Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1988 ทะลวงทัพมารกระดูก
ด้วยเย่หยวนที่เป็นหัวหอกแน่นอนว่าความเร็วของกลุ่มคนทั้งหลายนี้ย่อมจะรวดเร็วอย่างมาก
ที่ใดที่พลังดวงดาวของธงศึกดาวฤกษ์ผ่านไปถึงเหล่ามารกระดูกทั้งหลายก็จะกลายเป็นฝุ่นผงทันที
คนทั้งหลายที่ได้เคยบุกเข้ามาพร้อมๆ กับโจวหยูก่อนหน้านั้นต่างรู้สึกราวกับได้ขึ้นสวรรค์
การบุกเข้ามาครั้งนี้มันง่ายกว่าก่อนมาก!
แม้ว่าความอันตรายจะยังมีอยู่บ้างแต่มันช่างแตกต่างจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง
ด้วยความที่เย่หยวนนำทางทำลายศัตรูมามันจึงทำให้ศัตรูที่คนทั้งหลายต้องรับมือมีไม่มากมายเท่าคราก่อน
ด้วยเทพถ่องแท้สี่ดาวกว่าเจ็ดสิบคน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะเป็นกองกำลังที่สุดแข็งแกร่งพุ่งทะลวงเข้าไปได้อย่างไม่มีหยุดชะงัก
“หากเรารู้เช่นนี้เราคงเชื่อคำเขาแล้วรอเข้ามาพร้อมๆ กับพี่เย่ไปแล้ว!”
“พี่เย่นั้นช่างมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำ! เขาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยหรืออย่างไร?”
“ฮ่าๆ สุดยอด! คราก่อนเข้ามาเราถูกพวกมันเล่นงานเสียท่า วันนี้ข้าจะได้ยืนมั่นต่อสู้แก้แค้นพวกมันแล้ว”
…
ในศึกครั้งก่อนโจวหยูนั้นใช้คนอื่นๆ เป็นโล่และไม่คิดจะเข้าปะทะกับศัตรูตรงๆ
เพราะฉะนั้นทุกผู้คนจึงต้องเป็นด่านหน้า
แต่เหล่ามารกระดูกทั้งหลายนั้นมันโจมตีเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิตแน่นอนว่าแนวป้องกันของพวกเขาย่อมจะพังทลายลงอย่างรวดเร็ว
แต่ในครานี้เย่หยวนได้นำทัพทำลายศัตรูส่วนมากไป พวกเขาทั้งหลายนั้นต้องทำเพียงแค่คอยช่วยเหลือจากด้านข้าง ทำให้ภาระที่ตกแก่คนทั้งหลายนั้นเบาบางลงอย่างมาก
นอกจากนั้นแล้วจำนวนของคนทั้งหลายนั้นยังเหนือล้ำกว่าครั้งก่อนอย่างมาก
เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รู้สึกว่ามันยากเย็นใดๆ นัก
ส่วนที่ด้านหลังสุดนั้นโจวหยูก็ได้ใช้กระบองนั้นทุบฟาดไปรอบๆ อย่างดุดันแต่ความตื่นตกใจของเขาเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นๆ
เพราะเดิมทีนั้นเขาคิดแค่จะเข้ามาดูความฉิบหายของเย่หยวน เพราะด้วยพลังที่ใช้ออกมาขนาดนี้มันคงเป็นภาระหนักแก่ปราณเทวะของเย่หยวนอย่างแน่นอน ไม่นานคงต้องหมดแรงลง
แต่เวลานั้นผ่านมาได้กว่าสองชั่วโมงแต่เย่นหยวนกลับยังสามารถยืนมั่นเป็นเสาหลักหัวหอกได้ในสภาพสมบูรณ์พร้อม ไม่แสดงท่าทีเหนื่อยอ่อนใดๆ ออกมาเลย
โจวหยูนั้นรู้ได้ว่าหากเป็นตัวเขาที่ต้องไปสู้เช่นนั้นแล้วตัวเขาคงไม่อาจยืนมั่นอยู่ได้นานนัก
เจ้าหมอนี่มันยังเป็นคนอยู่หรือไม่?
แต่ทว่าสุดท้ายแล้วมันก็มิใช่เรื่องง่ายดายจนสุดทาง
เพราะยิ่งเข้าไปลึกเหล่ามารกระดูกก็จะยิ่งแข็งแกร่งจนตอนนี้มีมารกระดูกระดับเทพถ่องแท้สี่ดาวอยู่ไม่น้อยแล้ว
และหากเข้าไปลึกกว่านี้มันก็อาจจะมีมารกระดูกระดับเทพถ่องแท้สี่ดาวขั้นสุดใกล้จะเป็นระดับเทพถ่องแท้ห้าดาวเต็มที
ถึงเวลานั้นแม้แต่เย่หยวนก็ยังลำบาก
นั่นทำให้ความเร็วการเดินหน้าของผู้คนทั้งหลายนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัดจนเริ่มเกิดความสูญเสียขึ้น
เหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายนั้นย่อมไม่ได้มีสีหน้าท่าทางสบายใจเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป
สุดท้ายแล้วเย่หยวนก็เลิกที่จะใช้ธงศึกดาวฤกษ์และหันมายิงตราประทับความเป็นความตายออกไปติดๆ กันแทน
เพราะแม้ว่าธงศึกดาวฤกษ์มันจะเป็นถึงสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์แต่เย่หยวนย่อมจะไม่อาจใช้พลังที่แท้จริงของมันออกมาได้
เพราะพลังบ่มเพาะของเขานั้นต่ำเกินไป!
ในเรื่องของพลังโจมตีแล้วตราประทับความเป็นความตายมันย่อมจะรุนแรงกว่ามาก
แต่แน่นอนว่าตราประทับความเป็นความตายเองก็กลืนกินปราณเทวะหนักหน่วงกว่ามากเช่นกัน
แม้ว่าจะมีปราณเทวะที่หนาแน่นเท่าใด สุดท้ายมันก็ยังเป็นเรื่องที่ลำบาก
เขาจึงรีบยกโอสถฟื้นฟูปราณขึ้นมากินหลายต่อหลายเม็ดอย่างไม่มีลังเล
“ทุกคนอย่างได้ออมมืออีก! รีบใช้ทุกสิ่งที่เรามีออกมา! ไม่เช่นนั้นแล้วเราคงได้ตายลงที่นี่แน่! ตอนนี้ระยะห่างจนถึงเขามันอยู่อีกแค่ไม่กี่พันเมตรแล้ว รีบเข้า!” เย่หยวนร้องบอก
เขานั้นเข้าใจดีว่านอกจากกลุ่มของพวกเขาแล้วคนทั้งหลายย่อมจะมีความคิดเก็บแรงไว้แย่งชิงสมบัติ
คนทั้งหลายนั้นไม่ได้ใช้กำลังออกมาอย่างเต็มที่ พวกเขานั้นยังเก็บท่าไม้ตายเด็ดไว้เพื่อจะชิงกระดูกจักรพรรดิไปในตอนท้าย!
เมื่อหันไปมองพวกเขาทั้งหลายก็ได้พบว่าพวกเขาใกล้จะถึงตีนเขากระดูกนั้นเต็มที ส่วนมารกระดูกที่เฝ้าอยู่รอบๆ นั้นมันก็มีแต่มารกระดูกระดับเทพถ่องแท้สี่ดาวสิ้น
ตอนนี้จะกลับก็ไม่ทันแล้ว
ในสภาพเช่นนี้ พวกเขาย่อมจะไม่มีพลังเหลือพอบุกทะลวงกลับไปด้านนอกแน่
เมื่อไม่มีทางถอย มันก็มีแต่ต้องมุ่งหน้าไป!
การที่เย่หยวนปล่อยตราประทับความเป็นความตายออกมาติดๆ กันเช่นนั้นมันทำให้ทุกผู้คนแทบอ้าปากค้าง
ทำเช่นนี้ก็ได้หรือ?
เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นต่อสู้ย่อมจะไม่ปล่อยท่าไม้ตายออกมานอกเสียจากจะไร้หนทางแล้วจริงๆ
แต่เย่หยวนนั้นกลับใช้วิชาที่ดูเป็นท่าไม้ตายออกมาติดๆ กัน
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเย่หยวนสามารถใช้มันติดๆ กันได้นี่แหละ
เจ้าหมอนี่… มันเป็นเทพถ่องแท้สองดาวจริงหรือ?”
“อ้า!”
“อ้าก!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นทั่วบริเวณแสดงถึงความสูญเสียที่มากขึ้น
ตอนนี้พวกเขาทั้งหลายเดินทางกันได้ช้าลงกว่าเก่ามาก เจ้ามารกระดูกที่คนทั้งหลายต้องรับมือก็ยิ่งจะมีมากขึ้นและมากขึ้น
ที่สำคัญกำลังของมารกระดูกทั้งหลายนั้นมันก็สุดแสนจะแข็งแกร่งจนหลายคนไม่อาจต้านทาน
ตอนนี้แม้แต่เย่หยวนเองก็ยังเริ่มหมดหวัง
เขานั้นไม่นึกไม่ฝันว่าเหล่ามารกระดูกมันจะแข็งแกร่งได้ถึงขั้นนี้
ต่อให้เขาจะใช้ดาบสลักกลวงออกมามันก็คงไม่มีทางจะทำลายพวกมันได้สิ้นแน่!
“ทำอย่างไรดีพี่เย่?” ซงหยูกัดฟันถามขึ้นพร้อมผลักมารกระดูกตรงหน้าออกไป
“จะทำอย่างไรได้อีก? บุกเข้าไป!” เย่หยวนบอก
เพราะระยะห่างแค่ไม่กี่ร้อยเมตรตรงหน้านี้มันกลับดูไกลลิบราวกับเส้นขอบฟ้า
เพียงแค่ว่าตอนนี้ต่อให้พวกเขาจะขึ้นไปถึงเขากระดูกได้แล้วทำไม?
มีหรือที่มารกระดูกทั้งหลายนี้มันจะไม่ตามขึ้นไป?
หลังจากไปถึงยอดเขากระดูกแล้วมันจะยิ่งกลายเป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวังกว่าเก่า!
ร้อยเมตร!
เก้าสิบเมตร!
…
สามสิบเมตร!
ยี่สิบเมตร!
สิบเมตร!
เย่หยวนนั้นใช้ปราณเทวะออกมาจนแทบสิ้นและในที่สุดเขาก็ได้ใช้ตราประทับความเป็นความตายออกมาทำลายร่างของมารกระดูกตัวสุดท้ายที่ปิดทางไว้อยู่
ขึ้นมาถึงเขากระดูกแล้ว!
เย่หยวนพุ่งตัวขึ้นไปหนีจากทัพมารกระดูกและขึ้นไปอยู่บนเขากระดูก
แต่เขานั้นไม่ได้ขึ้นไปถึงยอดแต่อย่างใดเพราะเย่หยวนกลับหันมาสาดตราประทับความเป็นความตายช่วยพวกซงหยูทั้งหลายให้รอดพ้นออกมาจากวงล้อม
“ช่วยทุกคน!” เย่หยวนร้องตะโกนสั่งซงหยู
เย่หยวนเองก็มิใช่พ่อพระมาจากที่ไหน แต่ตัวเขานั้นมีกฎของตนเองอยู่
หากไม่มีคนทั้งหลายนี้แล้วตัวเขาก็ย่อมไม่อาจจะฝ่าทัพมารกระดูกมาได้ด้วยตัวคนเดียว
ตอนนี้เมื่อพายุผ่านพ้นตัวเขาไปแล้ว เขาจึงคิดที่จะหันไปช่วยผู้อื่นเท่าที่ทำได้
จากนั้นเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายก็ได้มุ่งหน้าขึ้นเขากระดูกมาคนแล้วคนเล่า
จนเมื่อคนสุดท้ายหลุดรอดออกมา เย่หยวนก็ได้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายออกมา
แต่ใครจะไปคิดว่าในวินาทีนั้นเหล่าทัพมารกระดูกมันกลับแตกสลายลงไปต่อหน้าต่อหน้าพวกเขา
พื้นที่ที่เดิมทีเต็มไปด้วยเสียงกระทบกันของกระดูกได้เงียบลงอย่างน่าใจหาย
การเปลี่ยนแปลงจากความวุ่ยวายกลายเป็นความเงียบงันนี้มันกะทันหันจนเกินไปจนผู้คนทั้งหลายรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งกาย
แต่ไม่นานพวกเขาก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมา
“ฮ่าๆ! เราทำได้! ให้ตายสิ! ข้านึกว่าจะต้องตายลงแน่แล้ว!”
“ใช่ไหมเล่า? ต้องเจอทัพมารกระดูกมากมายขนาดนั้นมันช่างเป็นการต่อสู้ที่เหนื่อยยากแท้!”
“ต้องขอบคุณพี่เย่ หากไม่มีเขาคอยช่วยจัดการศัตรูส่วนมากแล้วพวกเราคงได้ตายไปแล้ว”
…
พวกเขาแต่ละคนนั้นต้องรับมือมารกระดูกหลายต่อหลายตนด้วยตัวเอง
แต่เย่หยวนนั้นเป็นคนที่นำหน้าสุดและยังเป็นหัวหอก แน่นอนว่าศัตรูที่เขาพบเจอมันย่อมจะมากมายกว่าคนอื่นๆ
ที่สำคัญการต่อสู้แบบไม่สนใจชีวิตของเย่หยวนนั้นมันยังทำลายทัพมารกระดูกส่วนมากลงไปด้วย
มันเป็นเพราะเช่นนั้นคนทั้งหลายจึงไม่ต้องรับมือกับมารกระดูกให้มากมายทำให้ภาระที่มีนั้นเบาบางลงมาก
ทุกผู้คนนั้นเข้าใจดีว่าหากไม่มีเย่หยวนแล้ว พวกเขาย่อมจะตายลงไปอย่างไม่มีใครเหลียวแล ย่อมไม่มีใครจะรอดออกไปได้
ตอนนี้มันจึงมีแต่เสียหัวเราะร่าดังไปทั่ว
เว้นแต่เย่หยวน
เพราะใบหน้าของเขาในตอนนี้มันเต็มไปด้วยความกังวลอย่างมาก
“เป็นอะไรไปพี่เย่?” ซงหยูถามขึ้น ตัวเขาเองก็กำลังตื่นเต้นดีใจที่รอดออกมาได้แต่เมื่อได้เห็นสภาพของเย่หยวนเขาจึงหุบยิ้มลงทันที
เย่หยวนขมวดคิ้วแน่น “เจ้ามารกระดูกทั้งหลายนั้นมันน่าจะถูกกระดูกจักรพรรดิควบคุม หากมันเป็นแนวป้องกันด่านสุดท้ายของเขาแล้ว พวกมันก็น่าจะขึ้นมาหยุดเราเสียให้ได้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่… ตอนนี้ทัพมารกระดูกมันกลับหายไปง่ายๆ เช่นนี้!”
คำพูดเดียวนี้ทำให้ผู้คนทั้งหลายได้สติทันที
และในเวลานั้นเองที่บนยอดเขากระดูกมันก็มีโครงกระดูกหนึ่ง… ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมา
ใช่แล้ว แค่โครงกระดูกเดียว!
แต่สายตาที่ทุกผู้คนมองดูมันกลับเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว ความรู้สึกสิ้นหวังนั้นได้เข้าครอบคลุมจิตใจของคนทั้งหลายในทันที
…………………………