War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3071
ผลเทพสังเวยสวรรค์นั้น มันเย้ายวนยั่วใจต้วนหลิงเทียนมากเหลือเกิน…
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาตอนนี้ก็คือ ‘เวลา’ เพราะเขาต้องรีบบ่มเพาะพลังแข่งกับเวลา หลังจากผ่านไปพันปี เขาก็ต้องเดินทางไปช่วยครอบครัวคนรักและสหายของเขาที่ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ!
ถึงแม้ตอนนี้เวลาพันปีที่เขามี จะพึ่งผ่านไปไม่มาก
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนรู้ดี ว่ายิ่งด่านพลังสูงขึ้นมากเท่าไหร่ เวลาที่ใช้ในการบ่มเพาะก็ต้องเพิ่มขึ้นเท่านั้น
เอาแค่หลังบรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะนั้น คิดจะทะลวงผ่านจากขุนนางอมตะไปยังราชาอมตะ ก็นับว่าต้องใช้เวลาไม่น้อย ไม่ใช่อะไรที่ขอบเขตยอดเซียนอมตะจะเทียบได้แม้เศษเสี้ยว
ไม่ต้องกล่าวถึงการทะลวงจากขอบเขตราชาอมตะไปยังจอมราชันอมตะ และจักรพรรดิอมตะเลย
ยิ่งด่านพลังหลังๆ กว่าจะทะลวงผ่านได้สักขั้นก็หฤโหดนัก!
เท่าที่เขาทราบมา ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะนั้น หากสามารถยกระดับพลังได้สักขั้นอย่างเช่น จักรพรรดิอมตะ 1 กำเนิดไปยังจักรพรรดิอมตะ 2 ยศ หรือจักรพรรดิมอตะ 2 ยศไปยังจักรพรรดิอมตะ 3 ศักดิ์ได้ในเวลา 1,000 ปี ก็นับว่ามากพรสวรรค์แล้ว!
ตอนนี้พอเขาได้รับรู้เรื่องราวผลเทพสังเวยสวรรค์จากหลิงเจวี๋ยอวิ๋น จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร
หลังได้กินผลเทพสังเวยสวรรค์นั่น ด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดของเขาจะบรรลุถึงขอบเขตขุนนางงอมตะ 10 ทิศทันที!
ก้าวข้ามไป 1 ขอบเขตพลังใหญ่แบบนี้ มันประหยัดเวลาให้เขาเท่าไหร่กัน!?
ทันใดนั้น สองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกโชนขึ้นมาดั่งเพลิงไฟ และยังเป็นเพลิงแห่งความปรารถนาอันแรงกล้า หมายช่วงชิงผลเทพสังเวยสวรรค์อะไรนั่นมาให้จงได้!
“เจ้าแน่ใจหรือว่าผลเทพสังเวยสวรรค์นั่นมันทรงพลังถึงขนาดนั้นจริงๆ?”
ต้วนหลิงเทียนสูดหาใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่เริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกรอบ ก่อนจะส่งข้อความไปถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกครั้ง
หากผลเทพสังเวยสวรรค์มันมีอิทธิฤทธิ์น่ากลัวขนาดนั้นจริง เรียกว่าพลังของมันท้าทายสวรรค์เลยก็ว่าได้ แต่เนื่องเพราะผลของมันเลิศล้ำเกินไป ต้วนหลิงเทียนจึงต้องถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นย้ำเพื่อความแน่ใจ
“แน่อยู่แล้ว…หากเจ้าไม่เชื่อข้าลองถามพี่สาวหวงเอ้อดูก็ได้ นางเองก็รู้จักผลเทพสังเวยสวรรค์ และรู้ซึ้งถึงพลังอำนาจของมันดี”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวตอบเสียงเรียบ
มันมได้แปลกใจอะไรที่ต้วนหลิงเทียนจะสงสัยในเรื่องนี้ เพราะไม่ว่าใครก็ตามพอได้รับรู้ถึงพลังอำนาจของผลเทพสังเวยสวรรค์ครั้งแรก ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยกันทั้งนั้น กระทั่งตัวมันที่มีความเป็นมาไม่ธรรมดา ตอนได้รู้ครั้งแรกก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
ได้ยินข้อความที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบกลับ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ติดต่อกลับไป แต่เลือกที่จะถามหวงเอ้อที่อาศัยอยู่ในทะเลวิญญาณของเขาทันที “หวงเอ้อ เจ้ารู้จักผลเทพสังเวยสวรรค์ไหม?”
ขณะที่ถาม ต้วนหลิงเทียนยังเล่าเรื่องทั้งหมดให้หวงเอ้อฟัง
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้รับคำตอบของหวงเอ้อ “ผลเทพสังเวยสวรรค์ เมื่อรับประทานลงไป สามารถทำให้ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดบรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศได้อย่างราบรื่นภายในเวลา 1 เดือน”
“นอกจากนั้นพลังของผลเทพสังเวยสวรรค์ยังไม่ได้มีแค่นี้…เพราะมันยังช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจความหมายแห่งกฏๆหนึ่ง และยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏๆนั้นได้หลายประการทันที”
“เท่าที่ข้าเคยได้ยินมา ผู้ที่เคยใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์นั้น ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือเข้าใจความลึกซึ้งของกฏๆหนึ่งได้ 6 ประการเท่านั้น ส่วนผู้ที่โชคดีและเข้าใจความลึกซึ้งได้มากที่สุด ก็สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ถึง 8 ประการทันที”
“แน่นอนว่าเข้าใจความลึกซึ้ง 6 ประการกับ 8 ประการที่ว่า นับรวมความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งกฏไปแล้ว”
หวงเอ้อกล่าวกับต้วนหลิงเทียนต่อว่า “และเท่าที่ข้ารับทราบมา ผู้ที่ใช้ผลเทพสังเวยสวรรค์นั้น ถึงแม้จะไม่มีใครเคยเข้าใจความลึกซึ้งของ 4 กฏสูงสุดมาก่อน…แต่ความลึกซึ้งของกฏที่พวกมันจะเข้าใจ ยังเป็นความลึกซึ้งของกฏใหม่ที่ยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน”
หลังได้ยินคำตอบของหวงเอ้อ ต้วนหลิงเทียนก็ตกอยู่ในความเงียบอีกรอบ คราวนี้วิญญาณเขาเสมือนหลุดลอยไปแล้วจริงๆ!
ผลเทพสังเวยสวรรค์ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้ใช้ทะลวงจากยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดไปยังขุนนางอมตะ 10 ทิศได้ในเวลา 1 เดือน แต่ยังจะช่วยให้เข้าใจความลึกซึงของกฏที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนได้อย่างน้อยๆ 6 ประการ และมากที่สุดก็มีถึง 8 ประการ!
จังหวะนี้ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนเริ่มหอบถี่ขึ้นมาทันที หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงราวลูกสูบ ยากที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้อยู่นาน
หลังได้ยินคำยืนยันจากหวงเอ้อ เขาก็ไม่สงสัยเรื่องพลังอำนาจของผลเทพสังเวยสวรรค์อีกต่อไป!
“เจ้าแน่ใจหรือ…ว่าคนที่เจ้าพบว่าเป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดใหม่นั่น สมควรมาล่อลวงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเพื่อสังเวยให้ผลเทพสังเวยสวรรค์สุกจริงๆ? ไม่ใช่ว่ามันแค่พบเจอมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะเฉยๆ?”
ต้วนหลิงเทียนจี้ถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
“เหอะๆ หากที่นั่นเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิอมตะจริง เจ้าคิดว่ามันจะถ่อมาหาข้าเป็นการส่วนตัวเหรอ? ตราบใดที่มันแพร่ข่าวนี้ออกมา น่ากลัวยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหลายจะแห่กันไปอวี้หวงเทียนแทบไม่ทัน!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงมันใจ “นอกจากนั้นจิตวิญญาณอุปกรณ์เทพของข้าก็มั่นใจเต็มสิบส่วน…ว่าชาติที่แล้วอย่างน้อยมันก็ต้องเป็นจักรพรรดิอมตะ”
“ในฐานะจิตวิญญาณของอุปกรณ์อมตะระดับเทพ ย่อมไวต่อสัมผัสวิญญาณที่กลับชาติมาเกิดมาก…เจ้ารอให้พี่สาวหวงเอ้อผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของเจ้าก่อน ภายหลังพอเจ้าเจอใครที่กลับชาติมาเกิด พี่สาวหวงเอ้อก็บอกเจ้าได้ทันทีเหมือนกัน”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่งข้อความถึงจุดนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเสริมอีกประโยคด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียยนยังไม่เชื่อ “ไม่เชื่อเจ้าก็ลองถามพี่สาวหวงเอ้อดูสิ”
คราวนี้ต้วนหลิงเทียนไม่คิดถามหวงเอ้ออีกต่อไป แต่เลือกจะเชื่อคำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแทน
“ต่อให้ที่นั่นจะมีต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ และปรากฏผลเทพสังเวยสวรรค์ขึ้นจริงๆ…แล้วพวกเราจะแบ่งกันยังไง?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
เท่าที่เขารู้มายิ่งผลไม้อมตะทรงพลังเท่าไหร่ บนต้นไม้ก็จะปรากฏผลไม้อมตะดังกล่าวน้อยลงเท่านั้น
ผลเทพสังเวยสวรรค์มีพลังอำนาจท้าทายสวรรค์ขนาดนี้ ทั้งต้นก็สมควรมีแค่ผลเดียวไม่ใช่หรือ?
“ยามต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ออกผล ล้วนมี 2 ผลเสมอ…เรื่องนี้ไม่มีข้อยกเว้น!”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ตอบกลับไปทันที ยังเล่าเสริมด้วยว่า “ก็เหมือนตอนจักรพรรดิสวรรค์ว่านโช่วเทียน มันเองก็ได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์มา 2 ผล มันใช้เองผลหนึ่ง ส่วนอีกผลมันจะเก็บไว้หรือให้ใครไปแล้ว ก็สุดที่ผู้ใดจะทราบได้”
2 ผล!
สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวทอประกายเจิดจ้าขึ้นมาปานดวงดาวกลางฟ้ายามค่ำคืน!
“เอาล่ะ…ข้าจะไปอวี้หวงเทียนกับเจ้า?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบรับคำชวนหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
และพอกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็คล้ายนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบถามออกไปอีกครั้งว่า “ว่าแต่ต้องไปเมื่อไหร่ แล้วด่านพลังฝึกปรือของจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่นมันเป็นยังไง?”
“อีก 2 ปีหลังจากนี้ และด่านพลังของเจ้านั่นก็ยังเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเหมือนพวกเรา”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบกลับ
“เอาล่ะ อีก 2 ปีเจอกัน”
หลังได้รับคำตอบ ต้วนหลิงเทียนก็ตอบกลับ จากนั้นค่อยเก็บยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณที่หยิบมากองเผื่อไว้กลับลงแหวนพื้นที่…
หากเป็นเรื่องธรรมดา เขาคงไม่คิดจะเสี่ยงออกจากนิกายอมตะเป้าผู่แน่นอน แต่ในเมื่อเรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึง ผลเทพสังเวยสวรรค์ อันเป็นสิ่งลำค่าถึงขนาดนั้น เขาจำต้องเสี่ยง!
สุดท้ายแล้วความมั่งคั่งย่อมมาพร้อมความเสี่ยง!
‘เดิมทีข้าคิดจะทะลวงให้ถึงขอบเขตขุนนางอมตะให้เร็วที่สุด…แต่ตอนนี้ดูเหมือนข้าทำได้แค่พยายามทำความเข้าใจความลึกซึ้ง เผาไหม้ ของกฏแห่งไฟให้ได้มากที่สุดแทน…’
ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ทันที ว่าลองจักรพรรดิมอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่น ออกมาตามหายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดด้วยตัวเอง ที่สำคัญตัวมันก็ยังเป็นแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแบบนี้! เผยให้รู้ว่ามีเพียงยอดเซียนอมตะขั้นสูงุสดเท่านั้นที่จะเข้าไปในสถานที่ปลูกต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ได้!!
ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเล่ามา ดูเหมือนการสังเวยชีวิตเพื่อต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ ผู้สังเวยจำต้องเป็นตัวตนในขอบเขตพลังยอดเซียนอมตะเท่านั้น
ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็ทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการเข้าใจความลึกซึ้งเผาไหม้ของกฏแห่งไฟ และเมื่อพบเจอจุดตีบตัน เขาก็หันไปพยายามทำความเข้าใจความลึกซึ้ง ปะทุ ของกฏแห่งไฟแทน
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
การทำความเข้าใจความลึกซึ้งเผาไหม้กับปะทุของกฏแห่งไฟต้วนหลิงเทียนเอง ก็มีความคืบหน้าไม่น้อย
ในระนาบโลกียะเขาก็เป็นผู้หลอมโอสถ พอมาระนาบเทวโลกเขาก็เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะ ทำให้ตัวเขาคลุกคลีกับไฟมาก ย่อมมีความเข้าใจในกฏแห่งไฟสูงกว่ากฏอื่นๆ
อีกทั้งสติปัญญาของเขาก็ไม่ใช่ชั่ว
ดังนั้นต่อให้ไม่มีเพลิงเทพโกลาหลคอยชี้แนะโดยตรง แต่ความเร็วในการทำความเข้าใจความลึกซึ้งเผาไหม้กับปะทุ ของต้วนหลิงเทียน ก็รวดเร็วสุดที่คนทั่วไปจะทาบติด
…
ระนาบเซียน เป็นระนาบบโลกียะเล็กๆ ท่ามกลางระนาบโลกียะอันนับไม่ถ้วนในมหาสหัสโลก
เปรียะ!
เหนือทะเลสาบที่ไหนสักแห่งของระนาบเซียน อยู่ดีๆความว่างเปล่าก็เริ่มปริแตก บังเกิดเป็นรอยแยกมิติอันมืดดำแลดูน่ากลัวนัก
และหลังจากที่ห้วงมิติฉีกเปิดได้ไม่ทันไร ก็ปรากฏร่างกำยำหนึ่งก้าวลอดออกมา
เป็นชายวัยกลางคนร่างกายสูงใหญ่แลดูแข็งแรงในชุดคลุมสีเขียว หลังก้าวออกมาจากรอยแยกมิติแล้ว ร่างมันก็ลอยตระหง่านค้างกลางหาวแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว ให้สภาวะประหนึ่งหอคอยเหล็กตั้งตระหง่าน!
“ในที่สุดข้าก็หาเจอเสียที…ที่นี่น่ะหรือระนาบเซียนที่ใต้เท้าฟงชิงหยางขอให้ข้ามา?”
ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นชายวัยกลางคนที่ฟงชิงหยางช่วยชีวิตไว้ไม่ไกลจากทางเข้าออกนรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลก
ถึงแม้ชายวัยกลางคนผู้นี้ วันนั้นจะแลดูสิ้นท่าทำได้แค่รอรับความตาย และถ้าไม่ได้ฟงชิงหยางช่วยไว้ ป่านนี้มันคงตกตายไปแล้ว…
แต่อย่างไรก็ตาม นั่นเพราะชายชราเผชิญหน้ากับสัตว์อมตะที่ทรงพลังอย่างมาก อันที่จริงพลังฝีมือของมันก็ไม่ใช่ชั่วเลย เพราะมันเองก็เป็นถึงจักรพรรดิอมตะ 7 ดาราคนหนึ่ง!
ตัวตนอันทรงพลังขอบเขตจักรพรรดิอมตะนั้น การมาเยือนระนาบโลกียะของมันย่อมไม่ต้องหวั่นหวาดผลกรรมทางโลกอะไร กระทั่งยังเดินทางมายังระนาบโลกียะได้ในชั่วพริบตา เสมือนเดินเล่นในสวนหลังบ้าน
หลังผ่านไป 1 เดือน ชายวัยกลางคนก็ยืนยันเรื่องราวได้แน่ชัด
ว่าเจ้าหนู ‘ต้วนหลิงเทียน’ ที่ฟงชิงหยางขอแรงให้มันออกไปตามหาและพาไปวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนนั้น ได้ออกจากระนาบโลกียะแห่งนี้ไปนานแล้ว
“อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนใต้เท้าฟงชิงหยางจักมิรู้เรื่องที่เจ้าหนูนั่นมันขึ้นสวรรค์ไปแล้ว…ดูเหมือนข้าต้องไปเยือนวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนเพื่อแจ้งเรื่องนี้ให้ใต้เท้าฟงชิงหยางทราบ”
สูงขึ้นไปเหนือฟ้า ชายวัยกลางคนกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ
และพอกล่าวจบคำ ชายวัยกลางคนเพียงโบกมือเบาๆคล้ายโบกปัดแมลงวัน หากทว่าเบื้องหน้าก็ปรากฏรอยแยกมิติฉีกเปิดขึ้นมาทันใด
พริบตาต่อมาร่างมันก็เลือนหายไปในรอยแยกมิติดังกล่าว ราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
และหลังจากที่ชายวัยกลางคนจากไปได้ราวๆ 1 เดือน ร่าง 3 ร่างก็ทอยกันปรากฏตัวขึ้นในระนาบเซียนทีละคนๆ
เป็นชายหนุ่มหน้าตาเคร่งขรึมในชุดดำ กับสตรี 2 คนที่แลดูน่าเกรงขามไม่เบา
สตรีทั้ง 2 นั้น หนึ่งมาในชุดสีขาวกระจ่างท่าทีสงบนิ่งปานเทพธิดา ส่วนอีกคนมาในชุดสีทองแลดูคึกคัก คล้ายองค์หญิงจอมซนจากวังไหนสักแห่ง
ทั้ง 3 คนก็คือ เสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ แล้วก็เสี่ยวจิน ที่พึ่งออกจากว่านโช่วเทียนและหวนกลับมายังระนาบเซียน
“บ้านเกิดของข้า! ข้ากลับมาแล้ววว!!”
เสี่ยวจินสูดลมหายใจเข้าลึกๆค่อยตะโกนออกมาอย่างเริงร่า แก้มงามสีอมชมพูระเรื่อปรากฏรอยยิ้มสดใส แลดูมีความสุขนัก
“บ้าน…ในที่สุดข้าก็ได้กลับบ้าน”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่สองตาของเสี่ยวไป๋ก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
ถึงแม้เสี่ยวเฮยจะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้ามาดขรึมของมันตอนนี้ ก็แลดูอ่อนโยนลงหลายส่วน แววตายังฉายชัดถึงความคิดถึงประการหนึ่ง
ระนาบโลกียะแห่งนี้คือบ้านเกิดของพวกมัน
ที่นี่มากล้นไปด้วยความทรงจำของพวกมัน
และความทรงจำส่วนใหญ่ของพวกมัน ก็จะมีชายหนุ่มชุดม่วงคนหนึ่งอยู่ด้วยเสมอ เป็นพี่ใหญ่หลิงเทียนของพวกมัน ที่คอยเลี้ยงดูเอาใจใส่และเล่นกับพวกมันมาแต่เล็กแต่น้อย