Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2368 แตกสลายไม่มีชิ้นดี!
“เจ้าไม่ไหว!”
สามคำพูดนี้มันเต็มล้นไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
สำหรับเย่หยวนแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำพูดนี้กล่าวออกมาอย่างจริงจังเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของจอมเทพนิรันดร์หรือในมหาพิภพถงเทียนนี้ เย่หยวนล้วนแล้วแต่เดินก้าวมาด้วยพรสวรรค์ที่ล้นหัวคน
แม้แต่ยอดอัจฉริยะอย่างว่านเจิ้นหรือผางเจิ้นเองก็ยังถูกเย่หยวนกดหัวจนมิดไม่อาจโงหัวขึ้นได้
แต่เฒ่าตรงหน้าเขานี้กลับไม่คิดสนใจเขาแม้แต่น้อย
“ต่อให้ผู้เยาว์จะไม่ไหวแต่ท่านผู้อาวุโสเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว! เพราะเวลานี้มนุษย์เราเหลือเวลาไม่มากมาย! ผู้อาวุโสเฉียนจี้ท่านบอกว่าจะให้เวลาเราสิบปี หรือก็คือพันปีภายในนี้!” เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป
ยอดฝีมือที่ยอมสละชีพเพื่อเผ่ามนุษย์ เย่หยวนไม่คิดว่าอีกฝ่ายนั้นจะปล่อยให้เผ่ามนุษย์เดินเข้าสู่หายนะไปง่ายๆ เช่นนี้
ภายในมิติสงครามดึกดำบรรพ์นี้เย่หยวนไม่ได้มาด้วยร่างกายจริงๆ ด้วยร่างแยกนี้ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจจะคาดเดาอายุกระดูกของเขาได้
เพราะฉะนั้นในสายตาของเฒ่าผู้นี้เย่หยวนจึงไม่ได้มีแนวคิดที่สูงล้ำน่าสนใจใดๆ
หากเขารู้ว่าเย่หยวนนั้นมีอายุแค่ไม่กี่พันปีแล้วสามารถก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ ตัวเขาคงไม่กล้าคิดเช่นนี้แน่
ชายแก่นั้นขมวดคิ้วแน่นตอบกลับมา “ประชากรมนุษย์นั้นมีนับล้านๆ มันจะไม่มีอัจฉริยะที่เหนือกว่าเจ้าปรากฏขึ้นมาแล้วหรือ?”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ข้าเกรงว่ามันคงหาได้ยากแล้ว ผู้อาวุโส ทำไมท่านไม่ลองให้ข้าทดสอบดูเสียหน่อยเล่า?”
ชายแก่ผู้นั้นจึงได้แต่ต้องถอนหายใจยาว “เฉียนจี้เจ้าเด็กนั่นเองก็น่าผิดหวังนัก! เรียนรู้แนวคิดแห่งมิติเวลามาหลายต่อหลายปีแต่สุดท้ายกลับทำได้แค่สัดส่วนเวลาหนึ่งต่อร้อย ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าได้ที่หนึ่งมาแล้วเจ้าก็ลองดู เจ้าจะได้ยอมแพ้อย่างเต็มใจ เอาสิ หากเจ้าอยู่ในกระแสวนมิติเวลานี้ได้ถึงสองชั่วโมงมันย่อมจะเป็นการก้าวหน้าไปน้อยๆ แน่นอน! แต่เรื่องนั้นมันคงไม่มีทางเป็นไปได้”
เย่หยวนได้แต่ต้องหันไปมองดูที่กระแสวนมิติเวลานั้น
พลังของทั้งสองแนวคิดนั้นปะทะกันอย่างดุเดือดจนทำให้มิติเวลาสับสนปั่นป่วนสิ้น
ภายในสถานการณ์เช่นนั้นแล้วสิ่งใดที่หลงเข้าไปมันคงถูกทำลายเป็นเสี่ยงๆ ด้วยพลังของทั้งสองแนวคิด
เย่หยวนนั้นลองยิงปราณเทวะของตนเข้าไปภายใน
สุดท้ายมันก็ถูกกลืนกินและทำลายลงไปอย่างไม่อาจสร้างคลื่นพลังใดๆ ภายในได้
ได้เห็นเช่นนั้นเย่หยวนก็ต้องทำหน้าเหยเกออกมา
การจะให้เอาชีวิตรอดสองชั่วโมงภายในกระแสวนมิติเวลาเช่นนี้มันคงยากเกินทำได้
เมื่อชายแก่ได้เห็นสีหน้าจริงจังของเย่หยวนนั้นเขาก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มเย้ย “เด็กน้อย เจ้ารู้หรือยังเล่าว่ามันน่ากลัวแค่ไหน? เจ้าเฉียนจี้มันเองก็ยังอยู่ภายในได้แค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น! ลองถามใจตัวเองดูเถอะว่าเจ้ามีพรสวรรค์เหนือล้ำกว่ามันหรือไม่?”
จักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้นั้นเป็นสุดยอดอัจฉริยะตั้งแต่เริ่มยุคนี้มา!
เรื่องนี้แม้แต่เหล่าเต๋าบรรพกาลเองก็ยังไม่กล้าเถียง
เขานั้นมิใช่เต๋าบรรพกาลแต่กลับยืนสูงล้ำเทียบเคียงเต๋าบรรพกาลได้
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ผู้อาวุโส แต่ละคนเรานั้นล้วนมีพรสวรรค์แตกต่างกันไป ผู้อาวุโสเฉียนจี้ท่านมีพรสวรรค์ที่เหนือล้ำในเรื่องของการทำนายเต๋าสวรรค์ มิใช่มิติเวลา ในแนวคิดแห่งมิติเวลานี้แค่เขาก้าวขึ้นมาถึงระดับนี้มันก็นับว่าน่าตื่นตะลึงแล้ว”
ชายแก่จึงหัวเราะตอบกลับมา “เช่นนั้นเจ้าจะหมายความว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในด้านนี้มากกว่ามัน?”
เย่หยวนที่ได้ยินก็หัวเราะตอบกลับไป “ข้าไม่กล้าพูดเช่นนั้น แต่อย่างไรก็ควรลองดูก่อน”
พูดจบเขาก็กระโดดเข้าไปในกระแสวนมิติเวลา
แต่ก่อนที่ร่างของเขาจะเข้าไปถึงจุดศูนย์กลางพลังฉีกกระชากรุนแรงสองฝั่งมันก็เข้ามาเกาะร่างของเขาจนทำให้เย่หยวนแทบจะอยากตายให้พ้นๆ ไป
ห้วงมิติในที่นี้มันมิใช่ห้วงมิติที่สมบูรณ์ แต่มันเป็นกระแสพลังงานวนที่เกิดขึ้นมาจากการหมุนสวนกันของแนวคิดแห่งห้วงมิติและแนวคิดแห่งกาลเวลา
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่เข้ามาในระยะนี้ มันจะถูกฉีกกระชากสิ้น
คนเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เย่หยวนนั้นรู้สึกราวกับว่ามันมีดาบคมนับหมื่นกำลังค่อยๆ หั่นร่างของเขาออกจากกัน
เขานั้นกำลังถูกพลังงานนี้ฉีกร่างออกเป็นหมื่นๆ ชิ้น!
ความเจ็บปวดนี้มันไม่อาจจะบรรยายเป็นคำพูดได้
พริบตาเดียวนั้นเย่หยวนก็ถูกฉีกร่างจนแหลกสิ้นไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว
เย่หยวนนั้นรู้สึกว่าแนวคิดแห่งมิติเวลาของตนนั้นมันเหนือล้ำระดับหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ไม่นึกไม่ฝันว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็จะไม่อาจเข้าไปได้
นี่มันน่าอายจนเกินไปแล้ว!
ไม่นานจากนั้นเย่หยวนก็ผสานร่างกายขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
สีหน้าของเขานั้นไม่เหลือสีเลือดใดๆ ความเจ็บปวดที่มากล้ำนี้มันยังคงฝังอยู่ในจิตใจของเขาอย่างที่ไม่อาจจะสลัดออก
ความรู้สึกเช่นนี้มันทำให้ผู้คนสิ้นหวัง
ชายแก่คนนั้นหัวมามองเย่หยวนพร้อมหัวเราะขึ้น “ฮ่าๆ เด็กน้อย นี่หรือคือพรสวรรค์ที่เจ้าว่า? ความเข้าใจที่เจ้ามีต่อแนวคิดแห่งมิติเวลามันตื้นเขินเหลือเกิน!”
เย่หยวนพยักหน้ารับทันทีที่ได้ยิน “ที่ผู้อาวุโสว่ามามันก็ถูก ดูท่าความเข้าใจต่อแนวคิดแห่งมิติเวลาของข้ามันจะตื้นเขินเสียเหลือเกิน! อีกครั้ง!”
เย่หยวนนั้นไม่ลังเลแม้แต่น้อยและพุ่งร่างเข้าไปยังกระแสวนอีกครั้ง
และมันก็ยังคงเป็นพลังฉีกกระชากนั้นอีกครั้งเหมือนดาบนับไม่ถ้วนกำลังวิ่งผ่านร่างกายของเขาไป
น่ากลัวเกินไปแล้ว
เย่หยวนนั้นพยายามที่จะใช้พลังของแนวคิดแห่งมิติเวลาที่ตัวเองมีออกมาขัดขืนมันไว้
แต่ทุกอย่างกลับสูญเปล่า
เขานั้นไม่อาจจะเข้าไปถึงส่วนกลางของกระแสวนได้และตายลงทันที
ในการชุบชีวิตที่สองนี้สีหน้าของเย่หยวนมันซีดขาวลงมากกว่าเก่า
ความรู้สึกที่ถูกฉีกเฉือนร่างออกเป็นชิ้นๆ นั้นมันมิใช่สิ่งที่คนจะทนทานรับไว้ได้
ความเจ็บปวดของทุกข์จุตินั้นมันก็นับว่าน่ากลัวมากแล้ว
แต่เทียบกันแล้วเวลานี้มันเหมือนเอาลูกน้ำไปเทียบกับจระเข้
เย่หยวนหายใจสูดเข้าลึกก่อนจะก้าวไปยังกระแสวนอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้กระโดดเข้าไป
ชายแก่นั้นได้เห็นว่าร่างกายของเย่หยวนมันกำลังสั่นน้อยๆ ขึ้น
นี่มันคือสัญชาตญาณแห่งความกลัว!
หลายพันปีมานี้มันมีทั้งศึกใหญ่ล้นปานใด เย่หยวนนั้นต้องทนรับความเจ็บปวดมามากมายแค่ไหน?
แต่เขานั้นไม่เคยจะกลัวมาก่อน!
ครั้งนี้ร่างกายของเขามันกำลังกลัวอยู่จริงๆ!
เขานั้นไม่ได้คิดกลัวในหัว แต่ร่างกายของเขานั้นมันไม่อาจเก็บงำไว้ได้!
“เด็กน้อย ยอมแพ้เถอะ! เจ้านั้นไม่มีกำลังพอ! เฉียนจี้มันเข้าไปอยู่รอดในกระแสวนมิติเวลาได้ก็เพราะว่าพลังบ่มเพาะของอาณาจักรเจ้าฟ้าดินห้าทลาย เจ้านั้นไม่มีแนวคิดที่สูงส่งพอและพลังบ่มเพาะเองก็ไม่ถึงขั้น ไม่มีทางใดที่จะเรียนรู้บ่มเพาะใดๆ เจ้าคิดว่าบรรพกาลผู้นี้ล้อเจ้าเล่นหรืออย่างไร?” ชายแก่นั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าซีดขาวของเย่หยวน
เขานั้นย่อมรู้ดีว่าเย่หยวนนั้นเป็นยอดอัจฉริยะของยุคสมัยนี้ เข้ามาจนถึงที่แห่งนี้ได้มันย่อมจะมิใช่คนอ่อนแอใดๆ
แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น
เขานั้นไม่ได้คิดกลั่นแกล้งเย่หยวนใดๆ เขานั้นแค่บอกออกมาตามความจริงที่ตาเห็น
เย่หยวนนั้นไม่ตอบใดๆ กลับไป เขาค่อยๆ ก้าวยกขาที่สั่นนั้นขึ้น
คลื่นพลังรุนแรงนั้นปะทะเข้ากับร่างของเขาภายในกระแสวนอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ต่อต้าน
แต่ด้วยความที่ร่างกายของเขากลัวอย่างมากเขาจึงไม่มีเวลาจะใช้แนวคิดแห่งมิติเวลาใดๆ ออกมาและถูกทำลายร่างกายลงสิ้น
เมื่อเขาเดินมาถึงขอบของกระแสวนเป็นครั้งที่สี่นั้น ร่างกายของเขาก็ยิ่งสั่นสะท้านจนแทบไม่อาจยืนได้
ขาของเย่หยวนนั้นแทบจะพับลงไป
มันเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าร่างกายของเขานั้นกำลังหวาดกลัว
แต่จะอย่างไรเสียเขาก็ยังหักใจก้าวขาเข้าไปภายในและถูกกระแสวนมิติเวลานั้นดูดกลืนไปอีกครา
จากนั้นเขาก็ตายลงอีกครั้ง
เรื่องราวเช่นนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
แต่ละครั้ง ร่างของเขาจะถูกกระแสวนมิติเวลานี้กลืนกินเสมอ
แต่เขานั้นก็ยังคงก้าวใส่กระแสวนอย่างไม่ลังเล
สีหน้ายิ้มเย้ยของชายแก่ในตอนแรกมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีหน้าหนักหน่วงจริงจังขึ้นมา
……………………………