War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3544 : การโกหกสีขา
ว
“ปลอดภัยแล้ว…”
ต้วนหลิงเทียนที่ท่องไปในห้วงมิติผันผวนจากค่ายกลหลบหนีของเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ก็เสมือนเรือใบลำน้อยที่ลอยคอท่ามกลางมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยมรสุมคุ้มคลั่ง กระบวนการทั้งหมดชวนให้เขาขวัญสะท้านหวั่นหวาดไม่น้อย จนเมื่อผ่านรอยแยกมิติจนมาถึงระนาบโลกียะอีกครั้ง ก็ค่อยหายใจได้ทั่วท้องอีกครั้ง
สำหรับเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ที่ช่วยส่งเขามา บัดนี้ก็ได้กลับเข้าสู่โลกใบเล็กภายในกายของเขาอีกครั้ง
“ถึงแม้พวกเราตอนนี้จะมีขั้นสูงกันแล้ว…แต่ครั้งนี้เพื่อทำลายวิญญาณของตัวตนระดับเทพขั้นกลาง กระทั่งช่วยเจ้าฉีกเปิดห้วงมิติเพื่อหลบหนีผ่านห้วงมิติผันผวนโดยตรง ก็ทำให้พวกเราสิ้นพลังไปไม่น้อย จำต้องเข้าสู่ห้วงนิทราเพื่อพักฟื้นสักระยะ”
เสียงของวารีเทพชำระโลกาพลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน “หลังจากนี้เจ้าจงระวังตัวเองให้มาก อย่าได้พาตัวเองไปตกอยู่ในอันตรายใดๆอีก…ในช่วงที่พวกเราเข้าสู่ห้วงนิทรา หากเจ้าพบเจอเรื่องราวเช่นนี้อีก พวกเราก็จนปัญญาแล้ว”
กล่าวถึงประโยคท้าย น้ำเสียงของวารีเทพชำระโลกาก็จริงจังไม่น้อย
“เข้าใจแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนขานรับ สีหน้าเขาเองก็ฉายความขึงขังไม่น้อย
เขาย่อมรู้ดีว่าการหลบหนีมาได้ครั้งนี้ เป็นความดีความชอบของเทพเบญจธาตุทั้งหมด หากไม่ได้เทพเบญจธาตุช่วยทำลายวิญญาณหมี่เยี่ยน หรือสร้างค่ายกลหลบหนี ต่อให้เข้าจะออกจากระนาบอิสระที่ตั้งวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักได้ก็เปล่าประโยชน์ เพราะสุดท้ายก็คงไม่อาจหนีพ้นความตายในระนาบโลกียะได้
บางทีร่างกายของเขาอาจจะยังอยู่ดี แต่นั่นก็คงไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขาอีกต่อไป แต่เป็นคนอื่น
‘ด้านท่านอาจารย์ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกระมัง’
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลังเลอะไรสืบไป เร่งออกจากระนาบโลกกียะแห่งนี้เพื่อกลับไปที่จี้เมี่ยเทียนทันที เพื่อดูว่าจะติดต่อกับอาจารย์ของเขาได้หรือไม่
อาจารย์ของเขาบอกเขาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ว่าหลังจากบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพก็จะออกจากนรกอสุรา และย้อนกลับมาจี้เมี่ยเทียนทันที
ในเมื่อตอนนี้อาจารย์เขาสามารถทะลวงด่านพลังได้แล้ว ไม่ทราบร่างจริงจะย้อนกลับมายังจี้เมี่ยเทียนอย่างที่บอกไว้แล้วหรือไม่?
วู้ม!
ต้วนหลิงเทียนที่ใช้ยันต์อมตะเคลื่อนย้ายมายังระนาบจี้เมี่ยเทียนแบบสุ่มสถานที่ปรากฏตัว พอมาถึงก็เร่งส่งข้อความหาอาจารย์เขาทันที แต่กลับไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ
จากนั้นเขาก็เร่งติดต่อไปหาผู้เฒ่าหั่วทันที
ด้านผู้เฒ่าหั่ว พอได้รับข้อความจากเขาก็ดีใจนัก “นายน้อย! ท่านไม่เป็นจริงๆ! ประเสริฐนัก!!”
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ให้ข้ากับเมิ่งหลัวพาครอบครัวและสหายของท่านออกจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์มาก่อน ตอนนี้พวกเราอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน…”
หลังได้รับตำแหน่งที่ตั้งสถานที่หลบภัยจากผู้เฒ่าหั่ว ไม่นานนักต้วนหลิงเทียนที่เร่งรุดเดินทางก็ได้พบเจอครอบครัวและสหายของเขาอีกครั้ง และเมื่อฮ่วนเอ๋อ พ่อแม่เขา ลี่เฟยผู้เป็นภรรยา ซือหลิงและเนี่ยนเทียนที่เป็นลูกสาวกับลูกชาย รวมถึงคนอื่นๆพอเห็นเขาไม่เป็นอะไร ก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจกันยกใหญ่
หลังจากหลบหนีมาได้ ที่เขาเลือกจะกลับมายังจี้เมี่ยเทียนทันที นอกจากจะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของอาจารย์แล้ว ยังเป็นห่วงเรื่องครอบครัวคนสนิทเขาด้วย
เมื่อเห็นว่าทุกคนสบายดี หินก้อนใหญ่ที่หนักอกก็คล้ายหายไปทันที
“ผู้เฒ่าหั่ว ท่านอาจารย์ไปไหนหรือ ไฉนข้าติดต่อไม่ได้?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามผู้เฒ่าหั่ว
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ได้เข้าไปยังโลกแห่งความตาย”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าว
“โลกแห่งความตาย?”
ต้วนหลิงเทียนอดอึ้งไปไม่ได้ โลกแห่งความตายนั่น มิใช่ 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลกที่เป็นที่ตั้งของเผ่าพันธุ์ภูตหรือไร?
แต่อาจารย์เขากลับไปโลกแห่งความตาย?
ไปทำอะไรกันแน่!?
ถึงแม้ว่าอาจารย์เขาจะบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพแล้ว แต่ก็เป็นแค่ราชาเทพขั้นต่ำเท่านั้น หากคิดจะไปเผ่าพันธุ์ภูตในโลกแห่งความตายเพื่อล้างแค้น มันไม่สมจริงไปหน่อยกระมัง? เผ่าพันธุ์ภูตนั่นได้ข่าวว่าในเผ่ากระทั่งราชาเทพขั้นสูงยังมี!
…
ณ โลกแห่งความตาย 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลก ภายในนี้ย่อมเต็มไปด้วยภยันตรายมากมาย
การมาเยือนโลกแห่งความตายครั้งนี้ของฟงชิงหยางไม่ใช่ครั้งแรก แต่ในอดีตนั้น การมาโลกแห่งความตายคือการมาฝึกฝนและแสวงโชค ต่างจากปัจจุบันที่มีจุดประสงค์เพื่อไปส่งข่าวให้เผ่าภูต
“เผ่าภูต…”..Aileen-novel
หลังจากมาถึงโลกแห่งงความตาย และสอบถามจากผู้คนที่พบเจอหลายคน ในที่สุดฟงชิงหยางก็ล่วงรู้สถานที่ตั้งเผ่าภูต
อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ไปส่งข่าวให้เผ่าภูตด้วยตัวเอง แต่เลือกจะจ้างวานคนอื่นให้ไปส่งข่าวแทน
ขณะเดียวกันก็ฝากคนผู้นั้น ให้นำลูกแก้วเงาลอยไปมอบให้ผู้อาวุโสของเผ่าพันธุ์ภูตด้วย
เผ่าพันธุ์ภูตนั้น แต่เดิมก็สงบมาก
อย่างไรก็ตาม การมาเยือนของคนที่ได้รับการจ้างวานจากฟงชิงหยางเพื่อส่งข่าวและนำลูกแก้วเงาลอยที่ฟงชิงหยางได้บันทึกเรื่องราวบางอย่างเอาไว้ ก็ทำให้เผ่าพันธุ์ภูตบังเกิดความสะท้านสะเทือนครั้งยิ่งใหญ่
“หมี่เยี่ยน ปล้นชิงร่างผู้คน!!”
ผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าพันธุ์ภูตที่ได้เห็นฉากเรื่องในลูกแก้วเงาลอยแล้ว ก็ถึงกับส่งสัญญาณระดมพลสูงสุด เรียกประชุมระดับสูงทั้งหมดของเผ่าพันธุ์ภูตทันที กระทั่งยังออกประกาศต่อผู้คนในเผ่าให้รับทราบกันถ้วนหน้า “อีกทั้งผู้นำเผ่าคนปัจจุบันของพวกเรา หมี่ซวน เมื่อรู้แล้ว แต่ไม่เพียงจะห้ามปรามหรือแจ้งข่าว ยังไปช่วยหมี่เยี่ยนให้ชิงร่างผู้อื่นอีก!!”
“บัดนี้ ข้าขอประกาศว่า…หมี่ซวน จักมิใช่ผู้นำเผ่าพันธุ์ภูตของพวกเราอีกต่อไป ขณะเดียวกันข้ายังจะขับไล่หมี่ซวนออกจากเผ่าพันธุ์ภูต และไม่ต้อนรับมันอีก!!”
ถึงแม้ว่าลูกแก้วเงาลอยจะปลอมแปลงกันได้
อย่างไรก็ตาม อาวุโสของเผ่าพันธุ์ภูตหลายคนที่บรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นสูงแล้ว เพียงมองปราดเดียวก็สามารถบอกได้ทันทีว่าลูกแก้วเลอยที่เห็นเป็นของจริงหรือปลอม…
และเพราะรู้ว่าลูกแก้วเงาลอยไม่ใช่ของปลอม พวกมันถึงได้มีโมโหทั้งเดือดดาลเป็นการใหญ่ และรู้สึกว่าพี่น้องอย่างหมี่ซวนและหมี่เยี่ยนได้แตะ ‘ขีดจำกัดล่าง’ ของเผ่าภูตแล้ว พี่น้องบัดซบคู่นั้นไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของเผ่าภูตเลย!
“ขณะเดียวกัน พววกเราเหล่าอาวุโสจักส่งคนไปยังระนาบเทวโลก เพื่อล่าตัวหมี่เยี่ยนและนำมาสำเร็จโทษให้จงได้!”
“และหากหมี่ซวนเลอะเลือนตามหมี่เยี่ยนไปปล้นชิงร่างผู้อื่นเขาอีกคน เป้าหมายของพวกเราจักมิได้มีเพียงแค่หมี่เยี่ยน แต่รวมถึงมันด้วย!”
อาวุโสหลายคนของเผ่าพันธุ์ภูตมีโมโหกับเรื่องราวครั้งนี้นัก
ด้านเหล่าคนของเผ่าพันธุ์ภูตแม้จะตกใจกับการประกาศของเหล่าอาวุโส แต่พวกมันก็มีความคิดดุจเดียวกับเหล่าอาวุโส เพราะพวกมันได้รับการปลูกฝังที่แทบไม่ต่างอะไรจากการล้างสมองตั้งแต่ถือกำเนิด ว่าการชิงร่างของผู้อื่น ถือเป็นตัวเสียสติสมควรตายที่กระทำผิดอย่างร้ายแรง!
“เสี่ยวเทียนยังมีชีวิตอยู่…”
หลังจากวัตถุประสงค์การมายังโลกแห่งความตายลุล่วงแล้ว ฟงชิงหยางที่กำลังจะออกจากโลกแห่งความตาย ก็ได้นำลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียน ศิษย์เพียงหนึ่งเดียวออกมาดู พอเห็นว่าลูกแก้ววิญญาณยังไม่บุบสลายแม้แต่นิดเดียว ก็ทำให้มันตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนยังปลอดภัยดีอยู่ จึงอดระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้
ต้องทราบด้วยว่าวันนั้นแม้มันจะเลือกระเบิดร่างอวตารกฏดินเพื่อหมายเปิดทางให้ศิษย์ที่แท้จริงอย่างต้วนหลิงเทียนหลบหนี แต่มันก็ไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะหลบหนีมาได้ เพราะสุดท้ายที่นั่นก็คือสถานที่ตั้งวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ไม่ใช่ใครจะใช้ค่ายกลไปไหนมาไหนได้ตามใจ
มันยังคิดเรื่องแก้แค้นให้ต้วนหลิงเทียนเอาไว้แล้ว
หลังออกจากโลกแห่งความตายจนกลับมาถึงจี้เมี่ยเทียน ฟงชิงหยางก็เลือกจะติดต่อไปหาต้วนหลิงเทียนโดยไม่รู้ตัว เดิมทีก็แค่จะลองดูเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะตอบกลับมาจริงๆ “ท่านอาจารย์ ตอนนี้ข้าอยู่กับผู้เฒ่าหั่วและทุกคนแล้ว”
ทันทีทีต้วนหลิงเทียนส่งข้อความนี้มา ฟงชิงหยางก็รู้ที่อยู่ในปัจจุบันของต้วนหลิงเทียนทันที
“ท่านอาจารย์ ตอนนี้หมี่ซวนของเผ่าพันธุ์ภูตนั่น สมควรเริ่มต้นตามรอยวิญญาณท่าน และกำลังจะมาหาท่านแล้ว…ข้าว่าจะปลอดภัยกว่าหากท่านกลับไปยังนรกอสุราและบ่มเพาะพลังที่นั่น”
ต้วนหลิงเทียนเร่งกล่าวแนะนำออกไปทันที
ถึงแม้เขาจะมั่นใจในพลังฝีมือของอาจารย์เขา แต่หมี่ซวนนั่นจะอย่างไรก็เป็นถึงราชาเทพขั้นกลาง แถมเป็นคนของเผ่าพันธุ์ภูต ที่เป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษ ไม่เพียงมีร่างเป็นวิญญาณ ยังเก่งเรื่องการโจมตีด้วยพลังวิญญาณเป็นที่สุด อาศัยอาจารย์เขาที่พึ่งทะลวงถึงราชาเทพขั้นต่ำ เกรงว่าคงยากจะรับมือมันได้
“เมื่อรู้ว่าเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าก็สามารถกลับไปนรกอสุราได้อย่างวางใจ”
ฟงชิงหยางส่งข้อความตอบกลับ
เห็นได้ชัดว่าที่ยังไม่กลับไปนรกอสุรา เหตุผลส่วนใหญ่ก็เพราะต้วนหลิงเทียน
“ขอท่านอาจารย์วางใจได้ ข้าสบายดี”
ต้วนหลิงเทียนก็ตอบข้อความกลับไปทันที
“ว่าแต่เจ้าหนีรอดมาได้อย่างไร?”
ฟงชิงหยางส่งข้อความมาถามด้วยสงสัย “ระนาบอิสระที่เป็นที่ตั้งของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักนั่น สมควรถูกเปิดสร้างด้วยผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ก่อตั้งวิหารเฟิงฮ่าว เจ้าอยู่ในระนาบอิสระแห่งนั้นก็คงยากจะหลบหนีมาได้”
ตอนแรกที่มันระเบิดร่างอวตารกฏดินนั้น เพียงเป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายหมายเพิ่มโอกาสหลบหนีให้ต้วนหลิงเทียนเท่านั้น
อันที่จริงมันไม่ได้หวังไว้มากมายว่าจะประสบผล
แต่ในตอนนั้นมันไม่เหลือทางเลือกอื่นใดแล้วจริงๆ
มาตอนนี้ก็เลยแปลกใจไม่น้อย ที่ต้วนหลิงเทียนสามารถหลบหนนีออกมาได้
“ท่านอาจารย์ เป็นเทพเบจธาตุทั้ง 5 ในร่างข้าได้ทุ่มพลังเพื่อฉีกเปิดรอยแยกมิติ ทำให้ข้าหลบหนีออกมาจากระนาบอิสระแห่งนั้นได้…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“เทพเบญจธาตุ?”
ลูกตาของฟงชิงหยางหดเล็กลงทันที จากนั้นก็ส่งข้อความมาถามด้วยความกังวล “เช่นนั้น เรื่องเทพเบญจธาตุของเจ้ามิใช่ว่าถูกเปิดเผยแล้วหรือ?”
“ยังไม่”
ต้วนหลิงเทียนส่งข้อความตอบกลับ และเป็นการโกหกสีขาว
ถึงแม้พลังฝีมือของอาจารย์เขาจะกล้าแข็งไม่ใช่ชั่ว ทั้งยังทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำแล้ว แต่ในปัจจุบันไม่เพียงแต่อาจารย์เขาสมควรได้รับความบาดเจ็บทางวิญญาณเพราะเสียร่างอวตารกฏดินไปทำให้ต้องใช้เวลาฟื้นฟูรักษาตัว กระทั่งร่างอวตารกฏดินของอาจารย์เอง ก็ต้องใช้เวลาควบสร้างใหม่เช่นกัน
นอกจากนั้น อาจารย์เขากำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคามอันตรายอย่างหมี่ซวน
ในสถานการณ์เช่นนี้ ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อยากให้อาจารย์ต้องมาคอยเป็นกังวลเรื่องเขาอีก
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บอกว่าเรื่องเทพเบญจธาตุของเขาถูกเปิดเผยออกมาแล้ว
“ประเสริฐนัก!”
ฟงชิงหยางพอได้รับข้อคววาม ก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะเดียวกันก็ส่งข้อความบอกต้วนหลิงเทียนว่า “ข้าจะไปนรกอสุราตอนนี้เลย หากเจ้ามีสิ่งใดสามารถไปยังระนาบอิสระที่ตั้งนรกอสุราเพื่อตามหาข้าได้…เมื่อเจ้าไปถึงที่นั่น เพียงแค่ส่งข้อความหาข้า ข้าก็สามารถรับข้อความได้ทันที”
“เข้าใจแล้วอาจารย์”
หลังได้ยินข้อความตอบกลับของต้วนหลิงเทียน ฟงชิงหยางก็เร่งรุดไปยังนรกอสุราทันที
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ฟงชิงหยางหายเข้าไปในม่านหมอกสีเลือดทางเข้านรกอสุรา ในพื้นที่อิสระนอกทางเข้านรกอสุรา ก็ปรากฏแสงสีเลือดหนึ่งพุ่งวาบมาถึงก่อนจะก่อร่างมนุษย์พร่ามัวขึ้น เป็นผู้นำเผ่าพันธุ์ภูต หมี่ซวน ราชาเทพขั้นกลาง!
“บัดซบ! ช้าไปแค่ก้าวเดียว!!”
เสียงหมี่ซวนนั้นดุร้ายนัก ยังสั่นเครือไปด้วยโทสะ
“น่าเสียดายที่ข้าพึ่งจะอยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นกลางเท่านั้น สามารถติดตามคนที่ข้าเพ่งเล็งวิญญาณหลังพบเจอต่อหน้าแล้วเท่านั้น…หากข้าทะลวงถึงจอมราชันเทพ อย่างน้อยๆก็สามารถตามรอยวิญญาณจากลูกแก้ววิญญาณหรืออะไรก็ตามที่มีรอยวิญญาณประทับเอาไว้ได้…”
อันที่จริงตอนนี้คนที่หมี่ซวนอยากฆ่ามากที่สุดไม่ใช่ฟงชิงหยางแต่เป็นต้วนหลิงเทียน ที่ส่งน้องชายมันอย่างหมี่เยี่ยนไปปรภพ…
(แก้ตอนก่อน* หมี่ซวนไม่ได้เพ่งเล็งวิญญาณต้วนหลิงเทียน แต่แค่แผ่พลังวิญญาณมาตรวจจับความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนเท่านั้น)
และสำหรับมันก็ไม่ยากที่จะหาลูกแก้ววิญญาณที่ต้วนหลิงเทียนประทับรอยวิญญาณเอาไว้ แต่ปัญหาคือด้วยพลังฝึกปรือของมันในปัจจุบัน มันไม่อาจตามรอยวิญญาณต้วนหลิงเทียนจากร่องรอยวิญญาณที่ต้วนหลิงเทียนประทับเอาไว้ในลูกแก้ววิญญาณได้
ว่ากันว่าในเผ่าพันธุ์ภูตมัน มีตัวตนที่บรรลุถึงงขอบเขตจอมราชันเทพไม่กี่คนเท่านั้น ที่ทำอะไรแบบนั้นได้…
อาศัยรอยประทับวิญญาณในลูกแก้ววิญญาณ เพื่อติดตามเจ้าของรอยประทับ!