War sovereign Soaring The Heavens - ตอนที่ 3644 : เดินทางไปยังสถานที่ทดสอบ
“ในโถง 10 ดาวก็มีลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกการประลองระหว่างข้ากับต้วนหลิงเทียนวันนั้นเอาไว้…เจ้ายังไม่ได้ไปยืมดูรึไร?”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของชายหนุ่มชุดเทา หงจวินก็หันไปเหลือบมองอีกฝ่ายผ่านๆ ก่อนจะย้อนถามกลับไป
“แม้ข้าจะพึ่งออกจากการปิดด่านมาเมื่อ 2 วันก่อน ตอนที่ข้าไปรับโอสถเทพที่โถง 10 ดาว เดิมทีข้าก็จะขอยืมลูกแก้วเงาลอยที่ว่านั่นมาแล้ว…อย่างไรก็ตามลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกเรื่องราววันนั้นเอาไว้หลายสิบลูกที่โถง 10 ดาว กลับมีผู้อื่นยืมไปชมดูจนหมด ถึงข้าอยากจะยืมดูแค่ไหน ก็ต้องรอให้คนนำกลับมาคืนก่อนอยู่ดี”
ชายหนุ่มชุดเทาส่ายหัวไปมาพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มแหยๆ
ในโถง 10 ดาว มีลูกแก้วเงาลอยมากมายหลายชนิดไม่ใช่แค่ลูกแก้วที่บันทึกการประลองของหงจวินกับต้วนหลิงเทียนเท่านั้น และหากจะยืมก็ต้องจ่าย ‘หน่วยกิต’ ออกไป
ในสถานศึกษานั้น นักศึกษาแต่ละคนล้วนมีหน่วยกิต จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ความสามารถของนักศึกษาแต่ละคน
หน่วยกิตนั้น มักจะได้รับจากการทดสอบ
และคะแนนส่วนตัวกับหน่วยกิตก็ไม่เหมือนกัน คะแนนก็คือคะแนน หน่วยกิตก็คือหน่วยกิต
คะแนนนั้น จะได้มาจากการเข้าชั้นเรียนและผ่านการทดสอบย่อยในชั้นเรียนไม่เว้นตอบคำถามของอาจารย์ผู้สอน รวมถึงแจกให้เปล่าในแต่ละเดือน และเมื่อได้คะแนนมาแล้วนักศึกษาสามารถจ่ายคะแนนส่วนตัวดังกล่าวเพื่อเข้าร่วมการทดสอบเฉพาะต่างๆได้ เมื่อผ่านทดสอบนั้นๆ คะแนนที่จะได้รับกลับมาตามผลงาน ก็จะถูกแปลงเป็นหน่วยกิตอัตโนมัติ
ส่วนหน่วยกิตนั้น เปรียบได้กับสกุลเงินเฉพาะในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ภายในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ นอกจากหินเทพที่จะสามารถใช้ในการซื้อขายส่วนตัวแล้ว การแลกเปลี่ยนระหว่างนักศึกษากับสถานศึกษาหมอกเร้นลับนั้นไม่อาจจ่ายด้วยหินเทพได้ แต่จำต้องใช้หน่วยกิต
และกล่าวได้ว่า หน่วยกิต นั้นสามารถใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของได้ทุกสิ่งในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ตราบใดที่มันมีอยู่
ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะ ลูกแก้วเงาลอย โอสถเทพ ผลไม้เทพ สมุนไพรเทพ อุปกรณ์เทพ ไม่เวนจานค่ายกลและของใช้จิปาถะต่างๆ
หน่วยกิตของนักศึกษาในสถานศึกษาหมอกเร้นลับนั้น สามารถถ่ายโอนให้นักศึกษาผู้อื่นได้เช่นกัน และเพราะเหตุนี้จึงมีนักศึกษาที่มีภูมิหลังดี มักไปรีดไถหน่วยกิตจากนักศึกษาคนอื่นๆเสมอ
“ข้าได้ยินมาว่า…ในตอนที่เจ้าประลองกับมัน แม้มันจะไม่ได้ใช้อุปกรณ์เทพอะไร แต่เจ้าต้องใช้อุปกรณ์เทพถึงจะรับมือมันได้เช่นนั้นรึ?”
ชายหนุ่มชุดเทาเอ่ยถามอีกรอบ
“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว จะถามย้ำทำอะไร?”
หงจวินเหลือบมองชายหนุ่มชุดเทาด้วยสายตารำคาญ “เหออี้ผิง หากเจ้าอยากรู้พลังฝีมือของมันนัก ก็ไปท้าทายมันได้ทุกเมื่อ…ตอนนี้มันอยู่ในหอพักระดับสูง เจ้าแค่ไปโถง 10 ดาวและขอสาสน์ท้ารบไปแขวนไว้หน้าบ้านมันเท่านั้น”
ชายหนุ่มในชุคคลุมสีเทานาม เหออี้ผิง คนนี้ ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับมันกัหงจวินก็มีชื่อเสียงพอๆกัน พลังฝีมือไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าหงจวินแม้แต่นิดเดียว และเพราะภูมิหลังที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร ทำให้มันไม่อาจเข้าไปอาศัยอยู่ในหอพักระดับสูงได้
ด้วยเหตุผลนี้เอง มันถึงได้มีความสัมพันธ์อันดีกับหงจวิน และถือว่าเป็นสหายกันก็ได้
“เจ้ามันน่าตายนัก คิดอยากให้ข้าโดนผู้อื่นทุบตีบ้างกระมัง?”
เหออี้ผิงหันไปมองค้อนหงจวิน “ข้าก็แค่ถามเจ้าเพราะอยากรู้เท่านั้น เพราะข้ารู้สึกว่าเรื่องราวมันน่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง แต่ดูเจ้าทำเข้าสิ…และหากเจ้านั่นมันเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติถึง 3 ประการจริง อย่าว่าแต่เจ้าหรือข้าเลย ให้ข้ากับเจ้าร่วมมือกันก็สู้มันไม่ได้อยู่ดี”
“หึ!”
หงจวินพ่นลมสบถเสียงเย็นคำหนึ่ง จากนั้นก็คร้านจะสนใจเหออี้ผิงสืบต่อ อย่างไรก็ตาม สายตาที่มันใช้มองต้วนหลิงเทียนนั้น แลดูเคร่งขรึมจริงจังนัก
การประลองวันนั้น มันไม่อาจลืมเลือนได้
เป็นครั้งแรกในชีวิตของมันเลยจริงๆ ที่โดนคนที่อายุน้อยกว่าเอาชนะไปง่ายๆแบบนั้น…
…
“เจ้าคือต้วนหลิงเทียนหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนที่กำลังคุยกับติงเหยียนอยู่ก็จำต้องหยุดการสนทนาลง เพราะมีเสียงทักหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล พอหันไปมองก็เห็นร่างหนึ่งก้าวอาดๆแหวกผู้คนเข้ามาหาเขา
ผู้มาเป็นชายหนุ่มในชุดหรูหรา ใบหน้าเกลี้ยงเกลา สองตาเป็นประกายจ้าแฝงความทะนงตัว เส้นผมหยิกหยอยของมันถูกรวบมัดไว้ด้านหลังแลดูขัดตาอย่างไรชอบกล หว่างคิ้วเผยความอ่อนโยนแต่ไม่ขาดความองอาจ ให้ความรู้สึกย้อนแย้งแต่ลงตัวพิกล
คนเช่นนี้เพียงมองปราดเดียวก็จดจำได้แล้ว
สองตาต้วนหลิงเทียนอดฉายแววประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ เพราะน้อยคนนักที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขา จะมีลักษณะที่ทำให้เขารู้สึกว่าจะจดจำได้ไม่ลืมตั้งแต่แรกเห็นเช่นนี้
“ยินดีที่ได้พบ ข้าเรียกว่า โหวชิ่งหนิง”
ชายหนุ่มที่เดินมาหยุดลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้ตออะไร มันก็ชิงแนะนำตัวออกมาก่อนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มมากอัธยาศัย
โหวชิ่งหนิง
นามนี้ก็ไม่ได้แปลกหูต้วนหลิงเทียนแต่อย่างไร เพราเขาได้ยินหลิวจินกล่าวแนะนำชื่อนี้ออกมาตั้งแต่วันแรกที่เขามาถึงสถานศึกษาหมอกเร้นลับ จึงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็น 1 ใน 5 ที่ครอบครองหอพักระดับสูงของนักศึกษา 10 ดาว และยังใช้พลังฝีมือส่วนตัวช่วงชิงมา
อีกทั้ง ฐานะความเป็นมาของมันก็ไม่ใช่ชั่ว
เป็นนายน้อยของนิกายระดับราชาเทพแห่งหนึ่ง
“ข้าต้วนหลิงเทียน ยินดีที่ได้รู้จัก”
เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็แนะนำตัวเองกลับไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“ต้วนหลิงเทียน หลังข้าออกจากการปิดด่านมาข้าก็ได้ยินเรื่องราวของเจ้าไปทั่ว…เดิมทีก็คิดว่าจะขอประลองชี้แนะกับเจ้าสักครั้ง ไม่คิดเลยว่าเจ้าดันปิดด่านบ่มเพาะไม่ออกมาจนถึงวันนี้…”
แม้จะรู้เรื่องราวของต้วนหลิงเทียนมาก่อนแล้ว แต่โหวชิ่งหนิงไม่คล้ายหวั่นเกรงอะไร แลดูเป็นกันเองนัก “ถึงแม้ข้าจะรู้ดีว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าแน่ๆ แต่ในฐานะที่เจ้าเองก็ใช้กฏมิติเหมือนกัน ข้าก็เลยอยากรับทราบความสำเร็จเลิศล้ำของเจ้าสักครา จะได้รู้ว่าตัวข้าเองขาดตกบกพร่องตรงที่ใด และยังห่างชั้นกับเจ้าแค่ไหน”
“เพราะสุดท้ายแล้วตั้งแต่ที่ข้าโหวชิ่งหนิงเกิดมา แต่เล็กจนโต นับว่าเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ข้าพบเจอคนที่มีอายุน้อยกว่า แต่กลับประสบความสำเร็จในกฏมิติเหนือกว่าข้า…นับว่าคำเหนือฟ้ายังมีฟ้ากล่าวไว้ไม่ผิดจริงๆ”
กล่าวถึงท้ายประโยค โหวชิ่งหนิงก็อดส่ายหัวไปมาไม่ได้ ไอลีนโนเวล
“เจ้าเองก็คงไม่รังเกียจที่จะประลองชี้แนะกับข้าสักครั้ง เพราะรู้ว่าข้าอ่อนด้อยกว่าเจ้ามากกระมัง?”
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้ตอบอะไร โหวชิ่งหนิงก็กล่าวถามออกมาสืบต่อ
“เอาสิ ไว้รอให้จบการทดสอบแล้วไปสู้กันสักรอบก็ได้”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ พลางตอบ “ประลองชี้แนะไม่ใช่เจ้าได้รับจากข้าฝ่ายเดียว ข้าเองก็อยากเห็นความเข้าใจในกฏมิติของเจ้าเช่นกัน จะได้รู้ว่าข้ายังขาดอะไรบ้าง”
ถึงแม้จะพึ่งได้พบเจอกับโหวชิ่งหนิงเป็นครั้งแรก แต่ไม่ว่าจะเป็นการพบกันวันนี้หรือได้รู้จักอีกฝ่ายผ่านหลิวจินในวันแรก อีกฝ่ายก็ทำให้เขาประทับใจอันดีทุกครั้ง จึงไม่คิดจะปฏิเสธคำขอประลองชี้แนะของอีกฝ่า
“เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย”
สองตาโหวชิ่งหนิงเป็นประกายจ้าขึ้นมาโดยพลัน เร่งตอบคำอย่างอารมณ์ดี “ไว้การทดสอบสิ้นสุดลง ข้าจะมารบกวนเจ้า”
พอกล่าวจบคำ โหวชิ่งหนิงก็ยกมือขึ้นมาป้องประสานไว้เบื้องหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป
และในทิศทางที่โหวชิ่งหนิงเดินจากไป ก็พอดีกับที่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาที่มองจ้องมา และสายตาดังกล่าวเขาไม่ต้องหันไปดูเจ้าของก็รู้ได้ว่าเป็นใคร…ไม่พ้นต้องเป็นนายน้อยสกุลจ้ง ที่ยอมรับความพ่ายแพ้เขาในวันแรกที่เขามาถึงสถานศึกษาหมอกเร้นลับ
จ้งเค่อฉี!
และในปัจจุบัน จ้งเค่อฉี ก็ยืนมองจ้องเขาตาขวาง ข้างกายยังมีคนสกุลจ้งที่มาหาเขาวันก่อน
เป็นคนๆเดียวกันกับที่นำข้อเสนอของตระกูลจ้งมาบอกต่อเขาหน้าโถง 10 ดาววันก่อน
อีกฝ่ายยังยกตระกูลจ้งมาข่มขู่เขาเช่นกัน
คำพูดมันก็ชัดเจนนัก สาบานด้วยเลือดมารหัวใจว่าจะจงรักภักดีต่อตระกูลจ้ง…หรือตาย!
“ประเสริฐนัก ดูเหมือนพวกเจ้าจะมากันครบแล้ว”
ทันใดนั้นเอง พลันมีสุรเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นก็ปรากฏร่างชายหนุ่มที่แลดูกำยำสูงใหญ่ปานหอคอย หน้าตาอีกฝ่ายแลดูจริงจังคิ้วหนาตาคม ตั้งแต่หัวจรดเท้าวัดความสูงได้ไม่ต่ำกว่า 2 หมี่ และการปรากฏตัวของมันต่อหน้าต้วนหลิงเทียนกับทุกคน ก็เสมือนคนผุดโผล่ออกมาจากอากาศธาตุ
“ต้วนหลิงเทียน วันนี้คงเป็นครั้งแรกเลยกระมังที่เจ้าได้เห็น อาจารย์ อวี๋เชียนซาน?”
ชายหนุ่มดังกล่าวปรากฏตัวได้ไม่ทันไร ติงเหยียนที่ยืนข้างต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยถามออกมา
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ถึงแม้หลังเข้ามาในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ เขาจะได้พบเจออาจารย์หลายคนแล้ว แต่เพราะเขาเอาแต่ปิดด่านบ่มเพาะพลังไม่เคยเข้าเรียนอะไรเลยสักคาบ จึงไม่เคยพบกับอาจารย์นาม อวี๋เชียนซาน ผู้นี้
อย่างไรก็ตามชายหนุ่มร่างกำยำผู้นี้กกลับให้ความรู้สึกอันตรายแก่เขาอยู่บ้าง และความรู้สึกดังกล่าวมันรุนแรงกว่าอาจารย์ที่เขาพบเจอหลังจากมาถึงหอพักนักศึกษา 10 ดาวทั้งหมดเสียอีก และนอกจากความอันตรายแล้ว มองอย่างไรเขาก็ไม่อาจหยั่งถึงตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่ายได้
“อาจารย์อวี๋เชียนซานผู้นี้ จัดเป็นอาจารย์ทีม่มีพลังฝีมือกล้าแข็งอันดับต้นๆในสถานศึกษาหมอกเร้นลับเรา…เห็นว่าพลังฝีมือเป็นรองก็แต่คณบดีเท่านั้น และสมควรพอๆกับอาจารย์อวิ๋นฮุ่ยและอาจารย์ถังฮ่าวเลยทีเดียว”
ติงเหยียนกล่าวสืบต่อ “อาจารย์ทั้ง 3 ที่ข้ากล่าวมา ถูกผู้คนในสถานศึกษายอมรับว่าเป็น 3 อาจารย์ที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งที่สุด”
“โดยปกติแล้ว ข้าเองก็แทบไม่เห็นมันปรากฏตัว…จนเมื่อถึงการทดสอบนักศึกษา 10 ดาวเท่านั้น ที่มันจะปรากฏตัวขึ้นมา เพราะมันเป็นคนที่จะพาพวกเราไปยังสถานที่ทดสอบ”
“ที่มันมาพาพวกเราไปด้วยตัวเอง ก็เพื่อรับประกันความปลอดภัยให้นักศึกษา 10 ดาวอย่างพวกเราขณะเดินทาง…อย่างไรเสียนักศึกษา 10 ดาวอย่างเราๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากศิษย์ฝ่ายในของนิกายหมอกเร้นลับแล้ว ทำให้จะสถานศึกษาหมอกเร้นลับก็ดี นิกายหมอกเร้นลับก็ดี มิอาจละเลยความปลอดภัยของพวกเราได้”
“หากพวกตระกูลราชาเทพที่คติดร้ายกับเจ้าไม่ว่าจะตระกูลจ้งเองก็ดี หรือตระกูลอื่นที่คิดผสมโรงหาข้ออ้างเล่นงานตระกูลจ้งก็ดี…ด้วยมีอาจารย์อวี๋เชียนซานผู้นี้อยู่พวกมันไม่กล้าปรากฏตัวแน่ เพราะหากถูกพบเจอ หรือบุกรุกเข้ามาจโดนค่ายกลตรวจจับได้พวกมันก็มีแต่ตายสถานเดียว!”
กล่าวถึงท้ายประโยค มุมปากของติงเหยียนก็ยกยิ้มแสยะดูแคลนออกมา เห็นได้ชัดว่ามันดูเบาคนของตระกูลราชาเทพทั้งหลาย
“อวี๋เชียนซานรึ…”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองพินิจอวี๋เชียนซาน ด้านอวี๋เชียนซานที่หันมามองเขาเช่นกัน ก็ส่งยิ้มให้พลางพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าเขาเป็นใคร
และในเวลาต่อมา อวี๋เชียนเซียนก็กล่าวคำออกมาเสียงดังฟังชัด “ข้าได้ยินมาว่าในบรรดาพวกเจ้านักศึกษา 10 ดาว บัดนี้มีศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้ามาคนหนึ่ง และเป็นคนที่โดดเด่นยิ่งนัก พลังฝีมือร้ายกาจถึงขั้นได้รับการยอมรับให้เป็นนักศึกษาอันดับ 1 ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับเราตั้งแต่วันแรก…”
พออวี๋เชียนซานกล่าวถึงจุดนี้ สายตาของนักศึกษา 10 ดาวทั้งหมด ก็หันขวับมาจับจ้องต้วนหลิงเทียนเป็นสายตาเดียวกันโดยไม่รู้ตัว
“อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าก็อย่าพึ่งท้อแท้ถอดใจกันไป…”
อวี๋เชียนซานกล่าวสืบต่อ “แม้นึกศึกษาเข้าใหม่คนเก่งของพวกเราจะมีพลังฝีมือร้ายกาจ แต่อย่างไรก็เป็นดั่งน้องใหม่สำหรับพวกเจ้า เพราะผู้อื่นมิเคยเข้าร่วมการทดสอบนักศึกษา 10 ดาวมาก่อน…ในเรื่องนี้พวกเจ้าสมควรมีประสบการณ์มากกว่าผู้อื่นเขา จึงมิใช่ว่าพวกเจ้าจักไม่มีโอกาสชนะเลย”
“ท้ายที่สุดแล้วอันดับการทดสอบครั้งนี้ก็มิได้ขึ้นอยู่กับพลังฝีมือ แต่มันขึ้นอยู่กับคะแนนทดสอบ! พวกเจ้าที่มากประสบการณ์สมควรล่วงรู้ภูมิประเทศดี และยังรู้ว่าควรจัดการกับจังหวะการล่าอย่างไรถึงจะเหมาะสมที่สุดตลอดการทดสอบ 3 เดือนหลังจากนี้กระมัง?”
พออวี๋เชียนซานกล่าวจบประโยค สองตานักศึกษาหลายๆคนก็ลุกวาวขึ้นมาทันที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหงจวิน โหวชิ่งหนิง และเหออี้ผิงเรียกว่าดวงตาของพวกมัมนเป็นประกายสว่างไสวราวดวงดาวบนฟ้ากลางค่ำคืน และแต่ละคนก็หมายมั่นตั้งใจว่าจะเอาชนะต้วนหลิงเทียนในการทดสอบให้ได้
“เอาล่ะ รอให้อาจารย์ที่เหลืออีก 3 ท่านมาถึงก่อน พวกเราจักได้เริ่มออกเดินทางกัน”
อวี๋เชียนซานกล่าวถึงจุดนี้ก็กวาดตามองทุกคนเล็กน้อย ค่อยเอ่ยต่อว่า “พวกเจ้าก็พักผ่อนตามอัธยาศัยก่อนเถอะ”
ถึงแม้อวี๋เชียนซานจะกล่าวบอกให้ต้วนหลิงเทียนรวมถึงนักศึกษา 10 ดาวคนอื่นพักผ่อนตามอัธยาศัยเพื่อรอเวลา แต่เอาเข้าจริงยังผ่านไปไม่ทันครบสิบลมหายใจดี อาจารย์อีก 3 คนที่ว่าก็เดินทางมาถึงแล้ว…และสำหรับต้วนหลิงเทียน อาจารย์ทั้ง 3 คนก็แปลกหน้าไม่ต่างกัน เพราะเขาไม่เคยเจอใครคนใดคนหนึ่งมาก่อน
“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ”
หลังอวี๋เชียนซานกล่าวจบคำ มันก็เหินร่างนำออกไปทันที ไม่ทันไรก็ออกจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับ จวบจนเมืองวายุสวรรค์เป็นที่เรียบร้อย แน่นอนว่าความเร็วไม่ได้สูงมากจนทำให้นักศึกษาคนไหนรู้สึกลำบาก
อวี๋เชียนซานเป็นผู้เหินนำอยู่หน้าสุด
ส่วนอาจารย์ของสถานศึกษาอีก 3 คนนั้น คนหนึ่งอยู่ซ้าย คนหนึ่งขวา ส่วนอีกคนก็อยู่ด้านหลัง เสมือนสร้าง 3 เหลี่ยมรูปหนึ่งปกป้องต้วนหลิงเทียนและนักศึกษา 10 ดาวเอาไว้ตรงกลาง
“เจ้านั่นน่ะรึ ต้วนหลิงเทียน?”
หลังเดินทางออกจากเมืองวายุสวรรค์แล้ว อาจารย์ทั้ง 3 คนของสถานศึกษาหมอกเร้นลับก็ฌได้รับการแจ้งเตือนจากเหล่าศิษย์ที่รู้จัก จึงได้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนที่กำลังโด่งดังในสถานศึกษาหมอกเร้นลับเป็นใคร พวกมันบางคนก็ลอบมองต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจเป็นระยะๆ
หากแต่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ ว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่ผิดแปลกไปโดยสิ้นเชิง
ถึงแม้จะไม่ได้เปิดเผยจิตมุ่งร้ายออกมาแน่ชัด แต่มันต่างจากอาจารย์อีก 2 คนที่พึ่งมาใหม่มาก เพราะสายตาอีกฝ่ายช่างเย็นชาและเฉยเมยสิ้นดี
“อาจารย์คนนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลจ้งอย่างไรรึ?”
ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังสอบถามติงเหยียนทันที กระทั่งใช้พลังชี้นำอีกฝ่ายให้หันไปมองยังอาจารย์คนหนึ่งโดยไม่เปิดเผยพิรุธใดๆให้ใครเห็น