Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 2396 ย้อนกลับ
“สามปีก็ได้ผ่านไปแล้วแต่เจ้าเด็กนั่นมันยังไม่ตื่นขึ้นมา ดูท่ามันคงไม่อาจจะตื่นขึ้นมาได้อีกตลอดกาลแล้ว!”
“หึๆ ดีแล้วที่มันไม่ตื่นขึ้น! หากมิใช่เพราะเจ้าเด็กนั่นแล้วคนอย่างข้าคงไม่มีทางตกจากสิบยอดสมบัติสืบทอด! ดีแล้วที่มันต้องกลายเป็นศพคนเป็นไปเช่นนั้น!”
“ฮ่าๆ พี่ยูก็แค้นมันลึกล้ำเสียจริง! แต่ก็เพราะมันนั้นเราจึงได้มีเวลาบ่มเพาะเพิ่มในมิติสงครามดึกดำบรรพ์ถึงพันปี”
“ใช่แล้ว! ใช่เลย! ฮ่าๆ หากมันได้รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมามันคงได้กระอักเลือดตายแล้วใช่หรือไม่?”
…
ภายในทุ่งสัตว์สวรรค์ของมิติสงครามดึกดำบรรพ์นั้นมันมีชายหนุ่มหลายคนกำลังต่อสู้และพูดคุยเรื่องของเย่หยวนที่ถูกดูดเข้ากระแสห้วงมิติเวลาไป
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นย่อมจะเป็นยูถันจื่อผู้ที่มีความแค้นลึกล้ำกับตัวเย่หยวน
ตั้งแต่ที่เย่หยวนถูกดูลงกระแสมิติเวลาไปมันก็ผ่านไปนานถึงสามปีแล้ว หรือจะเท่ากับเวลาในมิติสงครามดึกดำบรรพ์ถึงสามร้อยปี
มิติสงครามดึกดำบรรพ์นั้นมันเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะอย่างแท้จริง
เวลาสามร้อยปีมานี้เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาทั้งหลายต่างพัฒนาตัวเองไปอย่างมากล้ำ
กำลังของยูถันจื่อและพวกในเวลานี้มันมากพอที่จะเข้ามาถึงทุ่งสัตว์สวรรค์และไล่ล่าสัตว์ร้ายทั้งหลายได้
เพราะว่าเย่หยวนหายไปนั้นตัวจักรพรรดิเทพสวรรค์เฉียนจี้จึงได้ประกาศข้อยกเว้นและปล่อยให้เหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาได้บ่มเพาะกันต่อในมิติสงครามดึกดำบรรพ์
ส่วนเรื่องของโลกภายนอกนั้นเขาได้แต่ต้องไปก้มหัวขอร้องเหล่ายอดคนทั้งหลายให้มาช่วยดูแลเรื่องราวการเคลื่อนไหวของเผ่าเทวา
โชคยังดีที่หลายปีมานี้เผ่าเทวาเองก็ไม่ได้สร้างเรื่องราวใหญ่มากมาย ต่างฝ่ายนั้นต่างอยู่ในสถานะตรึงกำลัง
ในหมู่คนทั้งหลายนั้นชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งก็กล่าวขึ้นมาด้วยเสียงเย้ยหยัน “ยูถันจื่อ เจ้ามันจะความคิดคับแคบเกินไปแล้ว! หากเย่หยวนไม่กลับมาจริงมันจะเป็นความเสียหายของเผ่าพันธุ์เรามาก! บางทีมันอาจจะถึงขั้นพามนุษย์เราฉิบหายลงได้! ถึงเวลานั้นข้าอยากจะเห็นจริงๆ ว่าเจ้าจะยังหัวเราะได้หรือไม่!”
แต่ยูถันจื่อนั้นกลับตอบมาด้วยสีหน้าไม่สนใจ “ว่านเจิ้น เจ้าไม่ต้องมาขู่ข้าหรอก พูดอย่างกับว่าข้านั้นไม่เคยเจอเผ่าเทวามาก่อน! ให้ข้าบอกเจ้านะ ก่อนที่นายน้อยผู้นี้จะเข้ามายังมิตินี้ข้าได้ปะทะฝีมือกับพวกเผ่าเทวาแล้ว! ขอพูดสั้นๆ ฝีมืองั้นๆ! แน่นอนว่าพวกมันเก่งกาจล้ำกว่าคนธรรมดาไปมาก แต่ต่อหน้าเหล่าเด็กชะตาไร้คาดเดาอย่างเราแล้วมันก็ไม่ได้เก่งกาจใดๆ มากมาย! ไม่ว่าเจ้าเด็กนั่นมันจะตายหรือไม่มันก็ไม่ส่งผลถึงภาพรวมของสงครามหรอก! ที่สำคัญไปกว่านั้นเจ้าคิดว่ามันจะมีคนรอดกลับมาจากกระแสมิติเวลาได้หรือ?”
ยูถันจื่อนั้นไม่คิดจะปิดซ่อนความไม่ชอบใจต่อเย่หยวนใดๆ เพราะว่าตัวเย่หยวนนี้ทำให้เขาไม่อาจจะติดหนึ่งในสิบเอ็ดอันดับและพลาดโอกาสที่จะพัฒนาตัว
“อ่า เช่นนั้นหรือ? เช่นนั้นข้าเกรงว่า… ข้าคงทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว”
แต่ระหว่างที่ยูถันจื่อกกำลังพูดเยาะเย้นคนอับโชคนั้นเองที่มันกลับเกิดเสียงหนึ่งที่ไม่รู้ว่าดังขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน มันเป็นเสียงที่ไม่รู้ว่ามาจากทิศใดทำให้คนทั้งหลายแทบต้องกระโดดตัวขึ้นด้วยความสะดุ้งตกใจ
ยูถันจื่อหน้าถอดสีก่อนจะร้องกล่าวขึ้นมา “ใคร! ใครกัน! มาล้อเล่นกับนายน้อยผู้นี้ ออกมาให้ข้าเห็นหน้าเดี๋ยวนี้!”
เขานั้นปล่อยจิตของตนออกไปสัมผัสดูรอบๆ แต่กลับไม่พบต้นกำเนิดของเสียงนี้
แต่ในเวลานั้นเองที่มันกลับเกิดภาพไม่คาดฝันขึ้นตรงหน้า
เพราะห้วงมิติตรงหน้าของเขามันกลับฉีกตัวออกเหมือนถูกใครแหวก แต่การแหวกนี้มันไม่เหมือนแค่การแหวกมิติทั่วๆ ไป มันเหมือนราวกับว่าทั้งมิติและเวลาถูกแหวกออกมาพร้อมๆ กัน
ราวกับว่ามันมีใครกำลังคืบคลานออกมาจากห้วงมิตินิรันดร์
จากนั้นมันก็มีร่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏออกมาจากรอยแยกมิติที่ถูกแหวกนั้น
“เย่หยวน!” ว่านเจิ้นเบิกตากว้างมองดูคนตรงหน้านั้นอย่างไม่อยากเชื่อ
แน่นอนว่าเขาผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวเย่หยวนที่เพิ่งกลับมาจากยุคก่อนนั้น!
ตอนที่เขาไปนั้น ตัวเขาเป็นคนแงมพลังของความลับสวรรค์ออกมา
แต่ตอนเขากลับ มันเป็นตัวเจียนหรูเฟิงที่เปิดความลับสวรรค์ออกเชื่อมต่อสองห้วงเวลา
บางทีมันอาจจะเป็นชะตา หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่ความบังเอิญ
แต่การเดินทางกลับไปยังยุคก่อนนี้มันได้เปลี่ยนสภาพจิตใจของเย่หยวนไปอย่างมหาศาล
การเดินทางครั้งนี้เขานั้นเหมือนได้กลับไปใช้ชีวิตในยุคนั้นนับหมื่นล้านปี!
เวลาที่ผ่านไปจริงมันแค่ไม่กี่พันปีแต่เขานั้นกลับเหมือนได้เปลี่ยนอ่างน้ำให้กลายเป็นทะเลกว้าง
เวลานี้ที่เขากลับมา ระดับความคิดของเขานั้นมันจึงแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
จนถึงตอนที่ได้ยินเสียงของยูถันจื่อดังข้ามห้วงมิติเวลามาเขาจึงเริ่มกลับมาตั้งสติได้
เมื่อตัวว่านเจิ้นได้เห็นเย่หยวนอีกครั้งนี้มันเหมือนกับว่าเขาไม่รู้จักคนผู้นี้อีกแล้ว
ทั้งๆ ที่ดูอย่างไรมันก็ยังเป็นคนเดิมที่เขารู้จัก
แต่ความรู้สึกที่เขาได้รับมันกลับแตกต่างกันสิ้นเชิง
เดิมทีแล้วตอนที่เขามองดูเย่หยวนนั้น เขาจะรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายนั้นเป็นน้องชาย
แต่เย่หยวนที่อยู่ตรงหน้าเขานี้กลับเหมือนดั่งเป็นยอดคนปกครองฟ้าดินผู้สั่งสมประสบการณ์ชีวิตมายาวนานนับไม่ถ้วน
มันราวกับ… ตัวมหาบรรพกาลมิติเวลาผู้นั้น!
ไม่สิ เขานั้นรู้สึกได้ถึงความเหนือล้ำสูงเสียยิ่งกว่าตัวมหาบรรพกาลมิติเวลา เป็นความรู้สึกที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าเงยหน้ามองเขาตรงๆ
“ย-เย่หยวน! นี่… มันเป็นไปได้อย่างไร? เจ้า… เจ้าถูกกลืนไปในกระแสมิติเวลาแล้ว! เจ้ากลับมายังความเป็นจริงได้อย่างไรกัน?” ยูถันจื่อนั้นกล่าวออกมาใบด้วยหน้าซีดขาวราวกับได้เห็นผี
เย่หยวนจ้องมองดูหน้ายูถันจื่อก่อนจะถอนหายใจยาวตอบไป “ไปได้ มันก็ย่อมหมายความว่ากลับได้ มันจะมีอะไรแปลก? ที่สำคัญไอ้เจ้าคำพูดก่อนหน้าของเจ้านั้น วันหน้าอย่าได้เอาไปพูดต่อหน้าใครอีกเชียว ยอดฝีมือที่แท้ของเผ่าเทวามันนั้นยังไม่โผล่หน้าออกมาให้เห็น เจ้ามาอวดอ้างอวดตัวนี้ใครกันที่สั่งสอนเจ้ามา? ยอดฝีมือหลากเผ่าพันธุ์ในอดีตนั้นมีวิชาและความรู้มากล้น มีคนใดบ้างที่ไม่เก่งกาจกว่าเจ้า? แต่พวกเขาทั้งหลายก็ยังถูกเผ่าเทวาไล่ล้างสังหารจนเกือบสิ้น ข้าล่ะไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจผิดๆ เช่นนั้นมาจากที่ใด”
เย่หยวนนั้นได้เห็นเหล่ายอดอัจฉริยะของยุคก่อนมากับตา หากวัดกันแค่พรสวรรค์ นิสัยท่าทางและความกล้าแล้ว พวกเขาย่อมจะเหนือล้ำกว่ายูถันจื่อไม่นับร้อยๆ เท่า
ดูเหมือนว่าเผ่ามนุษย์นี้จะได้อยู่สุขสบายมานานจนเกินไป
ยูถันจื่อยิ้มรับเมื่อได้ยิน “ยังจะมาทำวางท่าต่อหน้านายน้อยผู้นี้อีกหรือ? สามร้อยปีมานี้นายน้อยผู้นี้ได้บ่มเพาะอย่างเข้มข้นจนพัฒนาไปได้อย่างก้าวกระโดด ข้านั้นเก่งกาจกว่าแต่ก่อนไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าแล้ว! เจ้านั้นเสียเวลาว่ายวนในกระแสมิติเวลาถึงสามร้อยปี เวลานี้เจ้าไม่อาจจะเทียบเคียงนายน้อยผู้นี้ได้แม้แต่เศษเสี้ยว! คนอย่างเจ้านี้มีสิทธิใดมากล่าวสั่งสอนนายน้อยผู้นี้?”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเช่นนั้นเขาก็แทบจะหลุดขำออกมา
ในอดีตนั้นเขาถูกยกย่องเป็นนักบุญ
แม้ว่ากำลังของเขานั้นจะยังไม่ถึงจุดสูงสุดแต่ตัวเขานั้นก็มีคลื่นพลังของผู้ปกครองแล้ว
ยูถันจื่อผู้นี้ตาบอดหรืออย่างไรถึงได้กล้ามาท้าทายตัวเย่หยวนนี้
เย่หยวนจึงยืนมือไพล่หลังตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นหรือ? เช่นนั้นก็แสดงกำลังที่เจ้าบ่มเพาะอย่างยากลำบากนั้นมาให้ข้าดูหน่อยเถอะ”
ยูถันจื่อยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “ข้าย่อมจะคิดเช่นนั้น! เจ้านั้นทำให้นายน้อยผู้นี้ไม่ได้รับสิบยอดสมบัติสืบทอด วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รับดอกไปก่อน! ออกจากมิติสงครามดึกดำบรรพ์ไปแล้วข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่ได้เกิดขึ้นมาบนโลกหล้านี้!”
พูดจบตัวยูถันจื่อนั้นก็ปล่อยปราณเทวะออกมาอย่างหนักหน่วงทะยานฟ้า เขานั้นกลับบ่มเพาะขึ้นมาจนถึงอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์เก้าดาวขั้นสุด!
ห่างจากอาณาจักรเจ้าฟ้าดินไปแค่เส้นผม!
สำหรับเขาแล้วการจะผ่านทุกข์ทลายที่หนึ่งนั้นมันไม่ได้ยากเย็นใดๆ
พร้อมกันนั้นพลังแนวคิดต่างๆ ของเขามันก็พัฒนาไปอย่างมากล้น
สามร้อยปีมานี้เขาได้พยายามฝึกฝนอย่างหนักเพราะความคับแค้นทำให้มีฝีมือเหนือล้ำกว่าก่อนหน้าไปอย่างไม่รู้กี่เท่า
แต่ตัวว่านเจิ้นที่อยู่ข้างๆ กลับต้องขมวดคิ้วแน่นหันไปมอง
ก่อนเย่หยวนจะจากไปนั้นเขายังพอเห็นสภาพของเย่หยวนได้แจ่มชัด
แต่เวลานี้เขากลับไม่อาจอ่านเย่หยวนได้แม้แต่น้อย
ว่านเจิ้นนั้นเป็นคนที่ได้รับหนึ่งในสิบยอดสมบัติสืบทอดและยังได้บ่มเพาะต่อเนื่องยาวนานสามร้อยปี แน่นอนว่าตัวเขาเองก็ย่อมจะพัฒนาไปจากก่อนหน้าอย่างไม่อาจเอามาเทียบเคียง
แต่ทั้งๆ อย่างนั้นเมื่อได้มาอยู่ต่อหน้าเย่หยวนนั้นเขากลับไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว!
เจ้ายูถันจื่อนี้มันตาบอดไปแล้วหรืออย่างไร?
มันไม่เห็นหรือว่าเย่หยวนเก่งกาจแค่ไหน?
“ฮ่าๆๆ ไปตายเถอะ!”
ยูถันจื่อปล่อยคลื่นพลังออกมาสุดตัวพุ่งเข้าใส่เย่หยวนอย่างไม่ยั้งมือ
พลังของกระบวนท่านี้มันมากพอที่จะต่อต้านพลังของเจ้าฟ้าดินได้!
แต่ทว่าเย่หยวนนั้นกลับยืนนิ่งมือไพล่หลังราวกับว่าไม่คิดสนใจจะตอบโต้ใดๆ กลับไป
………………………..