War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3430
ตอนที่ 3,430 : สองร้อยปีต่อมา ฟงชิงหยาง…
ดินแดน 10 ราชวงศ์นั้น นับเป็นดินแดนที่ต้อยต่ำที่สุดในระนาบเซียนแล้ว มันอยู่ในทวีปเมฆาล่อง 1 ใน 3 ทวีปมนุษย์ที่ห่างไกล จากความเจริญอย่างยิ่งยวด
ไม่ต้องกล่าวถึงจักรพรรดิอมตะ ที่เป็นด่านพลังสูงสุดขอระนาบเทวโลกเลย…
ต่อให้เป็นแค่เซียนอมตะเสเพลคนไหนสักคนที่อยู่ในภูมิภาคเบื้องบนของระนาบเซียน คิดจะฆ่าล้างคนทั้งดินแดน 10 ราชวงศ์ก็เกรงว่าลำบากเพียงยกมือ…
“ไม่เหลือใครรอด…ทุกคนตายหมดสิ้นแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่าอยู่บ้าง
เมื่อไม่นานมานี้เขาพึ่งจะพาฮ่วนเอ๋อกลับมายังดินแดน 10 ราชวงศ์ และพานางไปยังเมืองวายุโปรย เมืองประกายแสง รวมถึงสถานที่ทั้งหมดที่เขาเคยผ่านมา…
ทุกแห่งหนล้วนมีรอยเท้าของเขา และยังมีตำนานเล่าขานเรื่องราวของเขา
กระทั่งแต่ละแห่งยังมีรูปปั้นของเขา ไว้ให้ชนรุ่นหลังรับทราบวีรกรรมในอดีต
ทว่าบัดนี้ ทุกสิ่งอย่างไม่มีเหลือแล้ว ทั้งหมดสลายหายไปดั่งหมอกควันต้องลม
“นิกายลั่วสุ่ย จักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียน….”
สองตาของต้วนหลิงเทียนฉายชัดถึงโทสะแค้นล้นปรี่ เขาไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าตัวตนระดับจักรพรรดิสวรรค์ที่อยู่เหนือสุดของระนาบเทวโลกแห่งหนึ่ง เพียงเพื่อความแค้นส่วนตัว กลับลงมือต่ำช้าฆ่าล้างงผู้คนในระนาบโลกียะบ้านเกิดอันแสนอ่อนด้อยของเขา
หลังจากผ่านไปสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับอารมณ์ แม้สติจะกลับมาอยยู่กับร่องกับรอยแล้ว แต่สีหน้าขยังบิดเบี้ยวปั้นยากนัก “หากเสี่ยวเฟยยเอ่อ เทียนหวู่ และท่านพ่อท่านแม่ล่วงรู้เรื่องนี้ ทั้งหมดต้องเสียใจแน่…”
“แต่สุดท้ายสักวันก็ต้องรู้อยู่ดี แล้วกันไปเถอะ”
เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คิดจะปิดเรื่องนี้กับลี่เฟยและคนอื่นๆ แต่หลังจากคิดอีกที จะช้าจะเร็วสักวันทุกคนก็ต้องล่วงรู้อยู่ดี เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร
และเมื่อต้วนหลิงเทียนำเรื่องนี้ไปบอกต่อทุกคนในโลกใบเล็ก ทุกคนก็โมโหนัก ไม่มีใครคิดสักคนว่าจักรพรรดิสวรรค์ที่สูส่งคนหนึ่งจะลดตัวลงมาทำเรื่องต่ำช้าน่าขยะแขยงเช่นนี้ได้
“เทียนเอ๋อ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากแก้แค้น…แต่ก่อนที่เจ้าจะมีพลังฝีมือสูงพอ เป็นการดีที่สุดที่จะไม่เผยตัวออกไป นอกจากนั้นหากจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางกลับมาและทราบเรืองราวเมื่อไหร่ ย่อมไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆแน่”
ต้วนหรูเฟยเอ่ยกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงจริงจัง ด้วยกลัวว่าลูกชายจะบันดาลโทสะบุกไปเข่นฆ่าผู้คนถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียน เพื่อทวงหนี้เลือด
แต่พอกล่าวจบคำ ต้วนหรูเฟิงก็ตระหักได้ ว่าลูกชายของมันได้ผ่านพ้นประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เรียกว่าเจนจัดเรื่องราวความแค้นทางโลกมากกว่ามันหลายขุม เช่นนั้นถึงมันไม่พูดเรื่องนี้แต่ลูกชายตัวเองก็สมควรรู้สถานการณ์ดี
“ท่านพ่อ ข้าย่อมตระหักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ดี ท่านไม่ต้องห่วง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“พี่หลิงเทียน ไปดูที่คฤหาสน์คลื่นขจีที…”
หานเฉวี่ยไน่ขมวดคิ้วย่นเป็นปมกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความกังวล ด้วยเพราะบ้านเกิดนางก็อยู่ในระนาบเซียน เช่นกัน เพียงแค่อยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
นี่ก็ผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว ไม่ทราบว่าตระกูลของนางจะเป็นอย่างไรบ้าง
และยิ่งคิดนางก็ยิ่งเป็นกังวลนัก
“ได้”
ได้ยินคำของหานเฉวี่ยไน่ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าบ้านเกิดของนางไม่ได้อยู่ในดินแดน 10 ราชวงศ์ กระทั่งไม่ได้อยู่ในทวีปมนุษย์ด้วยซ้ำ หลังย้อนทวนนึกดูในความทรงจำครู่หนึ่ง ร่างเขาก็วูบตัดฟ้ามุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์คลื่นขจีทันที
คฤหาสน์คลื่นขจีเป็นสถานที่ๆหานเฉวี่ยไน่เกิดและเติบโต มีครอบครัวและญาติของนางทั้งตระกูลอาศัยอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความที่ตระกูลของหานเฉวี่ยไน่ก็ถือว่ามีระดับบบสูงพอตัวในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ด่านพลังฝึกปรือของทุกคนเองก็ก้าวหน้าไปมา และหลังจากหานเฉวี่ยไน่ประสบผลสำเร็จก็ได้ย้อนกลับมามอบทรัพากรมากมาย เช่นนั้นจะบิดาหรือญาติสนิท ในเวลา 300 ปีที่ผ่านก็สมควรบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนและมีอายุขัยไร้จำกัดไปแล้ว…
อย่างไรก็ตามเมื่อต้วนหลิงเทียนเดินทางมาถึงคฤหาสน์คลื่นขจีในความทรงจำ เขาก็พบว่า…
คฤหาสน์คลื่นขจี อันเป็นบ้านเกิดของหานเฉวี่ยไน่ ก็ได้ถูกพลังทำลายจนยับเยิน…ไร้ซึ่งกลิ่นอายชีวิตใดๆ
“ไม่…ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!!”
หานเฉวี่ยไน่ออกจากโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียนมาลอยร่างเหนือซากปรักหักพังที่แต่เดิมเคยเป็นคฤหาสน์คลื่นขจีด้วยสีหน้าเลื่อนลอย ในแววตาฉายชดถึงความเจ็บปวดใจนัก
บ้านของนางหายไปแล้ว…
ครอบครัวและญาติของนางตกตายหมดแล้ว…
“พี่ใหญ่หลิงเทียน”
หานเฉวี่ยไน่โยยนตัววเข้าอ้อมอกต้วนหลิงเทียน ร่ำไห้น้ำตาไหลพราก ต้วนหลิงเทียนย่อมรับทราบคความเจ็บปววดของร่างบางในอ้อมแขนที่สั่นระริกดี ได้แต่ตบหลางปลอบนางเบาๆ “เฉวี่ยไน่ วางใจเถอะ…หลายร้อยปีผ่านไป ไม่แน่บิดาของเจ้าที่ได้รับทรัพยากรไปมากมาย อาจไม่ได้อยยู่ที่คฤหาสน์คลื่นขจีอีกแล้ว”
แน่นอนว่าที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวไป ก็แค่คำปลอบใจเท่านั้น
กระทั่งเขาเองยังรู้สึกว่าครอบครัวของหานเฉวี่ยไน่ น่าจะประสบคราวเคราะห์หมดแล้ว
จังหวะนี้โทสะในใจที่มีต่อจักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนได้ลุกโชนขึ้นมาปานเพลิงไฟ ยากจะระงับเอาไว้ได้
ตลอดเวลาที่ผ่าน ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะก้าวหน้าจนบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมากพอเลย แม้จะมีเทพเบญจธาตุก็ตาม
ฟ้าดินนี้มียอดฝีมือมากเกินไป
กระทั่งตั้งแต่ตอนีท่อยู่ในระนาบโลกียะ เขาก็ได้ล่วงรู้ถึงการดำรงอยู่ของตัวตนขอบเขตเทพ จึงรับทราบดีว่าเป็นอะไรที่ทรงพลังเหนือล้ำยิ่งกว่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในระนาบเทวโลกเสียอีก…
อวิ๋นชิงเหยียน นายน้อยสกุลอวิ๋นที่เป็นถึงตระกูลใหญ่ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพนั่น อาศัยแค่ข้ารับใช้คนหนึ่งก็มีพลังมากพอจะไล่ต้อนให้ฟงชิงหยยางต้องหนีตายเข้าสู่นรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลก เช่นนั้นพลังฝีมือของเหล่ายอดฝีมือในแดนเทพบรรลุถึงระดับไหนต้วนหลิงเทียนย่อมจินตนาการได้ออก
สุดท้ายนั่นก็แค่ข้ารับใช้คนหนึ่งเท่านั้น!
“เฉวี่ยไน่ เจ้าไม่ต้องห่วง…หากเกิดเรื่องอะไรกับบิดาและญาติของเจ้าจริง วันหน้าข้าจะให้เจ้าฆ่าผู้ลงมือด้วยตัวเอง!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับหานเฉวี่ยไน่เสียงเข้ม
เป็นคำสัญญาที่เขามอบให้หานเฉวี่ยไน่
เมิ่งหลัวที่อยู่ด้วยหลังได้ยยินคำพูดของต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดว่ามันเหลวไหลอะไร เพราะมันตระหนักถึงสักยภาพของต้วนหลิงเทียนดี และไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะกล่าวคำเกินเลย
อย่างไรก็ตามหากมีจักรพรรดิอมตะคนไหนมาได้ยินคำกล่าวของต้วนหลิงเทียน ไม่พ้นต้องหัวเราะเยาะแน่!
จักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียน แม้จะเป็นจักรพรรดิสวรรค์ที่มีพังฝีมือกลางๆ แต่อย่างน้อยๆนางก็เป็นตัวตนระดับเทพสงคราม 7 ดารา มีชื่อเสียงในสมรภูมิ 9 ยมโลกในระดับหนึ่ง และครอบครองขุมกำลังระดับพระราชวังัจกรพรดริสวรรค์ลิกายระดับสวรรค์อันดับ 1 แห่งลั่วสุ่ยเทียน…แต่อาศัยจักรพรรดิอมตะคนหนึ่กลับพูดว่าจะจับนางมาให้ผู้อื่นฆ่า?
เหลวไหลสิ้นดี!
“ผู้อาวุโสเมิ่งหลัว”
สุดท้ายหลังจากปลอบหานเฉวี่ยไน่จนสงบลง และปล่อให้นางกับเข้าสู่โลกใบเล็กภายในกายแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองถามเมิ่งหลัวว่า “จักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนนั่น ในเมื่อท่านออกหน้าทั้งฝากคำไป จนนาน่าจะรับทราบแล้วว่าที่นี่คือบ้านเกิดของผู้อาวุโสฟงชิงหยาง…เช่นนั้นนางคงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีกกระมัง?”
“นายน้อย ต่อให้นางมีความกล้ามากกว่าเดิม 10 เท่า นางก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก!’
เมิ่งหลัวกล่าวรับรองออกมาด้วยความมั่นใจ
ได้ยินเมิ่งหลัวพูดแบบนั้น ต้วนหลิงเทียนก็พอได้วางใจบ้าง
ถึงแม้ว่าคนรู้จักและสหายเก่าในอดีตอาจจะตกตายไปแล้ว แต่อย่างไรระนาบเซียนก็ถือได้ว่าเป็นบ้านเกิดหลังที่สองของเขา ความรู้สึกที่มีต่อที่นี่ก็ไม่ธรรมดา แน่นอนว่าเขาไม่อยากให้มันพบเจอหายนะมากไปกว่านี้ เพราะสุดท้ายเขาเชื่อว่าต้องมีคนที่ยังรอดชีวิตอยู่แน่ อีกทั้งยังมีระนาบแฝดอย่างแดนปีศาจอีก กล่าวได้ว่าสักวันที่นี่ก็คงต้องกลับมามีผู้คนอีกครั้ง…
หลังจากสงบอารมณ์ได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งหลัวก็เดินทางกลับพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนทันที
และหลังกลับมาถึงพระราชวังจักกรพรรดิสวรรค์ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าคนข้างกายเขากำลังบ่มเพาะพลังในโลกใบเล็กอย่างขมักเขม้น ซึ่งต่างจากก่อนหน้าที่มักมีสนทนาคุยกันไปตามประสา…เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวีท่เกิดขึ้นกับระนาบเซียนยทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันอย่างหนัก
ในอดีตทุกคนรู้สึกว่า พลังฝึกปรือของตัวเองก็นับว่าพอตัวในระนาบเทวโลกแล้ว และหากย้อนกลับมาในระนาบโลกียะแบบนี้ก็คงกลายเป็นตัวตนไร้เทียมทาน
จนเมื่อจักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนส่งคนมาฆ่าล้างสรรพชีวิตในระนาบเซียน ทุกคนจึงตระหนักถึงคววามจริงประการหนึ่ง ว่าต่อให้คิดออกมาท่องเที่ยวยังระนาบโลกียะเบื้องล่าง กระทั่งคิดกับมาบ้านเกิดเมืองนอน ก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยเต็มสิบส่วน ไม่อาจกุมชะตาชีวิตของตัวเองไว้ในมือได้อย่างสมบูรณ์
จักรพรรดิอมตะออกหน้าสักคน ก็มากพอจะฆ่าทุกคนได้!
ความรู้สึกดังกล่าวย่อมทำให้ทุกคนหดหู่ไม่น้อย เช่นนั้นจึงเร่งขยันบ่มเพาะฝึกปรือกันอย่างหนัก
กระทั่งมู่อีอีเองที่สติปัญญาเท่าเด็กน้อยพอเห็นทุกคนตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะ ก็พยายามจนบ่มเพาะได้แล้ว…
‘ดูเหมือนว่าอีกไม่นานทุกคนน่าจะบรรลุถึงจอมราชันอมตะกันหมด กระทั่งทะลวงถึงจักรพรรดิอมตะ…’
หลังจากเห็นสถานการณ์ในโลกใบเล็กภายในกายของตัวเอง ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มปิดด่านบ่มเพาะในบ้านพักอย่างตั้งใจ เรียกว่าตอนนี้เขาอยู่ภายใต้แรงกดดันมากขึ้น ทั้งแบกรับภาระมากขึ้น
จักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียน ซือถูฉูชิง
จักรพรรดิสวรรค์ฝูโหย่วเทียน หยางอวิ๋นเซียว
คนแรกเขาต้องฆ่าให้ตาย!
ส่วนคนหลังเขาคิดบีบคั้นให้มันต้องลากคอจักรพรรดิอมตะวายุสุดขั้วบิดาของข่งโย่วอี้ออกมาให้เขาสำเร็จโทษให้จงได้!
ในขณะที่บ่มเพาะผู้เฒ่าหั่วก็จัดหาโอสถอมตะรวมถึงทรัพยากรบ่มเพาะสำหรับเขามาให้ไม่ขาด ทรัพยากรบ่มเพาะเหลานี้สำหรับคนในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนแล้ว ไม่ได้มีค่าอะไรมากนัก จึงส่งมาให้เขาใช้ได้เต็มที่
และในคลังเองด้วยความที่จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางไม่เคยรับศิษย์อย่างเป็นทางการ ก็มีสะสมอยู่ไม่น้อย
เป็นธรรมดาว่าถึงเหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหลายในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จะไม่ได้ใช้ทรัพยากรบ่มเพาะอีกแล้ว แต่พวกมันก็มีลูกมีหลานและศิษย์ จึงต้องมีกักไว้ใช้ส่วนตัวจำนวนหนึ่ง ไม่ได้ส่งมอบออกมาให้ต้วนหลิงเทียนมากนัก
อย่างไรก็ตามหากผู้เฒ่าหั่วรู้ว่าผู้ใดมีผลไม้อมตะหรือโอสถอมตะสำหรับด่านพลังจักรพรรดิอมตะในมือ ก็ได้ไปขอแลกด้วยทรัพยากรอย่างอื่นมาให้เขา
แน่นอนว่าเป็นการแลกเปลี่นที่ยุติธรรม และสิ่งของที่ผู้เฒ่าหั่วมอบให้พวกมันก็คุ้มค่ากับทรัพยากรที่พวกมันส่งมอบออกมา
เช่นนั้นไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือครอบครัว ด่านพลังฝึกปรือก็ก้าวหน้าด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง…แน่นอนว่าในระหว่างปิดด่านบ่มเพาะ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมแบ่งเวลามาใช้ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด เพื่อทำคววามเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติเช่นกัน
ด้วยมีผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุด ความเข้าใจในกฏมิติของเขาก็ก้าวหน้ารวดเร็วสุดที่ผู้ใดจะจินตนาการได้ออก
…
วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พริบตาก็ผ่านพ้นไป 200 ปี…
200 ผันผ่าน พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนก็ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
เพราะกล่าวไปแล้ววันเวลาแค่ 200 ปีสำหรับเหล่าจักรพรรดิอมตะในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนแล้วมันไม่ได้นานอะไรเลย
“นายน้อย”
ต้วนหลิงเทียนที่ปิด่านบ่มเพาะในห้องหับ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงผู้เฒ่าหั่วดังขึ้นจากด้านนอก ครู่ต่อมาเขาก็หยุดบ่มเพาะแล้วเดินออกมาหน้าประตู “มีอะไรหรือผู้เฒ่าหั่ว?”
ตลอดเวลา 200 ปีที่ผ่าน ช่วง 100 ปีแรกผู้เฒ่าหั่วก็สามารถนำทรัพยากรมามอบให้เขาอย่างมหาศาล แต่หลังจากนั้นก็เริ่มลดน้อยลงอยู่บ้าง
เพราะท้ายที่สุดแล้วผลไม้อมตะเอยยโอสถอมตะเอหรือทรัพยากรบ่มเพาะอย่างอื่น จะในคลังของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนหรือในมือจักรพรรดิอมตะเองก็มีจำกัด ผู้เฒ่าหั่วได้ไปหาแลกมาหมดแล้ว และแม้จะไปหาซื้อจากด้านนอก และออกภารกิจอะไรจนเขามีใช้ไม่ขาดมือ แต่ก็เห็นได้ไม่ยากว่าจำนวนที่ได้มันลดลงอยู่ดี
“นายน้อย ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์กลับมาแล้ว”
พอเห็นต้วนหลิงเทียนออกมา ผู้เฒ่าหั่วก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เดิมทีต้วนหลิงเทียนคิดว่าผู้เฒ่าหั่วจะมาส่มอบทรัพยากรชุดใหม่ แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยคำนี้ออกมา
ต้วนหลิงเทียนเฉื่อยชาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าก็เริ่มฉายคววามประหลาดใจ สองตายังทอประกายสว่างจ้า “อาวุวโสฟงชิงหยาง…กลับออกมาจากนรกอสุราแล้วหรือ?”
“ไม่ผิด”
ผู้เฒ่าหั่วตอบพลางยิ้ม “ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์พึ่งกลับมาถึงวันนี้ พอรู้ว่านายน้อยมาถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนแล้ว ก็บอกให้ข้ามาพานายน้อยไปพบโดยด่วน”
ขณะกล่าวคำ ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ น้ำเสียงของผู้เฒ่าหั่วก็มักเผยความเคารพนับถืออย่างแรงกล้า
“ไปกัน!”
ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวตอบผู้เฒ่าหั่วเร็วไว นอกเหนือจากความคาดหววังแว เขายังตั้งตารอไม่น้อย
อาวุโสฟงชิงหยาง!
ในที่สุดเขาก็กำลังจะได้พบเจอแล้ว!
ต้วนหลิงเทียนตั้งหน้าตั้งตารอพบอีกฝ่ายตั้งแต่มาถึงระนาบเทวโลกและได้รับทราบว่าอาวุโสฟงชิงหยางไม่ได้ตกตายในนรกอสุรา
ในที่สุดวันนี้ที่รอคอยก็มาถึง!