Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ - ตอนที่ 739 ประลองเทียบเปรียบ
- Home
- Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์
- ตอนที่ 739 ประลองเทียบเปรียบ
ห้าปีต่อมา
ณ วังสวรรค์เมฆาวิเวก
ภายในห้องโถงใหญ่ ปรมาจารย์วังกำลังหารืออย่างเป็นทางการกับหกปรมาจารย์ขุนเขา
“สงครามในแนวหน้าวิกฤตนัก อุปกรณ์เองก็เริ่มชำรุดเสื่อมโทรม ทางเทพวิญญาณเลยขอให้พวกเราสร้างอาวุธและชุดเกราะจำนวนหนึ่งโดยเร็วที่สุด” ปรมาจารย์วังกล่าว
“เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราขุนเขากระเรียนเทาเอง” ปรมาจารย์ขุนเขาคนหนึ่งกล่าว
ขุนเขากระเรียนเทา เป็นผู้เชี่ยวชาญในหกศิลป์ และทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับการหลอมกลั่นทั้งหมดจะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของขุนเขานี้
ปรมาจารย์วังพยักหน้าและกล่าว “รบกวนเจ้าด้วย นอกจากนี้ เรายังได้รับข้อมูลว่า โลกบรรพกาลได้ส่งวิญญาณมารกลุ่มหนึ่งมาสอดแนม ฉะนั้น เพื่อป้องกันมิให้พวกมันลอบเร้นเข้ามา ทางเราจึงต้องส่งผู้ฝึกยุทธที่เชี่ยวชาญในกฎเกณฑ์แห่งเสียงออกไปจัดการ”
ทุกคนต่างมองไปทางหญิงสาวคนหนึ่ง
หญิงสาวกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ พร้อมกับขลุ่ยมรกตในมือ
เธอคือปรมาจารย์ขุนเขาทำนองเสนาะ ลั่วปิงลี่
ในครั้งที่สาวกหน้าใหม่เข้าสู่นิกาย ก็เป็นเธอนี่แหละที่ปรากฏกายและเล่นขลุ่ยทำลายผู้บูชามารบรรพกาล
ลั่วปิงลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา เรื่องนี้ข้าจัดการเอง”
ปรมาจารย์วังถาม “แล้วเจ้าคิดจะใช้คนเท่าใด?”
ลั่วปิงลี่ ครุ่นคิด “ขอแค่ห้าคนก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
ปรมาจารย์วังส่ายหัว “ผู้ฝึกยุทธที่สามารถใช้กฎเกณฑ์แห่งเสียงมีน้อยนิดยิ่ง นานๆ ครั้งจึงจักปรากฏตัวขึ้นสักครา ดังนั้นจงอย่านำคนไปมากเกินความจำเป็น”
ลั่วปิงลี่ “เช่นนั้นข้าขอแค่สองคนก็พอ”
ปรมาจารย์วังพยักหน้าอนุมัติ
เขาหันไปมองผู้ฝึกยุทธที่อยู่ข้างกาย และกล่าวเตือนว่า “ปรมาจารย์ขุนเขาเมฆาพยศ เจ้าจงนำกลุ่มคนที่คัดเลือกด้วยตนเองไปพร้อมกันปรมาจารย์ขุนเขาทำนองเสนาะ รับหน้าที่ในการปกป้องพวกเธอ”
ผู้ฝึกยุทธยิ้มยิงฟัน “ขอปรมาจารย์วังโปรดวางใจ ข้าจะคัดเลือกผู้ฝึกดาบและผู้ใช้กระบี่ที่เก่งกาจที่สุดร่วมเดินทาง ยิ่งไปกว่านั้นจะคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญการใช้หอกไปด้วย”
ปรมาจารย์วังเอ่ยถาม “แล้วเจ้าคิดว่าจะนำคนไปสักเท่าใด?”
“สองร้อยคน” ปรมาจารย์ขุนเขาเมฆาพยศกล่าว
“อืม…สองร้อยคนนับว่าไม่มาก ไม่น้อยเกินไป ที่เราจะสามารถใช้ปกป้องดูแลพวกนางได้อย่างทั่วถึง”
“รับบัญชา”
ปรมาจารย์วังผุดลุกขึ้น กล่าวกับเหล่าปรมาจารย์ขุนเขา “เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีเรื่องอื่นแล้ว การหารืออย่างเป็นทางการก็สมควรยุติลงแต่เพียงเท่านี้”
หลายปรมาจารย์ขุนเขายืนตาม แต่กลับสบสายตาแก่กันและกัน
ปรมาจารย์ขุนเขาวารีกระจ่างกล่าว “ปรมาจารย์วัง แท้จริงแล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
“หืม? ว่ามาสิ”
“มันเป็นเรื่องของสาวกหน้าใหม่ที่พวกเรารับมาเมื่อ ห้าปีที่แล้ว ซึ่งพวกเราได้ทำการประลองเทียบเปรียบกันไปกว่าสี่ครั้งแล้วในช่วงท้ายของแต่ละปี และการประลองเทียบเปรียบในปีที่ห้า ซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดเองก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น” ปรมาจารย์ขุนเขาวารีกระจ่างเริ่มอธิบาย
“เรื่องนี้มิใช่ว่าต้องปฏิบัติกันทุกปีอยู่แล้วหรอกหรือ เหตุใดต้องเอ่ยขึ้นมาด้วย?”
“เหตุที่เอ่ยเป็นเพราะ เมื่อเร็วๆ นี้ เริ่มมีหัวข้อถกเถียงที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับขุนเขาหลัก”
ในแม่น้ำทั้งเจ็ดขุนเขา เป็นหกขุนเขาที่รายล้อมอยู่รอบขุนเขาหลัก
ส่วนขุนเขาหลัก นามว่า ขุนเขาเมฆาวิเวก เป็นขุนเขาของปรมาจารย์วัง
สิ่งสำคัญต่างๆ ของตลอดทั้งนิกาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือโบราณ มรดก สมบัติ หนทางเชื่อมสู่สวรรค์ ‘เกือบ’ทั้งหมดล้วนตั้งอยู่บนขุนเขาสูงสุดนี้
“ข้อถกเถียงเกี่ยวกับขุนเขาหลัก?” ปรมาจารย์วังค่อยๆ ขมวดคิ้ว เริ่มกลายเป็นเคร่งขรึม “เจ้าจงระบุมาให้ชัดเจนว่ามันคือเรื่องอะไร”
“แท้จริงแล้วหาใช่เรื่องสำคัญไม่ เพียงแต่ทุกคนต่างเกิดความรู้สึกว่า เด็กหนุ่มที่ปรมาจารย์วังรับไว้เป็นศิษย์ นับตั้งแต่ข้ามธรณีประตูนิกาย เขาก็ไม่เคยเข้าร่วมการประลองเทียบเปรียบประจำปีเลย เป็นเวลากว่า สี่ปี
ปีติดต่อกันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น กิจกรรมอื่นๆ ก็ยังไม่เคยเข้าร่วม จึงเริ่มเกิดข้อถกเถียงมากมายขึ้น” ปรมาจารย์ขุนเขาวารีกระจ่างเล่ารายละเอียด
ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณโบราณ เอ่ยเสริม “ยังมี กลุ่มเด็กๆ ที่อยู่ในขุนเขาของเรา มักจะร้องตะโกนว่าพวกเขาต้องการท้าประลองกับศิษย์ของปรมาจารย์วังอยู่เสมอๆ เรื่องข้อพิพาทแพ้ชนะจะไม่พูดถึง ท่านปรมาจารย์วัง หากมีเวลาว่างเว้น ได้โปรดพาตัวศิษย์ของท่านออกมา สำแดงฤทธิ์เดชให้ชมดูจะเป็นการดี”
ปรมาจารย์วังผงกหัวช้าๆ
‘อ๋อ…ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้’
เขาเอ่ยถามต่อ “แล้วการประลองครั้งใหญ่ในปีนี้ กู่ฉิงซานก็ยังมิได้ลงทะเบียนใช่หรือไม่?”
ปรมาจารย์ขุนเขาวารีกระจ่าง “ใช่ และนั่นเป็นเหตุผลให้บรรดาผู้ฝึกยุทธในรุ่นเดียวกันเริ่มบ่นกันเล็กน้อย ว่าสาวกของท่านปรมาจารย์วัง กำลังหัวหด ไม่คิดจะปรากฏกายออกมา”
ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณโบราณ กล่าว “ปรมาจารย์วัง ท่านสมควรปล่อยให้กู่ฉิงซานออกมาสู้สักครั้ง เพื่อหยุดคำครหาของพวกเด็กๆ จะได้ไม่มีผู้ใดระแคะระคายในขุนเขาหลักอีก”
ปรมาจารย์วัง “ข้าจะถามเขาให้ แต่สุดท้ายผลเป็นอย่างไร มิอาจรับประกัน”
เขาหัวเราะและกล่าว “อนิจจา ส่วนข้อถกเถียงเหล่านั้น มันก็ยังเป็นเพียงข้อถกเถียงของเด็กๆ ฉะนั้นย่อมไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อขุนเขาหลัก พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
จากนั้น ปรมาจารย์วังก็วาดมือออก และหายวับไปจากห้องโถงใหญ่
ปรมาจารย์ขุนเขาแต่ละคนมองหน้ากันและกัน
“นี่ท่านปรมาจารย์วังไม่คิดจะปล่อยให้เจ้าหนูนั่นออกมาสู้เลยหรืออย่างไร?” ปรมาจารย์ขุนเขาเมฆาพยศกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
ปรมาจารย์ขุนเขารุ่งอรุณโบราณส่ายหัว “อย่างที่ข้าเคยกล่าว ปรมาจารย์วังเข้าข้างลูกศิษย์ของเขามากเกินไป แท้จริงสาวกผู้นี้สมควรออกมาติดต่อกับผู้คน เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ แลกเปลี่ยนความรู้สึกในระหว่างการประลองต่อสู้ ต้องทำเช่นนี้ ทุกคนจึงยอมรับตำแหน่งของเขา”
อีกหลายๆ ปรมาจารย์ขุนเขาต่างพยักหน้า พวกเขาเองก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน
“ผิดแล้ว พวกเจ้าคิดว่าเหตุการณ์ที่กล่าวมามันไม่เคยเกิดขึ้นเลยหรือ?” ปรมาจารย์ขุนเขาทำนองเสนาะ ลั่วปิงลี่กล่าว “ตัวข้ารับผิดชอบในการสอดส่องดูแลสถานการณ์ของนิกาย มีอยู่หลายครั้งที่เคยเห็นกู่ฉิงซานเข้าๆ ออกๆ ขุนเขากระเรียนเทา ในเวลานั้นก็มีสาวกคนอื่นๆ ไล่ติดตาม และเอ่ยขอท้าประลองกับเขาอยู่เหมือนกัน ทว่าถูกปฏิเสธ”
ปรมาจารย์ขุนเขาทั้งหมดตกตะลึง
‘เขาตอบปฏิเสธงั้นหรือ!’
ต้องรู้นะว่า ในการท้าประลองระหว่างสาวก หากมิใช่เพราะฐานวรยุทธ์ห่างชั้นกันมากจนเกินไป ย่อมไม่มีใครจะปฏิเสธกัน
หากใครบางคนปฏิเสธที่จะประลอง คนผู้นั้นจะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกขี้ขลาดทันที
นอกจากนี้ การประลองดังกล่าว ยังเป็นช่วงเวลาที่จักสามารถแสดงความแข็งแกร่งเพื่อเพิ่มพูนอำนาจ และชื่อเสียงให้แก่ตนเองได้อีกด้วย
เมื่อได้รับทราบข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ปรมาจารย์ขุนเขาต่างก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
เด็กคนนั้นเป็นลูกศิษย์คนแรกที่ได้รับการยอมรับโดยปรมาจารย์วัง ดังนั้น นั่นหมายความว่าเขาย่อมเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของนิกายไปโดยปริยาย
โดยไม่คำนึงถึงความแข็งแกร่งและลักษณะนิสัย ตราบใดที่เขาอยู่ในตำแหน่งนี้ นั่นหมายความว่าเขาเป็นตัวแทนของสาวกทั้งหมดในนิกาย
ดังนั้น ด้วยสถานะที่กำลังแบกรับอยู่เช่นนี้ แม้ว่าฐานวรยุทธ์จะไม่สู้ดี แต่อย่างน้อยสมควรติดตามปรมาจารย์วัง เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการเรื่องราวต่างๆ เพื่อแสดงความสามารถและสั่งสมชื่อเสียง
ทว่าหลังจากแรกเริ่มที่เข้าร่วมนิกาย เจ้าเด็กเหลือขอนั่นก็แทบไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย
ในขณะที่ทุกคนได้ล่วงรู้ว่า เด็กชายเคยไปปรากฏตัวที่ขุนเขากระเรียนเทาอยู่หลายครั้ง ขังตัวเองอยู่ในห้องหนังสือโบราณของขุนเขาเป็นระยะเวลานาน
ตามบันทึกจากห้องหนังสือโบราณของขุนเขากระเรียนเทา เด็กชายแท้จริงขอหยิบยืมใบหยกในชั้นหนังสือโบราณ ที่บันทึกเกี่ยวกับอาหารวิญญาณ และค่ายกลเป็นจำนวนมากไป
แต่เนื่องเพราะเขาแสดงใบหยกของท่านปรมาจารย์วัง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะขัดขวาง
อย่างไรก็ตาม ในฐานะสาวกที่พึ่งเข้ามาในนิกายได้เพียงไม่นาน อย่างน้อยเขาสมควรทุ่มความสนใจไปกับการฝึกยุทธ หรือฝึกฝนทักษะดาบมิใช่หรือ? การเบี่ยงเบนไปให้ความสนใจในเรื่องค่ายกลกับอาหารวิญญาณ แบบนี้มันดีแล้วจริงๆ?
ปรมาจารย์วังชักจะตามใจเขามากเกินไปแล้ว
ปรมาจารย์ขุนเขาสดับวิญญาณ ครุ่นคิดพลางกล่าว “มันดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องหาโอกาสตักเตือนปรมาจารย์วังซะแล้ว เพราะท้ายที่สุดนี้ ศิษย์ของเขาอย่างไรก็เป็นตัวแทนศักดิ์ศรีของนิกาย และยังเป็นตัวแสดงถึงทัศนคติของนิกาย ในการฝึกยุทธของเหล่าสาวกอีกด้วย”
“ถูกต้อง”
“เป็นเช่นนั้น”
“คราวต่อไป พวกเราจะยกเรื่องนี้มาพูดกับปรมาจารย์วังอีกครั้ง”
ปรมาจารย์ขุนเขาคนอื่นๆ ต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
…
ณ ขุนเขาหลักเมฆาวิเวก
ปรมาจารย์วัง เซี่ยกู่หงส์ได้กลับมาแล้ว
เขาเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางหิน ที่ทอดยาว นำขึ้นไปสู่ยอดขุนเขา
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ยามเมื่อทำแบบนี้ มันมักจะช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลาย
เขามักจะชอบเดินแบบนี้ทุกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม
ทันใดนั้นเขาก็หยุดกึก เงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า
เพราะเจ้าตัวสัมผัสได้ถึงเกล็ดหิมะที่กำลังร่วงโรยลงมา
นี่สมควรจะเป็นสัญญาณสิ้นสุดของปี
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ มันเป็นปีที่ไม่ง่ายเลย
ในแนวหน้า ปรากฏมอนสเตอร์จากยุคโบราณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ ยิ่งนานวัน พวกมันก็ยิ่งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งเหล่าเทพวิญญาณก็ยังหวาดเกรงมอนสเตอร์พวกนี้อยู่เล็กน้อย
แม้ว่าใจความสำคัญนี้จะมิใช่สิ่งที่สามารถกล่าวเปิดเผยในที่สาธารณะ แต่เซี่ยกู่หงส์เชื่อว่าเหล่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงสุดต่างก็เริ่มสังเกตเห็นกันบ้างแล้ว
การต่อสู้ในครั้งนี้ช่างดุเดือดและน่าหวาดกลัวมาเหลือเกิน
ท่ามกลางการสู้รบที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ผู้ฝึกยุทธระดับสูงนับสิบต่างก็ถูกสังหารลง เผ่ามนุษย์เกือบจะกลายเป็นเหยื่อซะเอง แต่ในที่สุดพวกเขาก็ยังสามารถสังหารเจ้ามอนสเตอร์นั่นลงได้
ใช่แล้วล่ะ เพราะเผ่ามนุษย์เองก็แกร่งขึ้น แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ทว่าวิกฤตเองก็ยังขยับขยายตัวไปอย่างเชื่องช้า
เซี่ยกู่หงส์ถอนหายใจ
ไหนจะสงครามในแนวหน้า ไหนจะเทพวิญญาณที่เริ่มตื่นกลัว ไหนจะภารกิจในนิกาย ไม่ว่าสิ่งใด แต่ละคนก็ล้วนต้องการให้เขาเพ่งสมาธิแบกรับมันกันทั้งนั้น
เขาเอื้อมมือไปรองรับเกล็ดหิมะที่ร่วงลงมา
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน แต่ตนเอง สักวันหนึ่งอาจจะต้องตกตายลงในแนวหน้าก็ได้?
ทันใดนั้นเอง เขาก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่เหล่าปรมาจารย์ขุนเขาได้กล่าวถึง
“ฉิงซาน…”
เซี่ยกู่หงส์พึมพำคำหนึ่ง สุดท้ายหายวับไปจากสถานที่เดิม มิอาจมองเห็นได้อีกเลย
ณ สถานที่ลึกเข้าไปในขุนเขาหลักเมฆาวิเวก
ภายในหุบเหวแห่งดาบ
กล่าวได้ว่าดาบทั้งหมดที่ทางนิกายเก็บสะสม ถูกรวบรวมเอาไว้ที่นี่
เป็นกู่ฉิงซาน
ทั้งคนทั้งร่างของเขาคล้ายกำลังเข้าสู่สภาวะหมกมุ่น
ในความว่างเปล่าตรงกันข้ามกับเขา เซี่ยกู่หงส์ได้ปรากฏกายขึ้น
เซี่ยกู่หงส์เดิมทีคิดเฝ้ารอ ทว่าผ่านไปพักหนึ่งแล้วกู่ฉิงซานก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เจ้าตัวจึงกระแอมไอเบาๆ
กู่ฉิงซานรู้สึกตัวทันที
เขาลืมตาขึ้น
“อาจารย์ เป็นท่านนั่นเอง” เขาผุดลุกขึ้นและประสานสองกำปั้นคำนับ
“อืม การฝึกยุทธเป็นอย่างไรบ้าง?” เซี่ยกู่หงส์เอ่ยถาม
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี” กู่ฉิงซานกล่าว
เซี่ยกู่หงส์กวาดสายมองเขาขึ้นๆ ลงๆ และเอ่ยถาม “จดจำได้หรือไม่ว่านับตั้งแต่ที่เจ้าเหยียบย่างเข้ามาในนิกาย และคารวะข้าเป็นอาจารย์ วันเวลามันล่วงเลยมานานกว่าห้าปีแล้ว ทว่าเจ้ากลับยังไม่เคยเข้าร่วมการประลองเทียบเปรียบเลย”
“ศิษย์จดจำได้” กู่ฉิงซานพยักหน้า
เซี่ยกู่หงส์เอ่ยถาม “เช่นนั้นแล้วเหตุใดถึงไม่คิดรับคำท้าประลองจากผู้อื่น?”
กู่ฉิงซานตอบ “เพราะกระทั่งศิษย์ในรุ่นก่อนหน้าที่มีฐานวรยุทธ์สูงส่ง ก็ยังมิอาจเอาชนะความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้าได้ ดังนั้นรุ่นเดียวกันมิต้องกล่าวถึง”
เซี่ยกู่หงส์ “สำหรับอาจารย์ มันฟังดูเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น”
กู่ฉิงซาน “เช่นนั้นศิษย์ขอตอบใหม่แบบนี้ : การรับคำท้าประลองมันน่าเบื่อเกินไป เพราะอย่างไรเสีย วิถีสวรรค์ก็ยังมิเกิดปฏิกิริยาใดๆ นั่นหมายความว่าในปัจจุบันนี้ ข้าก็ยังคงเป็นผู้ฝึกดาบอันดับหนึ่งอยู่ หากต้องไปละเล่นกับพวกเขา นับว่าเป็นการเสียเวลา”
เซี่ยกู่หงส์เงียบ มิได้เอ่ยสิ่งใด
เด็กคนนี้ ครั้งหนึ่งเคยสาบานกับวิถีสวรรค์ ว่าหากยามใดที่ตนมิได้เป็นผู้ฝึกดาบอันดับหนึ่ง เขาจะต้องล้มล้างฐานวรยุทธ์ทันที และถอนตัวไปจากนิกาย
ดังนั้น เจ้าตัวจึงต้องมาอยู่ในสภาพน่าเบื่อที่นี่
แม้กระทั่งวิถีสวรรค์ก็ยังคงกำลังพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของเขา
เซี่ยกู่หงส์กระแอมไอ กล่าวเบาๆ “แล้ว… เรื่องการประลองประจำปีของปีนี้เล่า เจ้าคิดจะมีส่วนร่วมหรือไม่?”
กู่ฉิงซานขบคิด “ท่านอาจารย์ หากข้าไปที่นั่น มันจะไม่เป็นการรังแกผู้คนหรอกหรือ?”
เซี่ยกู่หงส์ถูกตอกกลับหน้าแทบหงาย
ไอ้เจ้าเด็กนี่ …
เซี่ยกู่หงส์ยืนนิ่ง ทว่ากลับปรากฏถึงดาบยาวเจ็ดเล่มขึ้นในอากาศเบื้องหลังเขา
เซี่ยกู่หงส์เอื้อมไปคว้าจับหนึ่งในดาบจากเบื้องหลัง
“มาเถิด ช่วยเปิดหูเปิดตาให้อาจารย์เจ้าได้เห็น ว่าสาวกผู้ฝึกดาบอันดับหนึ่ง แท้จริงสามารถก้าวขึ้นไปได้ถึงขั้นใดแล้ว”
“รับคำสั่งท่านอาจารย์ โปรดให้คำชี้แนะด้วย”
กู่ฉิงซานเองก็นำดาบออกมา
ทว่าเขายังมิทันได้โค้งคำนับ ร่างกายก็พลันกะพริบไหว
เพราะยามนี้เขาตื่นเต้นจนลืมเลือนมารยาทไปสิ้น …การที่ตนได้รับการสอนสั่งแนะนำจากผู้ฝึกดาบที่สามารถโค่นเทพวิญญาณลงได้เป็นการส่วนตัว กู่ฉิงซานย่อมกระตือรือร้นที่จะลองมัน
เริ่มลงมือได้!
พริบตานั้นเอง ดาบยาวในมือพลันแบ่งแยกออกเป็นสอง จากนั้นสองก็แยกออกเป็นสี่ แตกตัวไปเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง ในเสี้ยววินาที มันก็แปรเปลี่ยนทั้งสิ้นเป็นสามสิบหกดาบ สาดแสงรังสีกะพริบไหว สับเข้าใส่เซี่ยกู่หงส์จากทุกทิศทางโดยตรง!
กู่ฉิงซานได้ศึกษา เรียนรู้ทักษะดาบมาตลอดทั้งห้าปี เขาสามารถนำพวกมันมาผสมผสานเข้ากับเทคนิคลับแห่งดาบของตน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงประสบการณ์ต่อสู้ของตัวเอง ทุ่มความพยายามสุดกำลังทั้งหมดลงในการโจมตีเดียว
ดวงตาของเซี่ยกู่หงส์สว่างวาบ
“แค่ห้าปี กลับสามารถทำได้ถึงเพียงนี้…” เขาขยับปากงึมงำ
ดาบยาวโบกสะบัด
ติ๊งๆๆ!
เขาเพียงสะบัดดาบยาวเบาๆ ก็ปัดรังสีดาบทั้งหมดของกู่ฉิงซานปลิวออกไป
“จังหวะนี้ล่ะ!”
ช่วงจังหวะที่รังสีดาบถูกปัดออก กู่ฉิงซานพลันปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าอีกฝ่ายอย่างกะทันหัน วาดดาบยาวในมือของเขาเข้าใส่กลางร่างอีกฝ่ายอย่างแรง
และคมดาบนี้ช่างรวดเร็ว ฉับไวจนแทบจะมองไปเห็นคมกล้าของมัน!
เคร้ง!
บังเกิดเสียงอึกทึก
คมดาบของกู่ฉิงซานถูกสะท้อน ทั้งคนทั้งคนกระเด็นออกไป
กู่ฉิงซานม้วนตีลังกาหลายตลบในอากาศ ก่อนจะหยั่งเท้าลงในระยะที่ห่างออกไปเกินกว่าสิบจั่ง
“พอแค่นี้”
เซี่ยกู่หงส์ปล่อยดาบตนออกจากมือ
กู่ฉิงซานจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเก็บดาบของเขาไปอย่างไม่ยินยอม
เขาต้องการที่จะสู้อีก
แต่ท่านอาจารย์เก็บดาบไปแล้ว นั่นหมายความว่าย่อมมิอาจสู้ต่อได้
กู่ฉิงซานมองไปยังเจ็ดดาบที่ลอยอยู่เบื้องหลังเซี่ยกู่หงส์ เอ่ยถามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “อาจารย์ ท่านได้ข้ามผ่านขอบเขตของนักดาบนิรันดร์ไปแล้วใช่หรือไม่?”
เซี่ยกู่หงส์พยักหน้า
กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัย จึงเอ่ยถาม “แล้วเหตุใดท่านจึงมีเพียง 7 ดาบเท่านั้น? โดยปกติแล้วยิ่งแข็งแกร่ง ก็น่าจะยิ่งใช้จิตนึกคิดควบคุมดาบได้มาก ฉะนั้นท่านย่อมสามารถควบคุมดาบได้นับร้อยแน่นอน”
เซี่ยกู่หงส์กล่าว “เมื่อครั้งอดีตที่ข้าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในฐานะนักดาบนิรันดร์ ดาบบินที่ข้าสามารถควบคุมได้ประกอบด้วยกันทั้งสิ้นหนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบสี่เล่ม แต่หลังจากที่ข้าสามารถก้าวข้ามผ่านขอบเขตนักดาบนิรันดร์ จนมาถึงตอนนี้ ข้าถึงใช้แค่เจ็ดดาบเท่านั้น”
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะเมื่อใดก็ตามที่เจ้าสามารถปลดปล่อยอำนาจของดาบบินทั้งหมดโดยสมบูรณ์ เมื่อนั้นเจ้าย่อมต้องคิดหาวิธีการที่จะบรรจบพลังของพวกมันเข้าด้วยกัน”
“บรรจบพลัง?” กู่ฉิงซานพึมพำ
ทันใดนั้นเอง เขาก็ย้อนนึกขึ้นได้ถึงในโลกใต้ทะเล อีเลียเคยพูดถึงเรื่องนี้ และเหมือนจะเอ่ยในทำนองเดียวกัน
เซี่ยกู่หงส์กล่าว “ใช่ มันยากที่จะบรรจบพลัง ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เจ้าสามารถควบรวมพวกมันทั้งหมด และระเบิดพลังของดาบบินออกมาได้ เมื่อนั้นทักษะดาบอันสมบูรณ์แบบ ชนิดที่เจ้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน ก็จักถูกเผยให้เห็นสู่สายตา”
“ดังนั้น หมายความว่าท่านอาจารย์สามารถบรรจบพลังทั้งหมด รวบรวมมันไว้ในเจ็ดเล่มได้?”
“มิใช่ นี่เป็นเพราะข้าได้ก้าวล้ำไปยิ่งกว่าขอบเขตที่เจ้ากล่าวถึงแล้ว ฉะนั้น ดาบที่ควบรวมพลังของข้าจึงมีทั้งสิ้นเจ็ดเล่ม”
กู่ฉิงซานพอได้รับฟัง ก็ทอดถอนหายใจสรรเสริญ
เซี่ยกู่หงส์เมื่อได้เห็นสีหน้าของเขา ก็เผยรอยยิ้มแย้ม “เอาเถิด เพียงความก้าวหน้าของเจ้าก็น่าประหลาดใจมากพออยู่แล้ว ไม่ต้องอิจฉาข้าไป”
“ขอรับอาจารย์”
“จงฝึกฝนต่อไป ส่วนเวลานี้ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“ขอรับ”
เซี่ยกู่หงส์เก็บดาบเบื้องหลังทั้งเจ็ด และก้าวเดินออกไปช้าๆ
ทว่าผ่านไปได้เพียงครึ่งทาง เขาก็เหมือนจะจดจำอะไรบางอย่างได้ จึงหยุดฝีเท้าลง
เขาหันหน้ามาทางกู่ฉิงซาน และเอ่ยแนะนำ “ภายในสามปี จงอย่าได้ออกไปโจมตีผู้คน และหากผ่านพ้นสามปีไปได้ ข้าจะมอบตำแหน่งให้เจ้าไปยังขุนเขาเมฆาพยศ รับหน้าที่สอนสั่งผู้คนให้ฝึกฝนดาบ”
“…น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์”
………………………….