War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3026
“อะไร?!”
คำพูดของโอวหยา นับว่าสร้างความตื่นตระหนกครั้งใหญ่ให้มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวแล้วจริงๆ “เกราะ…เกราะอมตะระดับจักรพรรดิหรือ!?”
ดุจเดียวกับชุดเกราะอมตะระดับราชาที่หายากกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทต่างๆ เกราะอมตะระดับจักรพรรดิเองก็นับว่าหายากกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิประเภทอื่นๆไม่น้อย จะเป็นรองก็แค่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณเท่านั้น!
อันที่จริงแค่มูลค่าของชุดเกราะอมตะระดับจอมราชัน ก็เทียบได้กับอาวุธอมตะระดับจักรพรรดิทั่วไปแล้ว!
“มิผิด”
โอวหยาพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มเหินร่างลงไปยังแท่นศิลาชั้น 3 เพื่อหาคนท้าทาย
ด้วยพลังฝีมือของนางย่อมไม่ยากที่จะท้าชิงแท่นศิลาชั้น 3
อย่างไรก็ตาม โอวหยายอมแพ้เรื่องแท่นศิลาชั้น 2 แต่ไม่ใช่ว่าคนอื่นจะล้มเลิกเหมือนนาง
ครู่ต่อมา ชายชุดแดงในบรรดากลุ่มชาย 4 คน ที่พึ่งหาจากอาการหวาดกลัวต้วนหลิงเทียน ก็ได้เหินร่างขึ้นมาหยุดลงในเพดานบินเดียวกับแท่นศิลาชั้น 2!
มันเองก็ยังมีความมั่นใจในตัวเองอยู่บ้างเพราะอย่างไรก็เข้าใจความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการแล้ว!!
แน่นอนว่ามันไม่กล้าท้าทายมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว เพื่อชิงแท่นศิลาของนาง
แต่มันตั้งใจจะชิงแท่นศิลาที่มีชายหนุ่มชุดเทานั่งอยู่ ด้วยเพราะมันไม่รู้จักอีกฝ่ายมากกก่อน
ด้วยความที่ก่อนหน้านี้ ตอนต้วนหลิงเทียนส่งคะแนนให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋น ทั้งคู่ก็อาศัยการสนทนาผ่านพลัง ทำให้มันไม่รู้ว่าทั้ง 2 คนรู้จักกัน
หาไม่แล้วด้วยความกลัวที่มีต่อต้วนหลิงเทียน มันย่อมไม่กล้ามาตอแยท้าชิงแท่นศิลาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแน่นอน
ถึงแม้เมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนมีโอกาสจะได้รับคะแนนสะสมเพิ่ม แต่ทุกคนรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนไม่อยากเป็น ‘ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น’ เท่านั้น จึงต้องป้องกันตัวเอง!
ต้วนหลิงเทียนไม่อยากมีคะแนนมากเกินไป จนเป็นจุดสนใจของผู้คนหลังกลับออกไป!
และคนทั้งหมดก็ไม่ได้แปลกใจอะไรกับการกระทำของต้วนหลิงเทียน เพราะสาเหตุที่ต้วนหลิงเทียนทำแบบนั้น ไม่พ้นต้องกลัวคนที่อยู่เบื้องหลัง ตงฟางจิ่นหลุน สุมาฉุน แล้วก็หลี่หยวนที่พึ่งตกตายเพ่งเล็ง!
หลี่หยวนนั้น ถึงจะมาจากนิกายระดับ 8 แต่ก็เป็นอัจฉริยะในรอบพันปี เรียกว่านิกายได้ตั้งความหวังกับมันไว้มาก ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเพาะสร้างสนับสนุนหลี่หยวน!
หากล่วงรู้ว่าใครฆ่าหลี่หยวน หรือแค่บังเกิดความสงสัยในตัวผู้ใด นิกายดังกล่าวไม่พ้นต้องลอบลงมือล้างแค้นเป็นการลับแน่นอน
ยิ่งความเป็นมาของสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งคู่ล้วนมาจากตระกูลระดับ 7 ยังมีอำนาจมากกว่านิกายระดับ 8 ไม่รู้เท่าไหร่!
หากทั้ง 2 ตระกูลเพ่งเล็งมุ่งเป้าไปที่คนๆเดียวกัน ต่อให้คนๆนั้นจะเป็นอัจฉริยะของ 3 นิกาย 2 ตระกูล แต่ชีวิตก็ยังคงตกอยู่ในอันตรายอยู่ดี
ทำให้การกระทำกก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียน ทุกคนล้วนเข้าใจเหตุผลได้ไม่ยาก
สำหรับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เป็นผู้ได้รับคะแนนนั้น ทั้งหมดคิดแค่ว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่ได้รับคะแนนกินเปล่าไปเท่านั้น
ต่างจากพวกโอวหยาและเชวียจิงอวี่ ที่ล่วงรู้แต่แรกว่าต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแลดูจะสนิทกันอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกมันต่างง่วนอยู่กับการช่วงชิงแท่นศิลาของตัวเอง ไม่ก็ทุ่มความสนใจไปกับการสัมผัสกฏแห่งเวลาจากค่ายกลเหนือหุบเขากกาลเวลา ไหนเลยจะมีเววลามากล่าวเตือนคนที่พวกมันไม่รู้จัก
“อวิ๋นจ้าน?”
เพียงเหลือบมองไปปราดเดียว มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็จดจำชายชุดแดงที่คิดท้าทายหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ทันที อีกฝ่ายเป็นคนของขุมกำลังระดับ 8 แต่อายุค่อนข้างมากแล้ว ที่สำคัญยังจงใจระงับด่านพลังบ่มเพาะอีกด้วย
อวิ๋นจ้านที่ยังแลดูเป็นชายวัยกลางคนนั้น อันที่จริงมีอายุมากกว่าพันปีแล้ว…
คนเช่นมันเรียกว่าตั้งเป้าจะเข้ามาช่ววงชิงสมบัติในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำโดยเฉพาะ จึงระงับด่านพลังให้หุดอยู่ที่ขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ไม่รีบทะลวงผ่าน
อีกทั้งอวิ๋นจ้านได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ กอปรกับมีชีวิตอยู่มานับพันปี ประสบการณ์การต่อสู้ของมันจึงไม่อาจดูแคลนได้ นับว่ามีพลังฝีมือไม่ใช่ชั่วเลยทีเดียว
อย่างน้อยๆในตอนที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำแค่ 2 ประการไม่ทันหยั่งถึงความลึกซึ้งประการที่ 3 หากนางต้องประมือกับอวิ๋นจ้าน ก็คงเป็นนางที่แพ้พ่าย
“ข้าจะให้โอกาสเจ้า…รีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเสีย หาไม่แล้วเจ้าจะได้อยู่ในวังจอมราชันอมตะของแดนสวรรค์ใต้โบราณไปชั่วกาล!”
เมื่อเห็นอวิ๋นจ้านมาหยุดลงเบื้องหน้าไม่ไกล และแววตาที่จ้องมองมาของอีกฝ่ายแม้จะแลดูสงบ หากแต่แฝงไปด้วยจิตต่อสู้อันน่าเกรงขาม หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เหลือบมองมันด้วยสายตาไม่แยแส เอ่ยเตือนแกมขู่ออกไปเสียงเรียบ
หลังพูดจบ มันก็อดไม่ได้ที่จะลอบกล่าวในใจ ‘ได้พูดแบบนี้แล้วรู้สึกสะใจไม่เบา…’
ถ้อยคำที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพึ่งพูดออกไป แน่นอนว่าลอกต้วนหลิงเทียนมาทั้งประโยค!
อวิ๋นจ้านเองก็คาดเดาการตอบสนองและวาจาที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นอาจจะกล่าวไว้มากมาย แต่ไม่คิดเลยว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะยกคำพูดของต้วนหลิงเทียนมาเอ่ยซ้ำ!
และเสียงของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแม้ไม่ดัง แต่ก็ไม่เบา มากพอให้ทุกคนที่อยู่เหนือหุบเขากาลเวลาได้ยินถนัดหู!
เรียกว่าผู้ที่กำลังประมือก็พร้อมใจกกันหยุดมือชั่วคราว ก่อนจะพากันจับจ้องไปยังแท่นศิลาชั้นสองทันที
ที่นั่น ปรากฏชายหนุ่มชุดเทานั่งขัดสมาธิอยู่ ข้างกายมีกระบี่ยาววางไว้ไม่ห่าง เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นมือกระบี่ผู้หนึ่ง
“หืม? เจ้านั่นมันก็อายุไม่ถึงร้อยปีงั้นเหรอ?”
ครู่ต่อมาก็มีคนค้นพบ ว่าชายหนุ่มชุดเทาเป็นเหมือนต้วนหลิงเทียน…อายุไม่ถึงร้อยปี!
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่นมันลอกเลียนคำพูดต้วนหลิงเทียนรึ? นี่มันคิดว่าผู้อื่นจะกลัวมันเหมือนต้วนหลิงเทียนหรือไร?”
“เหอะๆ…นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าพบเจอคนที่เกียจคร้านกระทั่งนึกคำพูด! มันคิดเองไม่เป็นหรือ? ถึงได้คัดลอกผู้อื่นมาทั้งประโยค?”
“เจ้าหนุ่มนั่น มันคิดว่าตัวเองเป็นต้วนหลิงเทียนหรือไร หรือเพ้อไปคิดว่ามีอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิเช่นต้วนหลิงเทียน?”
“นั่นสิ มันคิดว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิเป็นหัวกาดหรือไร”
…
ผู้คนพากันค่อนแคะเรื่องหลิงเจวี๋นอวิ๋นลอกเลียนคำพูดต้วนหลิงเทียนระงม ขณะเดียวกันก็รอดูว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะรับมือชายชุดแดงอย่างไร
“ชายชุดแดงผู้นั้นหากข้าจำไม่ผิดสมควรเป็น อวิ๋นจ้าน ชนชั้นอาวุโสของด่านเชียนชิว ที่เป็นขุมกำลังระดับ 8! ข้าได้ยินมาว่ามันใจระงับด่านพลังฝึกปรือให้รั้งอยู่ในขอบเขตอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด เพื่อจักได้เข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณโดยเฉพาะ! และด้วยความที่มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้ว พอมารวมกับประสบการณ์การต่อสู้นับพันปี…พลังฝีมือของมันนับว่ามิใช่ชั่วเลย”
หลายคนก็จดจำชายวักลางคนในชุดสีแดงได้
“แล้วเจ้าหนุ่มชุดเทานั่นเล่า…มันเป็นใครมาจากไหนรึ?”
“พวกเจ้ามีใครรู้จักมันหรือไม่?”
…
ขณะเดียวกัน หลายคนก็ตระหนักได้ว่าดูเหมือนจะไม่มีใครรู้จักชายหนุ่มชุดเทาเลย กระทั่งไม่เคยได้ยินเรื่องชายหนุ่มชุดเทามาก่อนด้วยซ้ำ
“พี่ชายท่านนี้ ข้าสังเกตเห็นว่ายามมาถึงท่านอยู่กลุ่มเดียวกับต้วนหลิงเทียนและชายหนุ่มชุดเทาผู้นั้น…ท่านรู้หรือไม่ว่ามันร้ายกาจเพียงใด? ใช่คู่มือของอวิ๋นจ้านนั่นหรือไม่?”
หลายคนเริ่มหันไปถามเชวียจิ่งอวี่
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ทว่าด้านเชวียจิงอวี่กลับส่ายหัวปฏิเสธ ทำราวกับไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย
ถึงแม้มันจะรู้ว่าพลังฝีมือหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นอย่างไร กระทั่งได้ยลโฉมพลังอำนาจของอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิรูปแบบผ้าคลุมมาแล้ว ที่สำคัญมันเชื่อว่าต่อให้เป็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่มีทางเอาชนะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้แน่
อย่างไรก็ตาม มันไม่คิดจะพูดออกมา
เหตุผลก็คือมันรังเกียจอวิ๋นจ้านกับพวกชราหน้าไม่อายเหล่านั้น! คนพวกนี้จงใจระงับด่านพลังฝึกปรือเพื่อมาช่วงชิงกับคนรุ่นหลังในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ! มันจึงหวังให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นฆ่าพวกชราน่ารังเกียจเหล่านี้ให้หมด!!
ขณะเดียวกัน หลายคนก็เริ่มหันไปถามคนอื่นๆที่เห็นว่ามาพร้อมกันกับพวกต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนอกเหนือจากเชวียจิงอวี่ แต่ทั้งหมดก็พร้อมใจกันตอบว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทั้งสิ้น
“เจ้าหนุ่มชุดเทาอายุไม่ถึงร้อยนี่ ท่าทางจะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแค่ประการเดียวกระมัง?”
“เป็นไปไม่ได้หรอก…หากมันเข้าใจความลึกซึ้งแค่ประการเดียว มันจะกล้าไปจับจองแท่นศิลาชั้น 2 นั่นรึ? ข้าว่ามันน่าจะเข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏ 2 ประการแล้วมากกว่า”
“อายุมันยังไม่ถึงร้อยปีเจ้าจะให้มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้ 2 ประการแล้วรึ? เจ้าคิดว่าคนอย่างต้วนหลิงเทียนพบเจอได้ง่ายเหมือนหัวผักกาดหรือไร?”
“หรือบางทีมันคิดอาศัยความโดดเด่นของต้วนหลิงเทียน มาเพาะสร้างสภาวะอัจฉริยะของตัวเอง ทำให้ทุกคนหลงคิดว่ามันร้ายกาจอย่างต้วนหลิงเทียนกัน?”
“ก็ไม่แน่!”
…
หลายคนเริ่มคุยกันอย่างออกรส และเชื่อว่าแท่นศิลาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้นมิแคล้วต้องเปลี่ยนมือแน่แท้
เพราะทุกคนเชื่อว่าอวิ๋นจ้านคงไม่เลิกราง่ายๆ แค่เพราะอีกฝ่ายกล่าวคำอหังการคล้ายต้วนหลิงเทียน!
อันที่จริง ก็หยิบยืมมาทั้งประโยคเลยนั่นล่ะ!
ด้านอวิ๋นจ้านหลังได้ยินคำขู่ของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหน้าร้อนอยู่บ้าง ลูกตามันเบิกกว้าง สีหน้ายังเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ! มันดูเหมือนเด็ก 3 ขวบหลอกง่ายนักรึ!?
ทันใดนั้นทั่วร่างของมันก็เริ่มปรากฏพลังงเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานพลังธาตุดิน จนส่องแสงสีกากีเรืองรองออกมา กระทั่งละอองธุลีฝุ่นคลีในอาณาบริเวณโดยรอบนังเริ่มพุ่งมารวมตัวข้างงๆมัน ราวได้รับบัญชา!
อวิ๋นจ้านนั้น เลือกที่จะทำความเข้าใจกฏแห่งดินเหมือนต้วนหลิงเทียน แต่ต่างจากต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง เพราะมันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการจนบรรลุขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้วจริงๆ
แต่ต้วนหลิงเทียนนั้น แม้ผู้คนจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ แต่อันที่จริงเขาพึ่งเข้าใจประการเดียวเท่านั้น อีกประการก็แค่หยั่งถึง พอให้ใช้พลังได้บางส่วน!
เวิง! เวิง!
ครืนน!! ครึก! ครึก!
…
ท่ามกลางสายตาคนทุกผู้ พลังสีกากีทั่วกายยอวิ๋นจ้านิ่งมายิ่งเปล่งแสงแรงกล้า ธุลีคลีในอาณาบบริเวณก็เริ่มเกาะกลุ่มกันหนาตา สุดท้ายก็คล้ายมีเกราะปฐพีหนึ่งปกคลุมไปทั่วร่างอวิ๋นจ้าน
อีกทั้งธุลีคลีที่ลอยล่องอยู่หนาตารอบกายอวิ๋นจ้าน ยิ่งมาก็ยิ่งสั่นสะเทือนแรงขึ้นทุกขณะ ก่อเกิดเป็นคลื่นกระแทกอันหนักหน่วงกำจายออกไปสะท้านสะเทือนห้วงอากาศ!
“ความลึกซึ้ง สั่นสะเทือน…”
ด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพอเห็นอวิ๋นจ้านเริ่มเร่งเร้าพลังคิดลงมือ คิ้วเฉยเมยก็เลิกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นมันก็เริ่มยกมือขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นสมควรยกมือขึ้นมาเพื่อชักกระบี่ต่อสู้ แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายเพียงยกมือขึ้นไปเหนือศีรษะ และไม่มีทีท่าว่าจะหยิบกระบี่แต่อย่างใด
“มันคิดจะทำอะไรของมันกันแน่?”
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่นั่งบนแท่นศิลาชั้น 2 ไม่ห่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเท่าไหร่ อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังจะทำอะไรกันแน่
และพริบตาต่อมา นางก็เห็นว่าเหนือฝ่ามือที่ยกขึ้นของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น พลันอุบัติวังวนความมืดประหนึ่งหลุมดำขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า! จากนั้นก็ปรากฏปลายกระบี่ค่อยๆโผล่ออกมาจากวังวนความมืดดังกล่าว! ฉากนี้ทำให้หน้านางเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง!!
“อะ…อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?”
ลูกตามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวหดหยีลงแทบปิด ใจยังสะท้านสะเทือนไปอย่างแรง!
อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดินั้นไม่เพียงยามเก็บจะผสานรวมเข้ากับร่างกาย ยามเรียกใช้ก็จะผุดโผล่ออกมาจากร่างกายเช่นกัน!
และครู่ต่อมา ท่ามกลางสายตาของทุกคน ในมือหิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ถือกระบี่สีคราม 3 ฉื่อเล่มหนึ่ง อีกทั้งตัวกระบี่ยังปรากฏอัสนีสีเทาแล่นวาบแปลบปลาบไม่หยุด แลดูน่ากลัวนัก!
“อะ…อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ!?”
“อีกชิ้น…เป็นอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิอีกชิ้นงั้นเหรอ!?”
“นะ…นี่มันอะไรกัน!? อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิกลายเป็นของโหลไปตั้งแต่เมื่อไหร่!? ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะนำออกมาใช้ชิ้นหนึ่ง แต่ตอนนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกลับนำออกมาใช้อีกชิ้น!?”
…
ทุกคนไม่เว้นเชวียจิงอวี่ พอเห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเหมือนจะเรียกกระบี่ออกมาจากร่างกาย ทั้งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึงที่กระบี่เล่มนั้นแผ่ออกมา พวกมันก็ตกตะลึงอึ้งไปอย่างสมบูรณ์!
เพราะสำหรับพวกมันแล้ว อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดินั้น เป็นดั่งสิ่งของในตำนาน!
ทว่าบัดนี้พวกมันกลับได้เห็นอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิปรากฏขึ้นสองครั้งสองครา ทำให้พวกมันเริ่มบังเกิดความสงสัยในชีวิต ว่าที่แท้อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิใช่หายากจริงๆหรือ?
“ข้า…ข้า…ข้ายอมแพ้…ข้ายอมแพ้! ยอมแพ้แล้ว!!”
ท่ามกลางความสั่นสะเทือนจากธุลีคลีอันทรงพลัง ปรากฏเสียงสั่นเครือหนึ่งดังขึ้นอย่างร้อนรน!