในเสี้ยวนาทีแต่ยิ่งเข้าไปลึกเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งเจอมารกระดูกระดับเทพถ่องแท้สี่ดาวมากขึ้นเท่านั้นจนสุดท้ายไม่อาจจะฝ่าเข้าไปด้านในได้อีก
ยิ่งเข้าไปไกล พวกเขายิ่งสูญเสียกำลังและถูกสังหาร
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วคนทั้งหลายจึงได้แต่ต้องฝ่ากลับออกมาภายนอก
การเดินทางไปกลับนี้มันใช้เวลาถึงสองวันเต็มทั้งยังทำให้คนทั้งหลายบาดเจ็บกันถ้วนหน้า สุดท้ายทำได้แค่กลับมายืนที่จุดเริ่มต้น มีหรือที่พวกเขาจะตื่นเต้นดีใจใดๆ ได้?
เมื่อซงหยูเห็นพวกโจวหยูเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “ฮ่าๆ เจ้าพวกโง่! เย่หยวนก็บอกไปแล้วว่าอย่าได้รีบร้อน รอให้มีคนมาเสริมกำลังให้เต็มที่ก่อนแต่พวกเจ้ากลับไม่คิดฟัง ตอนนี้พวกเจ้ารู้หรือยังเล่าว่าทัพมารกระดูกมันแข็งแกร่งเพียงใด?”
โจวหยูได้แต่รับฟังด้วยใบหน้าดำมืด
เพราะแม้พวกเขาจะมีกำลังที่เหนือล้นแต่เมื่อต้องไปเจอกับทัพมารกระดูกนับไม่ถ้วนนั้นพวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ต้องพ่ายแพ้กลับมา
…………………………