War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3260
“ต่อไปจะเป็นบททดสอบที่ 3 ซึ่งเป็นบททดสอบสุดท้าย และการทดสอบครั้งสุดท้ายก็จะจัดขึ้นภายในตำหนักลองกระบี่”
ภายใต้การนำของเหลยอิง ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ ก็ได้ล่วงลึกเข้ามาในเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ตั้งตำหนักลองกระบี่ จนในที่สุดก็บรรลุถึงจุดหมายปลายทาง…ประตูทางเข้าตำหนักหลังใหญ่!
เบื้องหน้าก็มียืนรออย่างสงบ และจับจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยความสนใจ
เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดเป็นคนของตำหนักลองกระบี่ หาไม่แล้วคงไม่มาอยู่ที่นี่
“ตำหนักลองกระบี่”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองขึ้นไปด้านบนก็พบว่ามีอักษร 3 ตัวอ่านว่า ‘ตำหนักลองกระบี่’ เขียนไว้อย่างประณีตบรรจง
ตำหนักลองกระบี่นั้น ครอบครองอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไม่น้อย บางทีอาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันที่วังเทียนฉือทดสอบรับสมัครศิษย์ ตำหนักลองกระบี่จึงค่อนข้างสงบร้างผู้คน ไม่มีศิษย์เดินเข้าออกพลุกพล่าน
“ท่านจ้าวตำหนัก”
เหล่าผู้คนที่มายืนรอหน้าประตูก็มีชายวัยกลางกับชายชราคนนับรวม 10 คน พอเห็นเหลยอิงก้าวเข้ามาใกล้แล้วพวกมันก็ทำความเคารพทันที
“อืม”
เหลยอิงพยักหน้ารับเบาๆ ค่อยกล่าวกับคนทั้ง 10 ว่า “พวกเจ้าพาทุกคนไปเสีย”
ถึงแม้ไม่ทราบว่าไฉนเหลยอิงไม่เข้าไปด้วย แต่ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆทั้ง 500 คน ก็ไม่ถาม เพียงเดินตามคนทั้ง 10 ที่นำเข้าไปในตำหนักลองกระบี่เบื้องหน้า
หลังงจากต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆเข้าไปแล้ว ก็ปรากฏชายหนุ่มร่างสูงเหินมาแต่ไกล พริบตาก็มาหยุดยืนข้างๆเหลยยอิง
“เหลยอิง ข้าได้ข่าวมาว่ารอบนี้เจ้าได้ต้นกล้าดีๆมา 2 ต้นรึ?”
ชายหนุ่มนั้นมาในชุดคลุมสีเขียว แลดูธรรมดาๆสบายๆชวนให้ผู้ที่อยู่ใกล้รู้สึกสบายใจ
“ฉือหล่าง หูตาเจ้าช่างว่องไวจริงๆ”
เหลยอิงมองจ้องชายหนุ่มครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยต่อ “อย่างไรเสียข้าคิดจะรับทั้ง 2 เข้าร่วมตำหนักลองกระบี่ของข้า…เจ้าเลิกคิดไปได้เลย!”
ฉือหล่างคือ 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือ มีสมญานามว่า ทุ่งขจี พลังฝีมือของมันนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเหลยอิงเลย
พอทราบว่าผู้ที่มาทดสอบเข้าร่วมวังเทียนฉือรอบนี้ มีต้นกล้าประเสริฐ 2 ต้นที่ยังอายุไม่ถึง 300 ปี แต่พลังฝีมือถึงกับพอๆกับจอมราชันอมตะสมญานามเข้าไปแล้ว! มันจะไม่มาได้ไง!!
“เฮ่ เหลยอิง เจ้ามันจะโลภมากเกินไปแล้ว”
ฉือหล่างร้องกล่าวด้วยสีหน้าคล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม “มีต้นกล้าดีๆตั้ง 2 ต้น เจ้าก็อย่าได้ขี้ตืดกับข้าหน่อยเลยหน่า! ส่งมาให้ข้าคนนึงเถอะ…อย่าได้ลืมไปเสียเล่า พันปีก่อนตอนเจ้ามาร้องขอคนกับข้า ข้าขี้เหนียวกับเจ้าที่ไหน?”
“ฮึ!”
เหลยอิงย่นจมูกพ่นลมด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าไม่พูดก็แล้วไป…แต่เจ้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาข้าอดมีโมโหไม่ได้จริงๆ เด็กเปรตนั่นที่เจ้ามอบให้มา มันสร้างปัญหาใหญ่ให้ข้าขนาดไหนหรือเจ้าไม่รู้? เจ้าสารเลวนั่นถึงกับกล้าไปล่วงเกินใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์! หากไม่ใช่เพราะข้าฆ่ามันอย่างไร้ปราณีทันที ไม่พ้นตอนนี้ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ยังเคืองข้าไม่หายด้วยซ้ำ!!”
พันปีก่อน ตอนการทดสอบคัดเลือกศิษย์ของวังเทียนฉือ เหลยอิงไม่ได้ออกไปทำหหน้าที่ดูแล แต่เป็นรองจ้าวตำหนักลองกระบี่
ตอนนั้นก็มีต้นกล้าดีๆอยู่ 2-3 ต้น แต่ไม่ได้ดีเท่าครั้งนี้
อย่างไรก็ตามด้วยความที่เหลยอิงไม่ได้ไปจัดการเรื่องราวด้วยตัวเอง สุดท้ายกว่าจะรู้เรื่อง ต้นกล้าดีๆ 2-3 ต้นที่ว่าก็ถูกฉือหล่างคว้าไปตัดหน้า เรียกว่าไปยื่นข้อเสนออะไรเสร็จสรรพตั้งแต่ต้นกล้าทั้งหลายนั่นยังไม่ทันผ่านบททดสอบเข้าสู่วังเทียนฉือทั้งหมดด้วยซ้ำ!
การที่ฉือหลางมาคว้าต้นกล้าดีๆไปหมดแบบนี้ เหลยอิงไหนเลยจะยอมได้ จึงเร่งรุดมาทันที สุดท้ายก็ยืนกรานขอคนอย่างดุดัน จนในที่สุดฉือหล่างก็ได้แต่ยอมแบ่งให้เหลยอิงไปแต่โดยดี
และพอดีคนที่ฉือหล่างแบ่งให้เหลยอิงนั้น พอพบว่าตัวเองมีคนใหญ่คนโตแย่งกันแบบนี้ หลังเข้าสู่วังเทียนฉือความถือดีหยิ่งผยองก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า คิดว่าตัวเองสำคัญมาก สุดท้ายวันหนึ่งก็ไปทำให้จักรพรรดิสวรรค์ที่บังเอิญมาเยือนวังเทียนฉือต้องขุ่นเคืองใจ!
ตอนนั้น เมื่อเหลยอิงเห็นจักรพรรดิสวรรค์มีน้ำโห นางจึงตัดสินใจลงมือเร็วไว เข่นฆ่ามันทิ้งอย่างรวบรัดหมดจด ไม่รอให้จักรพรรดิสวรรค์ทันได้พูดอะไร จึงแก้ไขสถานการณ์เอาไว้ได้
“เหลยอิง นั่นมันเหตุสุดวิสัยนี่นา…ตอนที่ข้ามอบมันให้เจ้าไป ข้ารู้จักแค่ชื่อมันเท่านนั้นเอง ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันมีนิสัยใจคออย่างไร ทั้งจะไปรู้เหรอว่าวันหนึ่งมันจะถึงกับกล้าไปอวดเบ่งต่อหน้าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์?”
ฉือหล่างชักสีหน้าตัดพ้อเหมือนคนไม่ได้รับความยุติธรรม กล่าวออกด้วยน้ำเสียงคับข้องใจ “เจ้าลองถามตัวเองดู ว่าวันนั้นเป็นข้าตระหนี่กับเจ้าหรือไม่?”
“เช่นนั้นวัน…”
ฉือหล่างที่คิดจะกล่าวเรียกร้อง ก็ถูกเหลยอิงพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน “พอ! เจ้าไปดูการทดสอบของพวกมันกับข้า…แต่หนึ่งในนั้นจะเต็มใจไปกับเจ้าหรือไม่ ล้วนไม่เกี่ยวกับข้า!”
“ได้ๆๆ ไม่มีปัญหา!”
ฉือหล่างคลี่ยิ้มร่า เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ “เจ้าแค่ปล่อยคนก็พอ ที่เหลือข้าจัดการได้หน่า!”
ที่ไฉนเหลยอิงไม่ได้เข้าไปยังตำหนักลองกระบี่พร้อมพวกต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ เป็นเพราะได้รับข้อความจากฉือหล่าง จึงยืนรออยู่ที่นี่
ในเมื่อฉือหล่างมาแล้ว แถมตกลงกันได้แล้ว เหลยอิงก็ก้าวเข้าตำหนักลองกระบี่ไปเช่นกัน
ตำหนักลองกระบี่ดังกล่าว พอก้าวผ่านประตูใหญ่เข้ามา สิ่งที่จะพบเจอเป็นอันดับแรกก็คือลานจัตุรัสอันกว้างใหญ่ มองไปปราดเดียวก็บอกได้ว่าไม่มีสิ่งใดพิเศษ เป็นแค่ลานพื้นปูนเรียบๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อมองย้อนกลับมาด้านหลัง จะไม่อาจเห็นประตูของตำหนักลองกระบี่ได้อีกต่อไป
และตอนนี้ในจัตุรัส นอกจากพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 500 แล้วก็มีชายวัยกลางคนกับผูชรารวม 10 คน ที่พาทั้งหมดเข้ามายืนอยู่
‘ที่นี่มัน…โลกใบเล็กงั้นรึ/’
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนตระหนักใดได้ในใจ ด้านหลังที่เขาหันกลับมามองแต่ไม่มีอะไร อยู่ดีๆก็ปรากฏร่าง 2 ผุดโผล่ขึ้นมาพร้อมๆกัน
หนึ่งในนั้นก็คือเหลยอิง
ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มที่ต้วนหลิงเทียนไม่เคยเห็นมาก่อนจะเข้าสู่ตำหนักลองกระบี่ จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
อย่างไรก็ตาม ถึงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ต้วนหลิงเทียนจะเดาได้ว่าฐานะอีกฝ่ายในวังเทียนฉือต้องไม่ต่ำต้อยไปกว่าเหลยอิงแน่นอน เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินตีคู่มากับเหลยอิงแบบนี้
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดถึงจุดนี้ ก็มีเสียงคนอื่นดังเข้าหูเขา “ในวังเทียนฉือมีไม่กี่คนที่มีฐานะเท่าเหลยอิง…แต่คนที่มีลักษณะเป็นชายหนุ่ม…ดูเหมือนจะมีอยู่แค่ 2 คนเท่านั้น”
“ดูจากลักษณะของชายผู้นี้ ดูเหมือนจะเป็นจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง!”
ผู้ที่กล่าวออกมาเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ต้วนหลิงเทียนเองก็จดจำอีกฝ่ายได้ จึงรู้ว่ามันอยู่ในกลุ่มช่วงอายุ 900-1,000 ปี
และในบททดสอบรอบที่ 2 ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็ฝ่าค่ายกลออกมาได้หลังชายหนุ่มที่ได้อันดับ 3 นามจวินฮ่าวซวน
จวินฮ่าวซวนที่ว่า ก็คือคนที่ฝ่าค่ายกลออกมาได้หลังเขากับฮ่วนเอ๋อ
“ฉือหล่าง? จักรพรรดิอมตะทุ่งขจี? ไฉนมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า?”
“ต้องมาด้วยเหตุผลบางอย่างเป็นแน่ หาไม่แล้วจักรพรรดิอมตะที่มีฐานะสูงส่งเช่นนี้ ไหนเลยจะมาชมดูเรื่องราวเพื่อความบันเทิง?”
“ข้าว่าไม่พ้นล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของ 2 คนนั่น…”
…
หลายคนเริ่มกระซิบกระซาบคุยกัน จากนั้นไม่นานสายตาหลายๆคู่ก็เริ่มหันมามองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดเชื่อว่าที่ฉือหล่างมาปรากฏตัวที่นี่ได้ ไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียนและฮ่วนเอ๋อ
‘จักรพรรดิมอตะสมญานามอีกคนงั้นหรือ…’
สองตาต้วนหลิงเทียนทอแสงวาบหนึ่ง ลอบกล่าวในใจ ‘ในวังเทียนฉือมีจักรพรรดิอมตะสมญามทั้งสิ้น 9 คน…แต่ตอนนี้กลับมาปรากฏตัวที่นี่ 2 คนงั้นหรือ…’
“ฮ่วนเอ๋อ”
ต้วนหลิงเทียนเร่งส่งเสียงผ่านพลังไปหาฮ่วนเอ๋อทันที “หากฉือหล่างคนนั้นมาเพราะพวกเราจริงๆ…หลังจบการทดสอบแล้ว ดูว่าเหลยอิงคิดจะชักชวนเจ้าหรือไม่ หากใช่เจ้าก็เข้าร่วมกับนางเสีย”
“ส่วนข้าจะเลือกฉือหล่างเอง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“พี่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อไม่อยากแยกกับท่าน”
ฮ่วนเอ๋อกล่าวแย้งผ่านพลัง
“เด็กโง่ พี่หลิงเทียนเองก็ไม่อยากแยกกับเจ้า…แต่พวกเราทำแบบนี้เพราะมันจะเกิดประโยชน์มากที่สุด ยังอำนวยความสะดวกเรื่องสืบหาที่อยู่บิดามารดาของเจ้าอีกด้วย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวอีกครั้ง
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน สองตาฮ่วนเอ๋อก็เป็นประกาย จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก
“การทดสอบรอบที่ 3 …ฯลฯ”
ขณะเดียวกัน จักรพรรดิอมตะไร้ใจ เหลยอิงจ้าวตำหนักลองกระบี่ ก็เริ่มกล่าวแนะนำรายละเอียดการทดสอบรอบที่ 3 ออกมา
การทดสอบรอบที่ 3 ก็ยังคงแบ่งออกเป็น 10 กลุ่มเหมือนเดิม
และคนที่จะผ่านการทดสอบ ก็คือ 10 คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของแต่ละกลุ่ม!
กล่าวได้ว่า ต่อให้บางกลุ่มมีคนหลายร้อย ก็จะมีแค่ 10 คนสุดท้ายเท่านั้นที่ผ่าน
และบางกลุ่มที่มีแค่ 30-40 คน ก็จะมี 10 คนที่เหลือรอดผ่านการทดสอบดุจเดียวกัน
“สู้ตะลุมบอน?”
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก็ได้รับทราบจากเหลยอิง ว่าการทดสอบในรอบที่ 3 นั้นจะเป็นการต่อสู้ตะลุมบอน โดยให้คนในกลุ่มสู้ตะลุมบอนกัน และคนที่เหลือรอด 10 คนสุดท้ายก็คือผู้ที่ผ่านการทดสอบ…
“พวกเจ้าทั้ง 10 กลุ่ม ให้เริ่มออกไปสู้กันทีละกลุ่ม ผู้ที่พ่ายแพ้ก็ยังเหลือโอกาสสู้ในสังเวียนคืนชีพอีกครั้ง เพื่อคว้าโอกาสเข้าสู่วังเทียนฉือ”
เหลยอิงกล่าวต่อ
ทั้ง 10 กลุ่ม ให้ก้าวออกไปสู้ตะลุมบอนกันทีละกลุ่มกลางจัตุรัส
กลุ่มแรกที่ต้องออกไปสู้กัน ก็เป็นกลุ่มของผู้ทดสอบที่มีอายุไม่ถึง 100 ปี และยังเป็นกลุ่มที่มีคนเหลือรอดอยู่มากที่สุด และมีคนถึง 116 คน
ทั้ง 116 คนนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่พ้นต้องสู้สุดใจแน่นอน เพราะในบรรดาพวกมันมีเพียงแค่ 10 คนเท่านั้นที่จะได้กลาเป็นศิษย์วังเทียนฉือ!
“พวกมันไม่พ้นต้องตีกันนัวแน่นอน…”
คนอื่นๆที่ชมดูอยู่ ก็รู้ดีว่าคนทั้ง 116 คนที่กำลังก้าวไปรอสัญญาณกลางจัตุรัสต้องตีกันดุเดือดแน่ จึงอดกล่าวพึมพำออกมาไม่ได้ “ใน 116 คน จะมีคนผ่านการทดสอบแค่ 10 เท่านั้น…หมายความว่าอีก 106 คนที่เหลือก็ได้แต่กลับบ้านมือเปล่า…”
“เริ่มได้!”
พอเสียงให้สัญญาณของเหลยอิงดังขึ้น เหล่ารุ่นเยาว์อายุไม่ถึงร้อย ก็ลงมือกันอย่างพร้อมเพรียง
การต่อสู้ตะลุมบอนอุบัติขึ้นทันใด
แน่นอนว่าการต่อสู้ตะลุมบอนนี้ เป็นการต่อสู้เป็นตาย!
แค่ช่วงต้นของการต่อสู ก็มีหลายคนโชคร้ายตกเป็นเป้าหมายร่วมของผู้อื่นหลายคนพร้อมกัน ถูกพลังซัดจนร่างแหลกเหลว ส่วนผู้ที่ลงมือฆ่าคนก็ไม่แม้แต่จะดูศพ เพียงลงมือซัดพลังออกไปรอบตัวสืบต่อ หมายสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ตัวเองก่อน บ้างยังเริ่มมองหาเป้าหมายคนต่อไป…
เป็นธรรมดาว่ามีหลายคน เริ่มรู้ตัวว่าพลังฝีมือตัวเองสู้ผู้อื่นไม่ได้ จึงรีบหนีตายพุ่งร่างออกจากกลางจัตุรัสสุดชีวิต
หลังผ่านไปราวๆ 2 เค่อ ก็เหลือเพียง 32 คนเท่านั้นที่ยังไม่ถูกกำจัด
ตอนนี้ทั้ง 32 คนก็แยกตัวเว้นระยะห่าง จดจ้องไปยังผู้อื่นอย่างระแวดระวัง
“ฮ่วนเอ๋อ เจ้าคิดว่าคนไหนจะต้องผ่านการทดสอบรอบนี้แน่ๆ?”
ต้วนหลิงเทียนที่กวาดตามองทั้ง 32 คนรอบหนึ่ก็หันไปเอ่ยถามฮ่วนเอ๋อ
“น่าจะเป็นคนนั้นนะ”
ฮ่วนเอ๋อกวาดตามองทั้ง 32 คนรอบหนึ่ง ก่อนที่จะชี้ไปยังคนที่ดูจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่น
แน่นอนว่าถึงแลดูแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นห่างชั้นคนในกลุ่มไปไกลเหมือนต้วนหลิงเทียนยกับฮ่วนเอ๋อ
แค่ดูเหนือกว่าผู้อื่นเล็กน้อย
“ข้าว่าเจ้านั่นไม่น่าจะรอดจนจบหรอก…”
ได้ยินคำตอบของฮ่วนเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา เพราะเขาเองก็เห็นคนที่ฮ่วนเอ๋อกล่าวถึงแล้ว จริงอยู่ที่พลังฝีมือของมันแลดูเหนือกว่าอีก 31 คนที่เหลือ แต่น่าเสียดายที่มันเด่นเกินไป…
และข้อเท็จจริงก็พิสูจน์ว่าคำพูดของต้วนหลิงเทียนถูกต้อง
ในบรรดา 31 คนที่เหลือ มีถึง 20 กว่าคนที่ตัดสินใจลงมือซัดกระบวนท่าไปเข่นฆ่าคนที่ฮ่วนเอ๋อกล่าวถึงเมื่อครู่ก่อน สุดท้ายมันก็ตกตายในพริบตา…
“เอ๊า…”
ฮ่วนเอ๋ออึ้ง
“ฮ่วนเอ๋อ เว้นแต่เจ้าจะแข็งแกร่งพอที่จะไม่เห็นหัวผู้ใดแล้ว ยามเข้าสู่การปะทะตะลุมบอนแบบนี้ อย่าได้ทำตัวเด่นเด็ดขาด เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเก็บงำพลังของตัวเพื่อเฝ้ารอจังหวะและโอกาส หากเจ้านั่นมันเลือกจะเก็บงำพลังเอาไว้แต่แรก ไม่เลือกเผยพลังให้คนอื่นล่วงรู้มากนัก คงไม่กลายเป็น ‘ไม้เด่นเกินไพรลมพัดหักโค่น’ แบบนี้ และมีแน้วโน้วว่าจะผ่านการทดสอบไปได้อย่างง่ายดาย…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับฮ่วนเอ๋อในลักษณะชี้แนะ
หลังจากที่คนที่มีพลังฝีมือสูงสุดถูกกลุ้มรุมสังหารไปแล้ว อีก 31 คนที่เหลือก็เริ่มสู้ตะลุมบอนกันอย่างเอาตาย และในช่วงเวลาไม่นานนัก ก็มีคนล้มหายตายจากไปอีกเกือบครึ่ง
หลังผ่านไปอีก 2 เค่อ ก็เหลือคนที่ยืนหยัดกลางจัตุรัสได้ 10 คน
“พาทั้ง 10 ไปจัดการเรื่องลงทะเบียนเข้าสู่วังเทียนฉือเสีย”
หลังได้ 10 คนที่ยืนหยัดอยู่ได้ถึงตอนสุดท้ายแล้ว เหลยอิงก็หันไปมองกล่าวกับชายวัยกลางคนด้านหลังคนหนึ่งเสียงเรียบ
“ทราบแล้วท่านจ้าวตำหนัก”
ชายวัยกลางคน ก็พาทั้ง 10 ออกไปทันที