War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2952
ตอนที่ 2,952 : เตรียมตัวออกเดินทาง
“นายท่าน…นะ…นั่นมันอะไรกัน?”
ในสายตาของหลิวก่วงหลินนั้น อยู่ๆก็ปรากกฏพลังสีทองขุมหนึ่งพุ่งออกมาจากร่างนายท่าน หลังจากนั้นพลังสีทองดังกล่าวก็พุ่งไปปกคลุมฝ่ามือนายท่านเอาไว้…
และพริบตาต่อมา หินประหลาดก้อนนั้นที่นายท่านเรียกออกมา ก็ถูกพลังสีทองดังกล่าวหลอมจนสลายตัวเป็นกระแสพลังในพริบตา จากนั้นก็กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังสีทอง!
หลังกลืนกินหินประหลาดนั่นไปแล้ว กลิ่นอายของพลังสีทองนั่น ยังทวีความเข้มแข็งขึ้นมาในฉับพลัน! จากนั้นก็หดหายเข้าร่างกายนายท่านของมันไป!!
มันไม่อาจทราบได้จริงๆ ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่!
ตั้งแต่มันเกิดมา พึ่งเคยเห็นอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตามแม้มันจะพึ่งพานพบเรื่องประหลาดเช่นนี้เป็นครั้งแรก และมิอาจบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาและความลับอันยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้
“ข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่…ไว้มีโอกาสข้าจะบอกเจ้าทีหลัง”
ต้วนหลิงเทียนบอกปัดหลิวก่วงหลิน จากนั้นก็หันกลับบมาสนใจทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 ภายในร่าง ยังเริ่มส่องภายในร่างกายตัวเองทันที
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พบว่าในทะเลวิญญาณของเขา ทองเทพสุดลี้ลับที่เดิมทีเป็นเศษโลหะแตกหักนั้น บัดนี้ได้ทอแสงสว่างสีทองงออกมาเรืองรอง และส่วนที่แตกก็ค่อยๆงอกเงยออกมาคล้ายจะฟื้นสภาพเดิมก่อนจะแตกหัก!
อย่างไรก็ตามส่วนที่แตกหักบิ่นแหว่ง ก็ยังคงเหลืออยู่อีกไม่น้อย
กล่าวได้ว่ามันยังคงเป็นเศษโลหะแตกหัก หากแต่ไม่ได้อาการหนักเหมือนตอนแรกแล้ว!
ได้ยินคำพูดบอกปัดของต้วนหลิงเทียน หลิวก่วงหลินก็ไม่ได้คิดมากแต่อย่างใด เพราะในสายตามัน การที่นายท่านตอบกลับมาแบบนี้ ก็เพราะต้องมีเหตุผลบางประการแน่นอน
และพอเห็นว่าอยู่ดีๆต้วนหลิงเทียนก็นิ่งไป คล้ายจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้หลิวก่วงหลินจะไม่เข้าใจว่านายท่านของมันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ แต่มันก็เลือกที่จะแผ่สำนึกเทวะปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ เฝ้าระวังเหตุเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ประมาท
“เจ้าหนู นับว่าเจ้าทำได้ดีมาก…ตราบใดที่เจ้าพบทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 1 อีกสักชิ้น ตัวข้าย่อมพัฒนาไปเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 3 ได้อย่างราบรื่น!”
เสียงของทองเทพสุดลี้ลับดังขึ้นจากเศษโลหะแตกหักข้างดวงจิตของต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง และในน้ำเสียงก็ไม่ขาดการชมเชยต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย!
“และตราบใดที่ข้าพัฒนาไปเป็นทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 3 ได้สำเร็จ วันหน้าหากเจ้าพบเจอวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับราชาขึ้นไปที่มีกฏแห่งทองล่ะก็ ข้าสามารถช่วยให้เจ้าเข้าใจถึงกฏแห่งทองได้ในเวลาอันสั้น”
“นอกจากนั้นเมื่อข้าพัฒนาไปถึงขั้นที่ 3 ได้สำเร็จ นอกเหนือจากความสามารถในการคุ้มครองดวงจิตของเจ้าแล้ว ข้ายังผสานหลอมรวมเข้ากับอุปกรณ์อมตะในมือของเจ้าได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง และสามารถเพิ่มพูนพลังอำนาจของอุปกรณ์อมตะที่เจ้าใช้ได้!”
“ข้ากล่าวมากเกินพอแล้ว ข้าจักเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง…พยายามต่อไปเจ้าหนู ช่วยข้าให้พัฒนาสู่ขั้นที่ 3 ให้เร็วที่สุด ถึงตอนนั้นข้าไม่มีทางเอาเปรียบเจ้าแน่!”
เสียงงของทองเทพสุดลี้ลับดังระรัวมาเป็นชุดก่อนจะหยุดลงหน้าตาเฉย…ไม่เปิดช่องให้ต้วนหลิงเทียนถามไถ่สนทนาอันใด
‘ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 3…’
อย่างไรก็ตามฟังจากคำพูดของทองเทพสุดลี้ลับ หากอีกฝ่ายพัฒนาถึงขั้นที่ 3 ได้สำเร็จ ดูเหมือนจะสามารถผสานเข้ากับอุปกรณ์อมตะในมือและเพิ่มพูนพลังอำนาจได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง?
‘ทองเทพสุดลี้ลับ เพลิงเทพโกลาหล…ที่แท้พวกมันคืออะไรกันแน่?’
‘เท่าที่รู้ตอนนี้ พวกมันคือ 2 ในเทพแห่งธาตุทั้ง 5…อีกทั้งยังมีแบ่งเป็นระดับขั้นต่างๆ’
‘อย่างเช่นเพลิงเทพโกลาหล ในขั้นที่ 1 นั้น พลังอำนาจของมันสมควรเทียบได้กับเพลิงงอมตะระดับต่ำ ทว่าสมควรมีพลังเหนือกว่าเพลิงอมตะระดับต่ำทั่วไป’
‘พอพัฒนาไปเป็นขั้นที่ 2 พลังอำนาจของมันก็เทียบได้กับเพลิงอมตะระดับกลาง หากทว่าพลังอำนาจกลับอยู่เหนือเพลิงอมตะระดับกลางทั่วไปมากมาย’
‘สำหรับขั้นที่ 3 หรือก็คือระดับขั้นในปัจจุบันของเพลิงเทพโกลาหล มันมีพลังอำนาจทัดเทียมเพลิงอมตะระดับสูง หากแต่พลังอำนาจของมันกลับอยู่เหนือเพลิงอมตะระดับสูงงทั้งหลายไปไกลโข’
‘นอกจากนี้เพลิงเทพโกลาหลยังแตกต่างจากเพลิงอมตะที่พบเห็นได้ทั่วไปเป็นอย่างมาก ข้าสามารถแปลงคุณลักษณะพลังของมันให้อ่อนโยนหรือแข็งกร้าวได้ตามใจ เหมาะที่จะใช้ทั้งในการหลอมโอสถอมตะและอุปกรณ์อมตะ’
‘อีกทั้งมันยังช่วยยกระดับความรู้ความเข้าใจในเต๋าแห่งการหลอมโอสถอมตะให้ข้าได้อีก…’
…
‘และเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 3 กับทองเทพสุดลี้ลับยังกล่าวเหมือนกันอีกว่า…สามารถช่วยเหลือข้าให้เข้าใจพลังแห่งกฏได้อย่างรวดเร็ว หากข้าได้วรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชาที่มีกฏแห่งไฟหรือทอง?’
‘ถ้างั้นหากเพลิงเทพโกลาหล กับทองเทพสุดลี้ลับมันพัฒนาไปยังขั้นที่สูงกว่านี้เล่า ใช่จะมีประโยชน์มากกว่านี้หรือไม่?’
พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือ อยากเห็นพลังอำนาจของพวกมันหลังพัฒนาได้แล้วจริงๆ
แต่เป็นธรรมดาว่าเขาเองก็รู้ดี ว่าหากคิดจะทำให้พวกมันยกระดับพัฒนา ก็มีแต่ต้องหาเพลิงเทพโกลาหล หรือทองเทพสุดลี้ลับอื่นๆให้พวกมันดูดกลืน
“หลังจากนี้อีก 2 เดือนตระกูลราชวงศ์ของประเทศตันจี้จะจัดงานประมูลขึ้นที่เมืองหลวงของประเทศตันจี้…ถ้างั้นพวกเราไปเยือนที่พักของหวงเจียหลง เพื่อหารือกับเจ้าเมืองตู้อวิ๋นบิดาของหวงเจียหลงเรื่องนี้กันก่อนดีกว่า”
หลังงฟื้นสติแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปกล่าวกับหลิววก่วงหลิน จากนั้นก็เดินนำออกจากบ้านลานที่พักในเขตตำหนักจวี้หยวน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่พักที่ของเจ้าเมืองตู้อวิ๋นในเมืองหลวงทันที
ประเทศฝูชิวก็เป็นประเทศๆหนึ่ง และนอกจากเมืองตู้อวิ๋นแล้ว ยังมีเมืองใต้อาณัติอื่นๆรวมทั้งสิ้น 36 เมือง
เจ้าเมืองทั้ง 36 เมืองนั้น ก็เป็นขุนนางที่มีฐานะทัดเทียมกับเหล่าองค์ชายของประเทศฝูชิวเลยทีเดียว
แน่นอนว่า 36 เมืองที่ว่า ก็ย่อมมีความเข้มแข็งและพลังอำนาจแตกต่างกันอยู่บ้าง
ยกตัวอย่างก็เช่นเมืองตู้อวิ๋น ที่เป็น 1ในบรรดา 36 เมืองของประเทศฝูชิว ไม่ว่าจะทรัพยากรหรือจำนวนประชากรภายในเมือง ก็มากมายติด 1 ใน 3 อันดับแรกของประเทศฝูชิว!
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเฟยเหยี่ยน เป็นถึงยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้ขอบเขตราชาอมตะของประเทศฝูชิว และเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ฝูชิวจนทุกคนรู้กันว่าเป็นดั่งมือขวาของฮ่องเต้ฝูชิวเลยด้วยซ้ำ ในฐานะที่เมืองตู้อวิ๋นสามารถพัฒนามาเป็นเมืองใหญ่ติด 1 ใน 3 อันดับแรกได้ ก็บ่งบอกถึงความปรีชาสามารถของเจ้าเมืองผู้นี้ได้เป็นอย่างดี!
และภายในเมืองหลวงของประเทศฝูชิว ก็มีจวนที่พักของเจ้าเมืองทั้ง 36 คนปลูกสร้างเอาไว้
ตั้งงแต่ที่การประลองสวรรค์ใต้สิ้นสุดลง เนื่องจากบุตรชายทั้ง 2 ของเจ้าเมืองตู้อวิ๋นได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำทั้งคู่ เช่นนั้นหากด้านเมืองตู้อวิ๋นไม่เกิดปัญหาร้ายแรงถึงขั้นต้องให้หวงเฟยเหยี่ยนลงมือเอง หวงฟวยเหยี่ยนก็ย่อมเลือกที่จะพักอาศัยในจวนของเมืองหลวงต่อไปอีกสักพัก
ผู้เป็นบิดาเช่นมัน ไหนเลยจะไม่อยากเห็นลูกชายทั้ง 2 ประสบความสำเร็จ สามารถรอดชีวิตกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้และเข้าร่วม 3 นิกาย 2 ตระกูลกับตา?
และช่วงที่มันพักอยู่ในจวนที่เมืองหลวง ก็ทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับการฝึกฝนลูกชายทั้ง 2
ถึงแม้จวนที่พักของมันจะมีความหรูหราและความโอ่อ่าด้อยกว่าจวนและตำหนักในพระราชวังหลวงอยู่บ้าง แต่อย่างไรเสียพื้นที่ก็กว้างขวางใหญ่โตไม่ใช่น้อย และอาคารปลูกสร้างก็งดงามวิจิตรเหนือกว่าสิ่งปลูกสร้างของประชาชนทั่วไปในเมืองหลวงมากโข
“คุณชายต้วน เจ้าเมืองน้อยกำชับพวกเราไว้แล้วขอรับ ว่าหากคุณชายต้วนมา ก็มิต้องให้ท่านรอพวกเราเข้าไปแจ้งแต่อย่างใด พวกเราสามารถพาท่านเข้าไปหาเจ้าเมืองน้อยได้เลย…”
ต้วนหลิงเทียนที่นำหลิวก่วงหลินมาถึงประตูหน้าจวนที่พักของเจ้าเมืองตู้อวิ๋น เพียงกล่าวบอกตัวตนและจุดประสงค์การมาให้แก่ทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู อีกฝ่ายก็ผ่ายมือเชื้อเชิญเขาด้วยท่าทีสุภาพนอบน้อมทันที
หลังจากนั้นพอต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินเดินเข้าประตูมา ทหารเฝ้าประตูก็รีบก้าวอาดๆขึ้นมาจากด้านหลัง ไปคอยนำทางให้ต้วนหลิงเทียน
หลังเดินผ่านประตูหน้าจวนมาได้สักพัก ต้วนหลิงเทียนก็หันรีหันขวางชมสภาพภายในจวน และพบว่าแม้จวนหลังนี้จะแลดูด้อยกว่าพระราชวังหลวงอยู่บ้าง ทว่าในพระราชวังหลวงตกแต่งอย่างไร ที่นี่ก็มีคล้ายๆกัน
ดั่งนกกระจอกที่แม้จะตัวเล็ก แต่ก็มีอวัยวะครบถ้วน
นี่เป็นความประทับใจแรกสำหรับต้วนหลิงเทียนที่ได้ชมที่ทางภายในจวน
และหลังเดินผ่านมาถึงสวนหย่อมกลางจวนที่แลดูสะอาดสะอ้านคล้ายพึ่งจะทำการปรับปรุงมาหยกๆ กอปรกับกลิ่นหอมจากบุปผานานาพรรณที่ตลบอลอวลไปทั่ว ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสดชื่นเจริญตาไม่น้อย
นอกจากนั้นยังมีเสียงน้ำไหลแว่วดังมาไกลๆ พาลให้ใจรู้สึกสงบผ่อนคลาย บังเกิดอาการอยากทิ้งตัวลงนอนอยู่บ้าง
“อั้ย! น้องต้วน…ข้าคิดจะไปหาท่านอยู่พอดี ไม่นึกเลยว่าท่านจะเป็นฝ่ายมาหาข้าก่อน!”
หลังจากทหารเฝ้าประตูพาต้วนหลิงเทียนมาถึงประตูหน้าเรือนใหญ่หลังหนึ่ง และประกาศการมาถึงของต้วนหลิงเทียนออกไปได้ไม่ทันไร หวงเจียหลงก็เปิดประตูก้าวอาดๆมาต้อนรับต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเอง จากนั้นก็เชื้อเชิญต้วนหลิงเทียนกับหลิ่วกวงหลินเข้าเรือนอย่างมากอัธยาศัย
“พี่เจียหลงคิดจะไปหาข้าเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนที่เดินตามเข้ามาสักพัก ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
“ให้ข้าเดานะ น้องต้วนไม่พ้นมาเพราะเรื่องการประมูลไส้เดือนฝอยทองใช่ไหม?”
หลังจากที่หวงเจียหลงผายมือเชิญให้ต้วนหลิงเทียนนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนแถวนั้น มันก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มร่าทันที
“ท่านรู้แล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ก็ยิ้มกล่าวต่อว่า “คงเป็นเจ้าเมืองหวงบอกท่านสินะ?”
“ใช่”
หวงเจียหลงพยักหน้า “ท่านพ่อบอกว่า ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านพ่อไปเข้าร่วมงานประมูลของตระกูลราชวงศ์ตันจี้ที่จะจัดขึ้นในอีก 2 เดือนหลังจากนี้ และพยายามประมูลไส้เดือนฝอยทองทั้ง 2 ที่ราชวงศ์ตันจี้นำมาลงประมูลให้จงได้”
“หลังจากที่ท่านพ่อบอกข้าเรื่องนี้แล้ว…ก็ใช้ให้ข้าไปถามน้องต้วนดู ว่าน้องต้วนคิดจะไปเข้าร่วมงานประมูลที่เมืองหลวงของประเทศตันจี้ด้วยรึเปล่า?”
“ว่าแต่น้องต้วนว่าอย่างไรเล่า? ท่านอยากไปด้วยหรือไม่…หากท่านไปข้าจะได้ไปด้วย!”
กล่าวถามจบคำ ก็ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนทันได้ตอบอะไร หวงเจียหลงก็กล่าวเสริมออกมาก่อนว่า “แน่นอนว่าหากน้องต้วนไม่ไป ข้าเองก็คร้านจะไปเช่นกัน”
“ข้าว่าจะไปด้วย”
ต้วนหลิงเทียนตอบ
เขาแน่นอนว่าต้องไปด้วย!
2 เดือนหลังจากนี้ ถึงแม้ว่าหวงเฟยเหยี่ยนจะประมูลไส้เดือนฝอยทองที่ตระกูลราชวงศ์ของประเทศตันจี้นำมาลงประมูลได้จริง แต่การนำของกลับมาก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย…
ทว่าหากเขาไปด้วย ทันทีที่ได้รับไส้เดือนฝอยทองมา เขาก็สามารถหลอมโอสถเฉียนจินได้ทันที จากนั้นก็ใช้มันเพื่อทะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้เลย!
“ถ้างั้นข้าก็ไปด้วย!”
หลังได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน หวงเจียหลงก็แลดูกระตือรือร้นไม่น้อย
“พี่เจียหลง”
ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็มองงถามหวงเจียหลงว่า “แล้วตอนนี้เจ้าเมืองหวงอยู่ในจวนรึเปล่า?”
เนื่องจากเขามาที่จวนแห่งนี้ในฐานะแขก เช่นนั้นตามมารยาทแล้วก็ต้องแวะไปทักทายเจ้าบ้านเสียก่อน ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวงเจียหลง หรือเรื่องสถานะของหวงเฟยเหยี่ยนเลย
“น่าเสียดาย น้องต้วนท่านมาถึงช้าไป…เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนท่านพ่อที่เห็นว่ายังพอมีเวลาเหลืออีกเดือนกว่าจะถึงเวลาเดินทางไปงานประมูล ท่านก็เลยคิดไปสะสางเรื่องราวที่เมืองตูอวิ๋นก่อน ตอนนี้ก็คงเดินทางออกจากเมืองหลวงไปไกลแล้วล่ะ…”
หวงเจียหลงส่ายหน้าไปมาพลางกล่าว “กว่าที่ท่านพ่อจะกลับมา ก็คงเป็นช่วงที่พวกเรากำลังจะออกเดินทางพอดี”
“ถ้างั้นไว้พบเจ้าเมืองหวง ตอนที่จะเดินทางไปเมืองหลวงของประเทศตันจี้ทีเดียวเลยแล้วกัน”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
หลังคุยเล่นกับหวงเจียหลงอีกสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็ร่ำลาอีกฝ่ายแล้วย้อนกลับตำหนักจวี้หยวนในเขตพระราชวังหลวงทันที โยไม่คิดจะแวะไปที่ไหน
หลังจากนี้ ต้วนหลิงเทียนไม่คิดบ่มเพาะพลังแต่อย่างใด เขามุ่งเน้นไปกับการหลอมโอสถอมตะ เพื่อให้คุ้นมือและขัดเกลายกระดับความสามารถในการหลอมโอสถอมตะให้สูงขึ้น
เพราะตอนนี้ต่อให้เขาบ่มเพาะพลังไป แม้ระดับพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง ทว่าเมื่อรับประทานโอสถเฉียนจินและทะลวงถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้แล้ว รากฐานพลังในร่างเขาก็จะตกอยู่ในสถานะไม่เสถียรทันที
และตอนนี้ต่อให้เขาไม่บ่มเพาะพลังอะไร หลังจากกินโอสถเฉียนจินแล้วทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด สถานการณ์ด่านพลังในร่างเขาก็ยังต้องตกอยู่ในสถานะเดียวกัน
เช่นนั้นเขาจะเสียเวลาบ่มเพาะไปทำอะไร
ถ้าจะบ่มเพาะพลัง ก็ยังต้องรอให้บรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเสียก่อน
หลังผ่านไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง…
เมือเดินออกจากประตูเมืองทิศเหนือของเมืองหลวงประเทศฝูชิวมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างนำหลิวก่วงหลินขึ้นไปบนฟ้า มุ่งหน้าเข้าหาคนกลุ่มหนึ่งที่เหินร่างรอคอยอยู่ก่อนไกลตา
“น้องต้วน!”
และพอเหินเข้าไปหาคนกลุ่มนั้นได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงคุ้นเคยหนึ่งดังทักมาแต่ไกล เป็นหวงเจียหลงนั่นเอง