War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3100
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
ดวงจิตและโลหิตของผู้ตายที่ออกันอยู่ที่ขอบม่านพลัง เมื่อไร้ม่านพลังขวางกันแล้ว พวกมันก็พุ่งทะยานไปดั่งทัพม้าห้อตะบึง หลั่งไหลเข้าสู่ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์เร็วรี่!
บัดนี้ต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ประหนึ่งวาฬตัวเขื่องโหยหิว ดูดซับดวงจิตและโลหิตของผู้ตายลงท้องอย่างตะกละตะกลาม
และเหล่าดวงจิตกับโลหิตผู้ตายที่ถูกดูดซับนั้น พวกมันก็ถูกนำไปหล่อเลี้ยงตัวอ่อนผลเทพสังเวยสวรรค์ที่ฐานรองดอกทั้ง 2 ทันที
หลังได้รับดวงจิตกับโลหิตมหาศาล ตัวอ่อนของผลเทพสังเวยสวรรค์ก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาทันใด
แสงสีแดงปานโลหิตสาดส่องออกมาจากต้นอ่อนผลเทพสวรรค์เจิดจ้า กลิ่นอายพลังมหาศาลชวนสยองขุมหนึ่งเริ่มกำจายออกมากดดันในบรรยากาศ!
จากนั้นตัวอ่อนผลเทพสังเวยสวรรค์ก็เริ่มหดขยายประหนึ่งหัวใจเต้น ราวกับมันกำลังจะมีชีวิตขึ้นมา!
และนี่คือสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ว่า….ถึงขั้นตอนสุดที่ท้ายตัวอ่อนผลเทพสังเวยสวรรค์กำลังจะเติบโตแล้ว!
ส่วนมันจะเติบโตเป็นผลเทพสังเวสวรรค์ได้สำเร็จหรือไม่ ก็ต้องรอดูชม!!
“หึ!”
หลั่งแค่นลมสบทเยียบเย็นคราหนึ่ง เจียงหลานก็เริ่มขยับ 2 มือแปลงเป็นสัญลักษณ์ต่างๆฉับไว เพื่อควบคุมปิดค่ายกลมายาหลอนประสาทในห้องโถงก่อนที่ค่ายกลจะเสียหาย
ทันใดนั้นไม่ว่าจะเป็นต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋น หรือยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ยังรอดชีวิตอยู่ ทั้งหมดก็รู้สึกเสมือนเบื้องหน้าปรากฏแสงสว่างวูบวาบ และพริบตาต่อมาฉากโถงถ้ำขนาดพอประมาณในสายตายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด 3 คนก็สลายหายไป กลับกลายเป็นโถงถ้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลแทน
จากนั้นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้ง 3 ที่ยังรอดชีวิตอยู่ไม่เพียงแต่จะเห็นหน้าค่าตากันและกัน ทั้ง 3 ยังสังเกตเห็นต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋น และเจียงหลานอีกด้วย!
จังหวะนี้สีหน้าพวกมันเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็หันไปมองจ้องเจียงหลานด้วยสายยตาระแวดระวัง ทำราวกับอีกฝ่ายคือศัตรูตัวฉกาจ!
“ท่ามกลางยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดชนชั้นอัจฉริยะนับหมื่น แต่ยังสามารถเหลือรอดชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้…ข้าต้องขอกล่าวชมจากใจเลยว่า พวกเจ้าทั้ง 5 คนร้ายกาจมาก…”
เจียงหลานเหลือบมองต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆทั้ง 5 คนด้วยสายตาเฉยเมย กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ
“หืม?”
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็ตระหนักได้ทันทีว่าเจียงหลานได้ยกเลิกค่ายกลมายาหลอนประสาทไปแล้ว
สิ่งนี้สังเกตได้จากปฏิกริยาของหลินเฟยหยางและอีก 2 คนที่เหลือ
“เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอันใด?”
อีก 2 คนที่ยังรอดชีวิตอยู่นั้น หนึ่งมีลักษณะเป็นชายหนุ่ม ส่วนอีกหนึ่งเป็นชายวัยกลางคน และเป็นชายวัยกลางคนที่ชักหน้าเคร่ง มองถามเจียงหลานด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ หลังได้ยินคำพูดของเจียงหลาน
ถึงแม้มันจะเป็นชนชั้นสุดยอดอัจฉริยะของขุมกำลังตัวเอง และสามารถบรรลุความสำเร็จได้ด้วยวัยไม่ถึง 200 ปี
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับความสามารถอันร้ายกาจของเจียงหลาน มันย่อมสัมผัสได้ถึงความพ่ายแพ้ ทั้งรู้สึกเสมือนตัวเองนั้นไร้ราคาอันใด
เจียงหลานอายุไม่ถึงร้อยปี แต่ไม่เพียงจะบรรลุขอบเขตพลังยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด อีกฝ่ายยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำถึง 4 ประการแล้ว…
ทว่าตัวมันนั้นอายุก็ปาไปเกือบ 200 ปี ทว่ายังอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด และเข้าใจความลึกซึ้งของกฏสายฟ้าถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นได้ 3 ประการ ส่วนประการที่ 4 ยังพึ่งจะริเริ่มเข้าใจได้บางส่วนเท่านั้น…
ไม่ว่าจะในแง่พรสวรรค์หรือเชาว์ปัญญา มันไม่อาจเทียบชั้นกับเจียงหลานได้เลย
ขวับ! ขวับ! ขวับ! ขวับ!
ได้ยินคำถามของชายวัยกลางคน สาตาต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋น หลินเฟยหยางและชายหนุ่มอีกคน ก็หันขวับไปจับจ้องเจียงหลานอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันมา
สายตาของหลินเฟยหยางกับชายหนุ่มนั้น ฉายถึงความกังวลและเต็มไปด้วยความสงสัย
หากแต่สายตาของต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังคงสงบเฉยเมยไม่ทุกข์ร้อนอันใด ทว่าสิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้เจียงหลานเอะใจสงสัยแต่อย่างใด และเข้าใจว่าทั้งคู่กำลังเสแสร้งทำเป็นนิ่งสงบ อันที่จริงไม่พ้นต้องหวั่นหวาดเหมือนคนอื่นๆ
“หมายความว่าอันใดน่ะหรือ?”
ได้ยินคำถามของชายวัยกลางคน เจียงหลานก็คลี่ยิ้มบางๆ “ก็ตอนนี้ในบรรดายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดนับหมื่นคน คงเหลือแต่พวกเจ้าทั้ง 5 ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างไรเล่า…ส่วนผู้อื่นนั้นตกตายไปหมดสิ้น ยังไม่เหลือแม้แต่ศพให้กลบฝัง!!”
ขณะเจียงหลานเอ่ยถึงความตายของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดนับหมื่นชีวิต รอยยิ้มบางๆก็ยังคงคลี่กางบนใบหน้ามันห่างหาย ราวกับพึ่งพูดถึงเรื่องไม่สลักสำคัญ
“ตาย…ตายหมดแล้ว?”
“ตกตาย…ไม่เหลือแม้แต่ซากศพ!?”
…
หลินเฟยหยางกับยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอีก 2 คน พอได้ยินคำยืนยันของเจียงหลาน สีหน้าพวกมันก็แปรเปลี่ยนไปใหญ่หลวง จากนั้นก็เริ่มหันรีหันขวางไปรอบๆ หมายมองหาผู้รอดชีวิตคนที่ 6
อนิจจาไม่ว่าจะหันมองไปทางไหน ก็ไร้แม้แต่เงาของผู้คน
“เจ้าบอกว่าพวกมันตายพวกมันก็ตายกันหมดงั้นหรือ? ต่อให้ตายจริงก็มิใช่ว่าต้องเหลือร่องรอยอันใดไว้หรือไร?”
หลินเฟยหยางสูดอากาศเข้าลึกๆ ค่อยมองจ้องเจียงหลานตาเขม็งเอ่ยถามเสียงเข้ม
“เมื่อครู่มิใช่ข้าบอกไปแล้วหรือ…พวกมันทั้งหมดตกตายโดยไม่เหลือศพให้กลบฝัง…เจ้ายังไม่เข้าใจหรือว่ามันหมายความว่าอันใด?”
เจียงหลานหันไปมองตอบหลินเฟยหยางเสียงเฉย มุมปากยังเริ่มฉีกยิ้มแสะชั่วร้าย
ตายไม่เหลือซาก!
พอสิ้นคำของเจียงหลาน ใจหลินเฟยหยางก็สะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ หากแต่สีหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน “เจ้าบอกว่าทุกคนตาโดยไร้ศพให้กลบฝัง หรือเจ้าจะบอกว่าตัวเจ้าสามารถกำจัดทุกคนได้โดยไม่เหลือแม้แต่ศพ?”
“จริงอยู่ว่าพลังฝีมือของเจ้าร้ายกาจ…แต่เรื่องที่จะสังหารทุกคนได้หมดจดเช่นนี้ นั่นเป็นไปมิได้!”
หลินเฟยหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“ข้าไปบอกเจ้าตอนไหนว่าข้าเป็นคนฆ่าพวกมัน?”
เจียงหลานคลี่ยิ้มสนุกสนาน “หากข้าจำไม่ผิดเจ้าเรียกว่าหลินเฟยหยางใช่หรือไม่? เจ้ายังจดจำผู้คนที่เจ้าฆ่าในถ้ำมายาได้หรือไม่เล่า?”
“หืม?”
ได้ยินวาจาดังกล่าวของเจียงหลาน สีหน้าหลินเฟยหยางและยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอีก 2 คนก็เปลี่ยนไปทันที ในใจยังบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลหนึ่ง
เจียงหลานมองหลินเฟยหยางด้วยสายตาแฝงความนัย “หากข้าบอกเจ้าว่า คนที่เจ้าเข่นฆ่าไปทั้งหมด ก็คือบรรดายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดนับหมื่นนั่นเล่า…เจ้ายังจะเชื่อข้าหรือไม่?”
“ไม่จริง! เรื่องพรรค์นั้นเป็นไปไม่ได้!!”
สีหน้าหลินเฟยหยางซีดลงปานกระดาษ “แม้ข้าจะไม่รู้จักพวกมัน แต่ข้าก็จำใบหน้าผู้คนได้เกือบทั้งหมด…ในบรรดาคนที่ข้าฆ่าไป ไม่มีพวกมันอยู่แน่!”
ถึงแม้ครั้งนี้เจียงหลานจะหลอกยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดนับหมื่นคนให้มารวมตัวกัน แต่ด้วยความทรงจำของตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสุด เพียงมองผ่านรอบเดียวก็สามารถจดจำใบหน้าผู้คนได้ ถึงจะไม่รู้จักกัน แต่ถ้าพบหน้ากันอีกครั้งต้องจดจำได้ทันทีว่าเคยผ่านตามาก่อน
“หึ! ถ้ำที่เจ้าสู้อยู่เมื่อครู่ล้วนเกิดจากค่ายยกลมายาหลอนประสาท แล้วเจ้าคิดว่ากับอีแค่เปลี่ยนแปลงใบหน้าผู้คนจะทำไม่ได้?”
รอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากของเจียงหลาน ยิ่งมายิ่งฉีกกว้างขึ้น
“และไม่ใช่แค่เจ้าเท่านั้น…แม้แต่ 4 คนที่เหลือนั่นก็เข่นฆ่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ข้าชักชวนมาไม่น้อย…”
เจียงหลานกล่าวถึงตรงนี้ก็ละสายตาออกจากหลินเฟยหยาง แล้วเบนไปตกยัง 4 คนที่เหลือ ก่อนที่จะหยุดมองต้วนหลิงเทียนเป็นพิเศษ “โดยเฉพาะต้วนหลิงเทียนผู้นั้น…จำนวนยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ตกตายด้วยน้ำมือของมัน ยังไม่น้อยกว่าจำนวนยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่พวกเจ้าทั้ง 4 เข่นฆ่ารวมกันด้วยซ้ำ!”
หลังเจียงหลานเอ่ยจบคำ ทุกสายตาก็หันไปจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนทันที
กระทั่งหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเองก็อดไม่ได้ที่จะหันมองไปยังต้วนหลิงเทียนเหมือน 3 คนที่เหลือ ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมจะส่งเสียงผ่านพลังไปกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียน “จังหวะนี้สำคัญนัก…เจ้าอย่าได้เผยพิรุธอันใดเชียว”
“และตราบใดที่มันคิดลงมือกับพวกเราคนใดคนหนึ่ง คนนั้นจักต้านทานรับมือมันสุดกำลัง ส่วนอีกคนให้หาโอกาสลอบโจมตีมันด้วยพลังทั้งหมด…หากทำได้พยายามฆ่ามันให้เร็วที่สุดโดยที่มันไม่ทันได้ตั้งตัว เพื่อตัดปัญหาในภายหลัง”
“สำหรับคนที่เป็นจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดเช่นมัน หากจะลงมือ ก็ต้องกระทำให้มั่นใจว่าฆ่ามันให้ตายได้แน่ๆ…หาไม่แล้วหากมันไม่ตาย คนที่จะตายคือพวกเรา!”
ขณะกล่าวประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เปลี่ยนเป็นจริงจังถึงขีดสุด
“ข้าหลงคิดว่าคนที่ข้าฆ่าไปทั้งหมดก่อนหน้า คือร่างมายาที่เกิดจากพลังของค่ายกลเสียอีก…ไม่คิดเลยว่าที่แท้จะเป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ถูกเจ้าหลอกมา! ที่แท้เจ้าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันแน่?!”
ในขณะที่ทุกสายตาจับจ้องมองมาที่ตัว ต้วนหลิงเทียนก็ชักสีหน้าเคร่งขรึม มองจ้องเจียงหลานทั้งเอ่ยถามออกไปเสียงหนัก
“ต้วนหลิงเทียน…”
เจียงหลานมองต้วนหลิงเทียน กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจักถือครองอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน 2 ชิ้น…อีกทั้งพวกมันยังเป็นอุปกรณ์อมตะจอมราชันประเภทคู่ ที่สามารถหลอมรวมกันได้! หลังหลอมรวมแล้วพลังอำนาจของมันแทบจะเทียบได้กับศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิเลยทีเดียว”
“ดูเหมือนเจ้าไม่เพียแต่จะเป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์และสติปัญญาไม่ใช่ชั่วเท่านั้น…แต่เจ้ายังมีโชควาสนาสุดที่ผู้คนธรรมดาจะเทียบได้อีกด้วย”
วาจาดังกล่าวของเจียงหลาน นับว่าทำให้ต้วนหลิงเทียนกลายเป็นจุดสนใจทันที
อุปกรณ์อมตะจอมราชัน 2 ชิ้น?
ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากที่เจียงหลานพูด ดูเหมือนอุปกรณ์อมตะจอมราชัน 2 ชิ้นที่ว่าจะเป็นประเภทคู่ที่สามารถผสานหลอมรวมกันได้? แถมพอรวมกันแล้วพลังแทบจะเทียบได้กับศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิ?!
หลินเฟยหยางและคนอื่นๆที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนแต่แรก พอได้ยินคำพูดดังกล่าวของเจียงหลาน สองตาแต่ละคนก็ลุกวาวฉายแสงจ้าขึ้นมาทันที มองไปประหนึ่งดาวดาวสุกสกาวกลางฟ้ายามคืนค่ำ
“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้…ถึงกับมีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันในครอบครอง 2 ชิ้นเชียวหรือ!?”
“ที่สำคัญอุปกรณ์อมตะจอมราชันทั้ง 2 ชิ้นนั่นยังมิใช่ธรรมดา…ฟังจากที่เจียงหลานมันบอก อุปกรณ์อมตะจอมราชันทั้ง 2 ของมันเป็นประเภทคู่ที่สามารถหลอมรวมกันได้ ทั้งยังทำให้มีพลังเพิ่มขึ้นไล่ๆอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ?!”
…
เป็นเพียงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แต่กลับมีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทคู่ไว้ในครอบครอง สิ่งนี้ยากนักที่จะไม่กลายเป็นจุดสนใจ
“ต่อให้ข้าจะโชคดีแค่ไหน ก็คงไม่เท่าเจ้ากระมัง…ผู้อมตะกลับชาติมาเกิด เรื่องนี้กล่าวไปไม่ง่ายเลยที่จะทำได้สำเร็จ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว!”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน เจียงหลานก็เชิดหน้าขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ จากนั้นก็เหลือบมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูแคลน “โชควาสนาของเจ้าไหนเลยจักสามารถเทียบกับข้าเจียงหลานผู้นี้ได้? หากเป็นข้าเมื่อชาติก่อน อาศัยแค่ลมหายใจของข้า ก็สามารถเป่าร่างเจ้าให้เป็นจุณได้ง่ายๆ!!”
“เจียงหลานผู้นี้…เป็นผู้อมตะกลับชาติมาเกิดจริงๆหรือ!?”
นับเป็นครั้งแรกที่เจียงหลานเปิดเผยตัวตนของตัวเองออกมาต่อหน้าพวกมัน แม้หลินเฟยหยางกับยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอีก 2 คนจะมีคาดเดาไว้บ้างแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกตกใจ
“อาศัยแค่ลมหายใจของเจ้า ก็เป่าข้าให้เป็นจุณได้ง่ายๆ?”
คิ้วต้วนหลิงเทียนเลิกขึ้น “ชาติที่แล้วของเจ้า…หรือจะเป็นจอมราชันอมตะ?”
หลังต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามเรื่องนี้ออกไป สายตาของหลินเฟยหยางและคนอื่นๆก็หันไปมองเจียงหลานอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดรอฟังว่าเจียงหลานจะตอบต้วนหลิงเทียนอย่างไร
“จอมราชันอมตะ?”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน สีหน้าเจียงหลานก็เต็มไปด้วยความรังเกียจ “จอมราชันอมตะอะไร? ชาติที่แล้วข้าคือจักรพรรดิอมตะ!!”
จักรพรรดิอมตะ!
ลูกตาหลินเฟยหยางและยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอีก 2 คนหดเล็กลงแทบปิด สีหน้าฉายชัดถึงความประหลาดใจเหลือเชื่อ!
ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกมันจะมีคาดเดาอย่างอุกอาจไปบ้างว่าเจียงหลานอาจจะเป็นจักรพรรดิอมตะ แต่พวกมันก็เร่งปัดความคิดดังกล่าวให้ตกไปทันที เพราะสำหรับพวกมันแล้วจักรพรรดิอมตะเป็นอะไรที่ไกลตัวเกินไป…
นั่นคือตัวตนที่เสมือนดำรงอยู่ก็แต่ในตำนานสำหรับพวกมัน!
มาตอนนี้พอพวกมันได้ยินเจียงหลานประกาศตัวว่า เป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด แต่ละคนจึงตกตะลึงถึงขั้นอธิบายไม่ถูก “เจียงหลานผู้นี้…เป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดจริงๆหรือ!?”
และพร้อมๆกับความตื่นตระหนกตกใจของพวกมัน ในใจพวกมันก็บังเกิดคำถามข้อหนึ่ง…
“แล้วจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดหลอกลวงพวกมันให้มาเข่นฆ่ากันเองทำไม? ที่แท้อีกฝ่ายมีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่?”