War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 2995
ตอนที่ 2,995 : อันดับเริ่มปรากฏ
ฝูงอีกาดำเขาทองนับพันนี่ พอเข้ามาในป่าแล้ว ไม่พ้นพวกมันก็ไม่อาจรักษาขบวนค่ายกลได้อีกสืบไป ต้วนหลิงเทียนก็สามารถใช้โอกาสดังกล่าวเพื่อหลบหนีไปได้ไม่ยากเย็น
เนื่อเพราะหากไร้ขบวนค่ายกล ความเร็วของพวกมันก็ไม่อาจเทียบต้วนหลิงเทียนได้
แต่ถ้าพวกมันรักษาขบวนค่ายกลเอาไว้ได้ล่ะก็ ความเร็วของอีกาดำเขาทองนับพันฝูงนี้ ก็จะเทียบได้กับยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ คิดจะไล่ล่าต้วนหลิงเทียนย่อมเป็นเรื่องราวอันง่ายดาย
และหากอีกาดำเขาทองคิดไล่ล่าติดตามต้วนหลิงเทียนเข้ามาในป่าจริงๆ ถึงแม้แรกเข้ามาในป่าขบวนค่ายกลของพวกมันอาจะพังทลาย แต่ขอเพียงพวกมันปลดปล่อยพลังล้างผลาญทำลายป่า จนมีพื้นที่โล่งมากพอพวกมันก็สามารถตั้งขบวนค่ายกลใหม่ได้ ถึงตอนนั้นพวกมันก็จะตามไล่ล่าสังหารต้วนหลิงเทียนต่อได้ไม่ยากเย็น!
‘ก่อนหน้านี้ตอนพวกมันบินลาดตระเวนความเร็วยังไม่ได้มากมายอะไร กลับกันพอเห็นข้าความเร็วของพวกมันก็เพิ่มสูงขึ้นในฉับพลัน…เห็นได้ชัดว่าพวกมันได้จัดตั้งค่ายเสร็จตั้งแต่ก่อนเจอข้าแล้ว…’
หลังกลับลงมาในป่า ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ลุกโชนไปด้วยไอพลังสีกากี จากนั้นก็เริ่มปรากฏพุทธองค์ร่างทองตัวเขื่องอันมีไอพลังสีม่วงม้วนพันปกคลุมไปทั่วร่างเขา
จากนั้นรอบกายเขายังปรากฏวังวนพลังดูดรั้งขุมหนึ่งสูบกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบมาหนุนเสริมยกระดับพลังของเขาในชั่วพริบตา
เห็นได้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนได้ใช้ออกทุกสิ่งเท่าที่มีเพื่อเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง!
ปฐมเวทย์กลืนกิน!
ปราณม่วงบูรพา!
ราชันไม่เคลื่อนไหว!
นอกจากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างของเขายังโคจรแล่นพล่านผ่านไปทั่วชีพจรสวรรค์ 99 สายเพื่อเตรียมปะทุระเบิดพลังออกมาในชั่วพริบตา!
ฟุ่บบบ!!
และสิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนกระทำหลังเร่งเร้าพลังงเต็มพิกัดก็คือ…วิ่งหนี! คนคล้ายอัสนีสีกากีอมทองเจือม่วง พุ่งวาบตัดป่าไปด้วยความเร็วสูงล้ำ!
อย่างไรก็ตามหลังต้วนหลิงเทียนวิ่งหนีมาด้วยความเร็วสูงสุดอยู่พักหนึ่ง เขาพบว่าด้านหลังกลับไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ จึงอดไม่ได้ที่จะชะงักร่างหยุดลงเพื่อประเมินสถานการณ์ใหม่อีกรอบ ‘นี่มันยังไงกันแน่…พวกมันไม่ได้ตามมางั้นรึ?’
ต้วนหลิงเทียนที่พบว่าเบื้องหลังยังเงียบเชียบไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ ก็เริ่มย้อนกลับไปอย่างกล้าหาญ แต่แน่นอนว่าพลังทั่วร่างยังคงถูกเร่งเร้าใช้ออกเต็มพิกัดพร้อมรับทุกสถานการณ์ อย่างไรก็ตามเมื่อย้อนกลับมาได้พักใหญ่กระทั่งมาถึงจุดเดิม เขากลับไม่เห็นนแม้แต่เงาของอีกาดำเขาทองสักตัว
จะว่าไปพอย้อนนึกดู จากสัมผัสของสำนึกเทวะในขณะที่เขาพุ่งร่างดิ่งลงเข้าป่ามา เหมือนว่าจะยังไม่มีอีกาดำเขาทองตัวไหนตามลงมาเช่นกัน
“ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ต้วนหลิงเทียนจึงเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง และพอขึ้นมาลอยร่างเหนือน่านฟ้า เขาก็เริ่มแผ่สำนึกเทวะหนึ่งออกไปตรวจสอบรอบๆอย่างเต็มกำลัง จึงพบว่าเหนือผืนป่า ที่แท้กลับมีบรรยากาศผิดแปลกอันหนาแน่นหนึ่งแผ่ปกคลุมอยู่ทั่ว
‘หรือว่า…เพราะบรรยากาศแปลกประหลาดนี่ ทำให้อีกาดำเขาทองไม่อาจบุกลงมาในป่าได้?’
ต้วนหลิงเทียนลดระดับเพดานบินลงมาให้อยู่ภายใต้ชั้นบรรยากาศแปลกประหลาดที่ปกคลุมเหนือผืนป่า จากนั้นก็เริ่มเหินร่างไปหาฝูงอีกาดำเขาทอง สุดท้ายเขาก็พบว่าฝูงอีกาดำเขาทองนับพันแม้จะสังเกตเห็นเขาแล้ว แต่พวกมันก็เอาแต่จับจ้องมาที่เขาเขม็ง ไม่ได้พุ่งเข้ามาหาเขาแต่อย่างไร
ที่สำคัญคือฝูงอีกาดำเขาทองพวกนี้ ได้อยู่ในสภาวะก่อขบวนค่ายกลตลอดเวลา!
“ไม่ลองก็ไม่รู้…”
ต้วนหลิงเทียนสูดอากาศเข้าลึกๆ เขาคิดยืนยันข้อสันนิษฐานในใจ จากนั้นร่างคนก็พุ่งเหินขึ้นไปเหนือบรรยากาศประหลาดที่ปกคลุมผืนป่าทันที!
แต่แน่นอนว่าเขาโผล่พ้นออกมาไม่ไกล พร้อมจะกลับลงไปทุกเมื่อ!
และในวินาทีที่ร่างเขาโผล่พ้นออกมาจากบรรยากาศประหลาดที่ปกคลุมผืนป่านั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงเล็กแหลมหนึ่งเสียดแทงแก้วหูจนแทบจะปริแตกอยู่รอมร่อ!
พอต้วนหลิงเทียนมองไปยังต้นเสียง เขาก็พบว่าฝูงอีกดำเขาทองนับพันที่แต่เดิมเอาแต่มอจ้องเขาเขม็งไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ เขาสีทองกลางหัวพวกมันได้เรืองสว่างจ้า ยังพุ่งดิ่งเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วสูงล้ำ!
ซู่ม!
ซู่ม!
…
เมื่อเผชิญหน้ากับการพุ่งโฉบเข้ามาของฝูงอีกาดำเขาทองนับพัน กอปรทั้งกลิ่นอายพลังของพวกมันที่กล้าแข็งถึงขีดสุด หนังศีรษะต้วนหลิงเทียนถึงกับชาด้านไปอีกครา คนเร่งดิ่งร่างกลับเข้ามาในบรรยากาศที่ปกคลุมผืนป่าเร็วไว
พอร่างต้วนหลิงเทียนเข้ามาในบรรยากาศที่ปกคลุมผืนป่าแล้ว ฝูงอีกาดำเขาทองนับพันก็พร้อมใจกันหยุดลงอย่างกะทันหัน จากนั้นก็เหินบินขึ้นไปยังน่านฟ้าเพดานบินเดิม และเอาแต่จ้องมองมาที่ต้วนหลิงเทียนเขม็ง
“ใช่จริงๆ…”
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมสามารถยืนยันข้อสันนิษฐานของเขาได้สำเร็จ
ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ฝูงอีกาดำเขาทองเหล่านี้ ไม่อาจล่วงล้ำเขามาในป่าได้!
อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องนี้เขาไมได้แปลกใจอะไรเท่าไหร่
‘หากไม่มีข้อจำกัดดังกล่าวสำหรับฝูงอีกาดำเขาทองนับพันนี่ และปล่อยให้พวกมันบินว่อนไปทั่วแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ เกรงว่าคงไร้ยอดเซียนอมตะคนไหนจะรอดพ้นเงื้อมมือพวกมันได้…’
และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไร
‘อย่างไรก็ตามด้วยการคงอยู่ของอีกาดำเขาทองฝูงนี้ อย่างน้อยๆก็ป้องกันไม่ให้ยอดเซียนอมตะทั้งหลายที่อยู่ในป่ารวมถึงข้า สามารถเหินบินเหนือผืนป่าได้สูงมากนัก…’
‘หากเหินบินพ้นบรรยากาศที่ปกคลุมเหนือผืนป่า ก็ไม่พ้นต้องเจอกับอีกาดำเขาทองทั้งฝูง…กล่าวได้ว่ามีเพียงแค่อยู่ในป่าเท่านั้นถึงจะปลอดภัยจากพวกมัน’
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจเรื่องราวได้ไม่ยาก ว่าต้องเป็นแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำได้ตั้งเงื่อนไขดังกล่าวขึ้นมา เพื่อกันไม่ให้ผู้คนในป่าเหินบินขึ้นไปบนฟ้า
กล่าวได้ว่าหากไม่อาจเหินบินขึ้นไปเหนือป่าได้สูง ก็ยากที่จะมองประเมินสถานการณ์ในป่า และยากจะป้องกันคนที่ซุ่มโจมตีจากด้านล่าง เช่นนั้นก็มีแต่ต้องเคลื่อนไหวในป่าอย่างระมัดระวังเท่านั้น
‘ก็นะ…แบบนี้ได้แต่เลือกจะมุ่งหน้าไปสักทางอย่างระวังเท่านั้น’
พอคิดได้ดังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่งตามสัญชาตญาณทันที
ระหว่างทาง ด้วยความเร็วในการเคลื่อนที่ของต้วนหลิงเทียนนั้นสูงมาก แม้เขาจะกระตุ้นสัตว์อมตะในป่าไม่น้อย แต่พวกมันก็มีอันต้องตกใจกับความเร็วของเขา และตัวใดที่คิดจะแหยมกับเขาก็ไม่แม้จะตามเขาได้ทัน…
‘ความเร็วของข้าตอนนี้มันเทียบได้กับขุนนางอมตะระดับต่ำ…ส่วนสัตว์อมตะในป่าเต็มที่ก็แค่ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเท่านั้น ที่รวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่ส่วนมากก็จะเป็นขั้นสวรรค์…’
‘อาศัยสัตว์อมตะขอบเขตยอดเซียนอมตะเหล่านี้ แม้อาจจะเป็นภัยต่อยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั่วไป แต่พวกมันไม่ใช่ภัยคุกคามอะไรสำหรับข้าเลย’
หากยังเป็นต้วนหลิงเทียนตอนที่ยังไม่เข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งดิน และเข้าไม่ถึงพลังกฏแห่งดิน การเดินทางของเขาคงไม่อาจราบรื่นได้เหมือนที่เห็น
เพียงเพราะเขาเข้าถึงพลังของกฏแห่งดินแล้ว ทำให้เขาสามารถท่องไปทั่วป่าได้ตามอำเภอใจ ราวกับเป็นแดนร้างที่ไร้ผู้ใดอาศัยอยู่
วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
ไม่ทันไร ห้วงเวลาสิบวันก็ผ่านพ้นไปดุจชั่วพริบตา
บริเวณน่านฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบบอวิ๋นเยียน
ประตูเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น ตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนกับเหล่ายอดเซียนอมตะทั้ง 12,000 คนเข้าไปแล้ว มันก็ได้ปิดตัวลงอีกครั้ง
และหลังจากที่ประตูดังกล่าวปิดตัวลง ก็ปรากฏม่านแสงหนึ่งอุบัติขึ้นกลางความว่างเปล่า ม่านแสงที่ว่ายังปรากฏขึ้นเบื้องหน้าประตูที่พึ่งปิดตัวลงไป
ม่านแสงที่ว่านั้นมองไปคล้ายกระดานมหึมาแผ่นหนึ่ง ยังเข้มเสียจนเสมือนเป็นกระดาษสีขาวไร้สิ่งใดขีดเขียน ห้อยแขวนไว้กลางอากาศ
เดิมทีทุกคนก็ให้ความสนใจกับม่านแสงที่มองไปไม่ต่างอะไรกับกระดาษขาวว่างเปล่านี้อยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามพอวันเวลาผ่านพ้นไปสิบวัน แต่ม่านแสงดั่งกระดาษขาวว่างเปล่ากลับไร้สิ่งใดเปลี่ยนแปลง ในที่สุดคนก็หมดความสนใจในตัวมัน
จนเมื่อ…
“พวกเจ้าดูเร็ว มีชื่อใครบางคนปรากฏขึ้นแล้ว!!”
ไม่ทราบว่าเป็นเสียงของผู้ใดที่ดังขึ้น อย่างไรก็ตามมันทำให้คนที่หมดความสนใจในม่านแสง จำต้องหันกลับไปมองม่านแสงใหม่อีกครั้ง
จึงพบว่าบริเวณส่วนบนสุดของม่านแสงที่ดั่งกระดาษขาวห้อยแขวนเอาไว้นั้น เริ่มมีรายชื่อหนึ่งค่อยๆปรากฏขึ้น!
อู๋เสียวอวี่!
2 แต้ม!
“อู๋เสียวอวี่รึ?”
“อู๋เสียวอวี่เป็นใครกัน?”
“สามารถติดอันดับเป็นคนแรกในบรรดาคนที่เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณครานี้…หมายความว่ามันเป็นคนแรกที่ได้เข่นฆ่าคนที่เข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้อีกด้วย!”
“มิผิด ไม่รู้ก็แต่ว่าคนที่มันฆ่าตายไปเป็นผู้ใดกันแน่!”
“ตราบใดคนที่นำพามันมามีลูกแก้ววิญญาณของมันพกติดตัวเอาไว้ เมื่อลูกแก้ววิญญาณแตก ก็ย่อมทราบได้ทันทีว่าอู๋เสียวอวี่ฆ่าใครไปไม่ใช่รึ?”
“สหายท่านนั้น ท่านเข้าใจผิดแล้ว…ว่ากันว่าแดนสวรรค์ใต้โบราณนั้น ผู้ที่สร้างมันขึ้นมาในอดีตได้คำนึงถึงจุดนี้เอาไว้แต่แรก อีกทั้งผู้สร้างที่ว่าท่านยังเป็น
จอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ที่เข้าใจกฏแห่งเวลา ทำให้ยามที่ท่านได้สร้างแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางและระดับต่ำนั้น ท่านได้จัดตั้งค่ายกลที่ผสานพลังงของงกฏแห่งเวลาเอาไว้เช่นกัน…”
“ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ตกตายอยู่ด้านใน แต่ด้วยพลังของกฏแห่งเวลาที่แฝงไว้อยยู่ในค่ายกล จะทำให้เวลาที่แตกออกของลูกแก้ววิญญาณนั้นล่าช้าออกไป จะล่าช้าไปเท่าใดก็ไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว”
“หากตอนนี้มีคนที่ 2 ที่ถูกฆ่าตายไป…ต่อให้ภายนอกมีลูกแก้ววิญญาณแตกสลายลงพร้อมกัน ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้ที่เข่นฆ่าคนที่ตาย ก็คือผู้ที่พึ่งได้คะแนนเพิ่มขึ้นอีก 1 แต้ม”
“กล่าวได้ว่าต่อให้เป็นยอดเซียนอมตะที่มีภูมิหลังความเป็นมายิ่งใหญ่เพียงใด กระทั่งให้มาจากขุมกำลังระดับ 7 แต่ถ้าตกตายไปภายในนั้น ก็ยากที่ขุมกำลังระดับ 7 นั่นจะตามล้างแค้นให้มันได้น่ะสิ?”
“มิผิด เนื่องเพราะท่านจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ผู้นั้นคำนึงถึงจุดนี้ไว้แต่แรก ท่านจึงได้จัดตั้งค่ายกลที่แฝงไว้ด้วยพลังของกฏแห่งเวลาเอาไว้อย่างงไรเล่า…”
…
บริเวณน่านฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน เมื่อม่านแสงต่างกระดานนั้นปรากฏรายชื่อผู้ที่มีคะแนนสะสม 2 แต้มออกมาเป็นคนแรก บรรยากาศแต่เดิมที่เคยเงียบสงบก็กลับกลายเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
“ฮ่าๆๆๆ…เสียวอวี่น้อย เจ้าทำได้ดีมาก!!”
ชาชราคนหนึ่งหลังได้เห็นรายชื่อดังกล่าวปรากฏบนม่านแสง มันก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความถูกใจ
“อั้ยหยา ขอแสดงความยินดีด้วยพี่อู๋ หลานเสียวอวี่ของท่านร้ายกาจจริงๆ!”
ข้างๆชายชราที่หัวเราะร่า ชายวัยกลางคนกับชายชราอีกคน ได้หันมากล่าวแสดงความยินดีด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม อย่างไรก็ตามลึกลงไปในแววตาของพวกมันกลับฉายชัดถึงความอิจฉาให้เห็น
ชายชราข้างๆก็เป็นเหมือนพวกมัน ล้วนมาจากขุมกำลังระดับ 8
ตอนนี้รายชื่อที่ปรากฏบนม่านแสงต่างตารางจัดอันดับ ก็คือหลานชายของอีกฝ่าย!
ส่วนทั้ง 2 คนที่แสดงความยินดีกับชายชรานั้นก็เป็นตระกูลระดับ 8 ที่นำพายอดเซียนยอมตะในตระกูลของตัวเองมาเข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเช่นกัน
“มิได้ มิได้…อาจเป็นแค่ผู้ที่บังเอิญมีชื่อเหมือนหลานชายข้าก็เป็นได้!”
ชายชรากล่าวออกอย่างถ่อมตัว แต่สีหน้าแววตามันนั้นไม่คล้ายคิดอย่างนั้น เพราะสุดท้ายแล้วแม้ครั้งนี้จะมีผู้เข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเกินหมื่นคน…
แต่ชื่อของหลานชายมันนั้น ไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่
“อีกชื่อหนึ่งปรากฏขึ้นแล้ว!!”
หลังจากผ่านไปราวๆ 1 ชั่วยามที่ชื่อแรกปรากฏขึ้น อีกชื่อหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนม่านแสงต่างตารางจัดอันดับ
หลิงเจวี๋ยอวิ๋น
2 แต้ม!
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นรึ? ใช่อัจฉริยะปีศาจของประเทศตงหมิงที่กำลังเป็นที่ฮือฮาหรือไม่?”
หลังเห็นว่ารายชื่อที่สองที่ปรากฏขึ้นเป็นใคร หูหลินอี้ ฮ่องเต้ของประเทศฝูชิวที่ลอยร่างอยู่ท่ามกลางฝูงชน ก็หยีตาลงเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มกวาดตามองไปทั่วๆ จากนั้นสายตาก็ไปหยุดลงที่ร่างชายวัยกลางคนรูปร่างปานกลางผู้หนึ่ง
ชายวางกลางคนรูปร่างแลดูสมส่วนคนนี้ ลักษณะท่าทางภูมิฐาน ทั่วร่างได้เปล่งกลิ่นอายน่าเกรงขามไร้สภาพออกมาประการหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นผู้ที่ดำรงอู่ในฐานะสูงส่งมาเนิ่นนาน
และหูหลินอี้ยังสังเกตเห็นได้ชัดถนัดตา ว่าทันทีที่ชื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ปรากฏขึ้นบนตารางจัดอันดับ รอยยิ้มสดใสก็เริ่มคลี่กางขึ้นบนใบหน้าชายผู้นั้น
“ดูเหมือนจะเป็นมันจริงๆ…”
คนที่หูหลินอี้มองดูอยู่ ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือฮ่องเต้ของประเทศตงหมิง และมันยังเป็นผู้ที่นำพาคนของประเทศตงหมิงมาด้วยตัวเอง
ยามที่แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออก ผู้คนของขุมกำลังระดับ 8 ที่จะนำพาคนของตัวเองมาเข้าร่วม ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นตัวตนที่มีฐานะสูงสุดของขุมกำลัง!
และผู้ที่มาจากขุมกำลังประเภทประเทศอมตะระดับ 8 ล้วนแล้วแต่เป็นฮ่องเต้ประเทศนั้นๆ
“เพ่ย! เจ้านั่นมันได้คะแนนเพิ่มอีกแต้มแล้ว!!”
หูหลินอี้ยังไม่ทันฟื้นสติดี เสียงอุทานหนึ่งพลันแว่วดังเข้าหูมันอีกครั้ง ขณะเดียวกันมันก็เผลอมองไปยังตารางจัดอันดับโดยไม่รู้ตัว จึงพบว่าหลิงเจวี๋นอวิ๋นที่เดิมอยู่ในอันดับ 2 บัดนี้ได้แซงหน้าขึ้นไปอยู่ในอันดับ 1 แล้ว!
ด้านหลังชื่อของมัน ยังปรากฏตัวเลขบอกคะแนนสะสม 3 แต้มเด่นหรา
“ในช่วงเวลาสั้นๆ…หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นั้นถึงกับเข่นฆ่าไป 2 คนติดๆเลยหรือ?”
หูหลินอี้ย่อมคาดเดาเรื่องนี้ออกได้ไม่ยาก