Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ - ตอนที่ 746 ไม่ได้เตรียมอาหารเอาไว้ให้
- Home
- Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์
- ตอนที่ 746 ไม่ได้เตรียมอาหารเอาไว้ให้
สถานการณ์เกินเลยไปไกลสุดกู่
กระทั่งเทพแห่งชีวิตเองก็ยังลงมายังวังสวรรค์เมฆาวิเวกเป็นการส่วนตัว
ทว่ากู่ฉิงซานที่เฝ้ารอจนถึงช่วงวินาทีสุดท้าย กลับสามารถรับรู้ถึงจิตสัมผัสเทวะของเซี่ยกู่หงส์ได้อย่างกะทันหัน
จากนั้น กู่ฉิงซานก็ใช้คำไม่กี่คำ สยบทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้สื่อความหมายกลายๆ ว่า…
ไม่ว่าจะหน้าไหน จะเทพวิญญาณ หรือผู้ฝึกยุทธคนใด หากมีข้อโต้แย้ง โปรดไปพูดคุยกับเซี่ยกู่หงส์ด้วยตัวเองซะ!
เพราะตราบใดที่เซี่ยกู่หงส์ยังคงมีชีวิตอยู่ ปรมาจารย์วังแห่งวังสวรรค์ผู้นี้ย่อมเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในนิกาย
หากทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ถูกจัดการโดยเซี่ยกู่หงส์ นี่มันก็จะสอดคล้องไปกับกฎเกณฑ์และเหตุผล
จากนั้น…
กู่ฉิงซานกระแอมไอเล็กน้อย ประสานสองมือ กวาดไปยังผู้คนรอบทิศทาง “เรื่องสุดท้าย”
ในหัวใจของผู้คนเริ่มหนักอึ้ง คนแล้วคนเล่าล้วนมองมาที่เขา
อันที่จริงแล้ว ฉากที่ทุกคนกริ่งเกรงเด็กน้อยเพียงคนเดียว มันช่างดูน่าขบขัน และไม่ควรจะเกิดขึ้น
แต่ผู้ฝึกยุทธจำนวนมากกลับแสดงออกถึงท่าทีจริงจัง สีหน้าของพวกเขาอึมครึม ทั้งหมดกำลังเฝ้ารอให้เด็กหนุ่มเอ่ยปากกล่าว
เพราะจากตลอดที่แล้วๆ มา เจ้าหนูนี่ย่อมไม่คิดเล่นตามกติกาของคนทั่วๆ ไป ตามสามัญสำนึกแล้ว เพียงแค่คิดว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป มันก็ชวนให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวซะจริงๆ
ท่ามกลางสายตาของฝูงชน กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความเสียใจ “ต้องขออภัยทุกท่านจริงๆ ที่ทางขุนเขาหลัก ‘ไม่ได้เตรียมอาหารเอาไว้ให้’”
ทุกคนพอได้รับฟัง ต่างนิ่งค้างไป
สำหรับผู้ฝึกยุทธระดับสูง เพียงได้ยินถึงคำนี้ พวกเขาย่อมสามารถเข้าใจถึงความหมายของมันได้อย่างง่ายดาย
มันเป็นคำที่สื่อกลายๆ ว่า ‘ก็ถ้าในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรแล้ว และอีกอย่างตัวข้าก็ไม่ได้มีความตั้งใจจะเชื้อเชิญพวกเจ้ามารับประทานอาหารร่วมกันที่นี่ด้วย ฉะนั้นยังจะมัวรีรอยืนบื้ออยู่ไย? ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!’
ปรมาจารย์ขุนเขาต่างๆ พากันมองมาที่กู่ฉิงซาน สลับกับมองเทพแห่งชีวิต ทั้งหมดงึกๆ งักๆ จะจากไปเลยก็ไม่ได้ จะอยู่ต่อไปก็ใช่ที
หากไม่ได้รับอนุญาตจากปรมาจารย์วัง ต่อให้พวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธระดับสูง ก็มิอาจรั้งอยู่ในขุนเขาหลักได้
การยังดึงดันอยู่ที่นี่ต่อไป มันคือการบอกคนอื่นกลายๆ ว่าพวกเขาตั้งใจละเมิดกฎนิกาย
อย่างไรก็ตาม เทพแห่งชีวิตยังไม่ได้จากไป ฉะนั้นเหล่าปรมาจารย์ขุนเขาจะกล้าเผ่นหนีไปก่อนได้ไง?
อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้วผู้ที่กำลังอึดอัดใจมากที่สุดก็คงไม่พ้นเทพแห่งชีวิต
ในฐานะที่เป็นถึงเทพวิญญาณ…แล้วตกลงตนเสนอหน้ามาทำบ้าอะไรที่นี่กันแน่?
หากตนเองและพวกปรมาจารย์ขุนเขายอมถอยในเรื่องนี้ และเฝ้ารอให้เซี่ยกู่หงส์กลับมา ค่อยว่ากล่าวมันอีกครั้ง เท่ากับว่าที่วางแผนมามันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ มันจะมีอะไรผิดพลาดไปบ้าง แต่สุดท้ายถ้าอยากจะเอ่ยติเตียน ก็จำต้องไปสนทนากับเซี่ยกู่หงส์โดยตรงอยู่ดี
แล้วไหนจะเรื่องที่คนของอีกฝ่ายกล่าวว่าทางขุนเขาหลักมิได้เตรียมอาหารเอาไว้ให้อีก
ดังนั้นแล้ว ตัวเขาในฐานะเทพวิญญาณจะรั้งอยู่ที่นี่ทำซากอะไร?
รอร่วมรับประทานอาหารอย่างงั้นเหรอ?
ไม่ มันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการกินอาหาร
ในความเป็นจริง ถึงแม้ว่าขุนเขาหลักจะจัดเตรียมอาหารเอาไว้บนโต๊ะอย่างเพียบพร้อมแล้วก็ตาม แต่เขาในฐานะเทพวิญญาณเหตุใดต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับพวกมันด้วย?
ไม่…นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาเหมือนกัน
ก็แล้วถ้างั้น ปัญหามันอยู่ที่ไหนกันแน่?
อย่างน้อยในระยะเวลาๆ สั้นๆ ไม่ว่าเขาจะขยับกายหรือเอ่ยคำใด มันก็ไม่มีข้อใดที่ถูกต้องเหมาะสมเลย
เทพแห่งชีวิตพยายามสงบสติอารมณ์ให้มั่นคง ปากอ้าป่าวประกาศ “ทุกคนแยกย้ายกันไปเถิด เอาไว้เฝ้ารอให้เซี่ยกู่หงส์เดินทางกลับมาพร้อมกับชัยชนะเสียก่อน แล้วพวกเราค่อยมาว่ากันถึงเรื่องเหตุการณ์ภายในวังสวรรค์เมฆาวิเวกอีกครั้ง”
เขากล่าวด้วยการแสดงออกที่ดูขึงขัง น้ำเสียงก็ดูสง่างามและมีภูมิฐาน
แต่สิ่งที่เขาพูดไป…
นั่นมันไม่ใช่เรื่องข้ออ้างหรอกหรือ?
เทพแห่งชีวิตแน่นอนว่าตระหนักถึงเรื่องนี้ เขาไม่เต็มใจที่จะรั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป แปรเปลี่ยนตนเป็นกระแสแสง บินหายกลับขึ้นสู่สรวงสวรรค์ไป
สี่ผู้พิทักษ์อสูรวิญญาณเอง เมื่อเห็นว่าเทพวิญญาณได้จากไป พวกมันก็ค่อยทยอยกันกลับไปอย่างเงียบๆ
ส่วนเหล่าปรมาจารย์ขุนเขา ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิด ทั้งหมดเร่งนำตัวผู้ฝึกยุทธที่ยังมีชีวิตอยู่ ถอนกำลังออกจากขุนเขาหลักอย่างรวดเร็ว
ยามมา มาอย่างยิ่งใหญ่ ยามจากไป ไม่ยอมเอ่ยอะไรสักคำ
กู่ฉิงซานกุมใบหยกผู้นำในมือ เริ่มควบคุมมันอีกครั้ง
เขายิ้ม และโบกมือให้เหล่าคนที่แฝงกายเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่นอกขุนเขา “หวังว่าทุกท่านจะพึงพอใจกับเรื่องสนุกๆ ในวันนี้ หากมีโอกาสอีกครั้ง โปรดจงกลับมา ส่วนพวกเราขอตัวไปกินข้าวกันก่อน”
ใบหยกสาดแสงสว่างไสว
ฟุ่ม!
แล้วขุนเขาทั้งลูกก็หายไปจากสายตาของทุกผู้คน
ค่ายกลอำพรางในใบหยกผู้นำนิกาย ได้ถูกเปิดใช้งาน
ขุนเขาหลักยังคงอยู่ในสถานที่เดิม เพียงแต่มันมิอาจมองเห็นได้อีกต่อไป
ถึงขั้นปิดขุนเขาหลัก เพียงเพราะศิษย์ทั้งสามกำลังคิดหมายจะไปกินข้าว
นี่มัน…
ช่างเถอะ ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้เทพวิญญาณได้ลงมายังโลก ดังนั้นอีกฝ่ายจะอย่างไรก็ย่อมต้องไว้หน้าของเทพวิญญาณด้วยความเคารพ
ทว่ายามนี้ เทพวิญญาณได้หมดสิ้นความสนใจ และจากไปแล้ว อีกฝ่ายจึงเร่งปิดประตูขุนเขาเมฆาวิเวก ไม่คิดต้อนรับผู้ใด
เมื่อเรื่องราวมันดำเนินมาถึงจุดนี้ หากยังคิดรั้งอยู่ จะไม่ถูกตราหน้าว่าไร้มารยาทหรอกหรือ?
หลังจากเรื่องนี้ ใครบ้างจะไม่กระจ่างชัดว่าศิษย์ของเซี่ยกู่หงส์จะได้รับผลที่ตามมาในครั้งนี้แบบใด?
แต่นั่นมันเรื่องในอนาคต เวลานี้ถอยก่อนดีกว่า
แล้วเหล่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงจากแต่ละนิกายที่เดินทางมารับชม ก็แยกย้ายกันออกไปคนละทิศทาง ในหัวใจของพวกตน บังเกิดความขึ้นบางอย่างขึ้นมาอย่างลับๆ
ปรมาจารย์วังสวรรค์เมฆาวิเวกรุ่นต่อไป…มิใช่ผู้ที่สามารถถูกยั่วยุได้โดยง่าย
มันน่ากลัวเกินไป…
เหล่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงเมื่อคิดถึงจุดนี้ ก็แยกย้ายกันกลับไปยังนิกายของตัวเอง
…
สองวันต่อมา
ณ ขุนเขาหลักเมฆาวิเวก
หวงซานกับเฉินหยางเฝ้ารอคอยอยู่นอกหุบเหวแห่งดาบ
เมื่อเซี่ยกู่หงส์กลับมา เขาก็ประกาศคำสั่งอย่างจริงจัง ว่าให้ทั้งสองคอยอยู่ที่นี่ และไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่ใด
ในเวลานี้ ในหัวใจของหวงซานบังเกิดความสงสัยเกินระงับ เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “ศิษย์น้องสาม ข้ามีบางสิ่งที่อยากจะขอคำปรึกษา”
“ศิษย์พี่สองเชิญกล่าว” เฉินหยางรับคำ
หวงซานเอ่ยปาก “ในช่วงสองวันก่อน เหตุใดศิษย์พี่ใหญ่จึงเอ่ยคำ ‘ไม่ได้เตรียมอาหารเอาไว้ให้’ แต่แค่เพียงประโยคเดียว คนเหล่านั้นทั้งหมดถึงยินยอมจากไป?”
เฉินหยางกล่าว “ก็เช่นนั้นแล้วจะให้พวกเขาทำอย่างไร? จะให้ยังคงรั้งอยู่ในขุนเขาหลักของพวกเราต่อไปหรือ?”
หวงซานส่ายมือและกล่าว “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงคิดว่าวาทศิลป์ของศิษย์พี่ใหญ่ช่างลึกล้ำ ความหมายที่แฝงอยู่ในคำกล่าวของมัน ต่อให้ข้าได้ลองไตร่ตรองดู ก็มิอาจลอกเลียนได้จริงๆ”
เฉินหยางหัวเราะ “งั้นหากเป็นศิษย์พี่ที่ต้องเอ่ยปาก ในเวลานั้นท่านจะกล่าวว่ากระไร?”
หวงซานผุดลุกขึ้นและกล่าวตะโกน “ข้าจะพูดว่า ‘หากไม่มีเรื่องใดแล้ว ก็ขอให้ออกไปจากขุนเขาหลักเสีย’ ”
เฉินหยางเบิกตากว้างมองเขาและกล่าว “แต่เทพวิญญาณยังอยู่บนท้องฟ้านะ ท่านกล้าขับไล่เทพวิญญาณตรงๆหรือ?”
หวงซาน “นั่นแหละคือเหตุผลที่ข้าตระหนักได้ว่าวาจาของศิษย์พี่ใหญ่คมคายปานใด เขาสามารถใช้คำกล่าวที่สื่อในทางอ้อมๆ ว่ายังไม่ได้เตรียมอาหารไว้สำหรับทุกคน ดังนั้นกระทั่งเทพวิญญาณก็ไม่สามารถตำหนิเขาได้ และจำต้องจากไป”
“เพราะเหตุนี้ไง เขาถึงได้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเรา” เฉินหยางกล่าว
ทั้งสอบกระซิบกระซาบกัน ขณะที่ในหุบเหวแห่งดาบ เซี่ยกู่หงส์กำลังสอนสั่งกู่ฉิงซาน
“เจ้าทราบหรือไม่ว่าตนเองเกือบจะทำให้เทพวิญญาณเดือดดาลถึงหลายครั้งหลายครา?” เซี่ยกู่หงส์ถาม
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ากระจ่างแก่ใจดี ว่านี่ย่อมเป็นการล่วงเกินทวยเทพ”
เซี่ยกู่หงส์ถอนหายใจและกล่าว “เจ้าจงอย่าทำเช่นนี้อีก มิฉะนั้นวันใดวันหนึ่ง หากเจ้าล่วงเกินเทพวิญญาณ ต่อให้เป็นข้าก็ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้”
กู่ฉิงซาน “ในความเป็นจริงแล้ว ‘พวกเรา’ ก็ล้วนทำให้เทพวิญญาณต้องขุ่นเคือง”
เซี่ยกู่หงส์พอได้ฟังก็เงียบไป
“ใช่” เขาเอ่ยอย่างช้าๆ “เทพแห่งชีวิตจะต้องชิงชังเจ้าเป็นอย่างมาก”
“มันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เทพวิญญาณโปรดปราน ทว่ากลับเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งที่จะทำให้เทพวิญญาณเกลียดชัง หากเจ้าพานพบกับคนของเทพแห่งชีวิตอีกครั้ง จงหลบลี้ไปให้ไกลแสนไกล”
“นอกจากนี้ อย่าได้กระตุ้นสิ่งใดโดยมักง่ายอีก ขอให้ตรวจสอบสถานการณ์ให้ดี ก่อนคิดริเริ่มจะทำอะไร”
กู่ฉิงซานกล่าวคล้ายมีบางส่วนยังไม่เข้าใจ “ท่านอาจารย์ กล่าวเช่นนี้ ท่านกำลังต้องการจะบอกอะไร?”
เซี่ยกู่หงส์เงียบไปสักพักและกล่าว “เทพแห่งชีวิตได้ออกหน้าช่วยเหลือเหล่าสาวกและปรมาจารย์ขุนเขาที่บุกมาในคราวก่อน ไม่มีผู้ใดได้รับโทษถึงตาย”
กู่ฉิงซานแม้จะได้รับฟังแต่ก็ยังคงสงบ เขาเผยรอยยิ้มแย้มอีกครั้ง “และเนื่องจากอีกฝ่ายเป็นเทพวิญญาณ ฉะนั้นย่อมไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง ถูกต้องหรือไม่?”
“ถูกต้อง กู่ฉิงซาน เจ้าต้องรู้นะว่าพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่เทพวิญญาณสรรค์สร้างขึ้น ดังนั้นคำสั่งของเทพวิญญาณ ย่อมมีความหมายสำคัญต่อการดำรงอยู่ของพวกเรา”
“อาจารย์ ท่านคิดเช่นนั้นจริงๆ น่ะหรือ?”
“ไม่หรอก แต่เทพวิญญาณคิดแบบนั้น”
“แล้วท่านอาจารย์เล่า?”
“ข้ารู้สึกสำนึกคุณที่พวกเขามอบชีวิตให้ข้า ทว่าตั้งแต่ที่ชีวิตมันเป็นของข้าแล้ว ฉะนั้นข้าย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง”
เซี่ยกู่หงส์ปรบมือของเขา
แล้วในอากาศที่ว่างเปล่า ก็พลันปรากฏร่างหนึ่งออกมา
เป็นลั่วปิงลี่
เธอกล่าวกับกู่ฉิงซาน “ข้าต้องการหยดเลือดของเจ้า แน่นอนว่ายิ่งมากเท่าใด ผลลัพธ์ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น”
กู่ฉิงซานไม่ลังเลเลยที่จะเฉือนปลายนิ้วตนเลย และเหวี่ยงปุยเลือดกระจายออกไป
ปุยเลือดถูกระงับ หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศทันที
จากนั้น เธอก็หยิบขลุ่ยขึ้นมา และเริ่มบรรเลงต่อหน้าเลือด
ท่วงทำนองเพลงได้จบลง
เลือดที่ลอยนิ่งอยู่ค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นกู่ฉิงซาน
“นี่มัน…” กู่ฉิงซานบังเกิดความสงสัย
เซี่ยกู่หงส์กล่าว “ศิษย์น้องทั้งสองของเจ้าจะเดินทางไปฝึกยุทธที่วังเทพวารี ส่วนข้าจำเป็นต้องกลับไปยังแนวหน้าอีกครั้ง ดังนั้นบนขุนเขาหลัก จึงเหลือเจ้าอยู่เพียงลำพัง”
“สถานการณ์เช่นนี้นับว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ฉิงซาน ในคราวต่อไปข้าอาจถูกสังหารลงเมื่อใดก็ได้ ถึงเวลานั้น เหล่าสาวกและปรมาจารย์ขุนเขาต่างๆ ย่อมต้องมุ่งเอาชีวิตเจ้าแน่นอน หากพวกมันฉวยโอกาสลงมือ เกรงว่าต่อให้เป็นสี่ผู้พิทักษ์อสูรวิญญาณ เจ้าก็ไม่ทันจะมีเวลาปลุกพวกมัน”
“เพราะฉะนั้น?” กู่ฉิงซานถาม
“เพราะฉะนั้น พวกเราจะต้องแสร้งทำเป็นว่าเจ้ายังอยู่ที่นี่ทุกวี่วัน เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในขุนเขาหลัก” ลั่วปิงลี่กล่าว
“แล้วข้าตัวจริงเล่า?” กู่ฉิงซานถาม
เซี่ยกู่หงส์กับลั่วปิงลี่มองหน้ากันวูบหนึ่ง
ลั่วปิงลี่กล่าว “ได้ยินมาว่าเจ้าเชี่ยวชาญในหกศิลป์ใช่หรือไม่?”
“ก็นับว่าพอใช้ได้” กู่ฉิงซานกล่าว
เซี่ยกู่หงส์ “ทางเรามีตัวตนที่ครอบครองสถานะน่าเชื่อถือได้อยู่ในกำมือ ซึ่งสถานะนี้มิใช่แค่เพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้นที่ไม่รู้ แต่กระทั่งเทพวิญญาณเองก็ไม่ล่วงรู้เช่นกัน”
“ฉิงซาน สถานะนี้มีไว้เพื่อเจ้า พวกเราหวังว่าเจ้าจะใช้มันเร่งฝึกฝนทักษะดาบทุกวี่วัน”
“และเมื่อใดที่ทักษะดาบของเจ้าแกร่งพอที่จะสามารถต่อกรกับปรมาจารย์ขุนเขาต่างๆ ได้ เมื่อนั้นพวกเราคงคลายใจในเรื่องความปลอดภัยของเจ้า ถึงเวลานั้น เจ้าก็สามารถกลับมายังขุนเขาหลักได้อีกครั้ง กลับมารับตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ในนิกายได้ดังเดิม”
ลั่วปิงลี่ยังกล่าวเสริมว่า “สถานะนี้ ไม่เพียงแต่เชื่อถือได้ แต่มันยังอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย หลังจากที่เจ้าเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวัน เจ้าก็สามารถใช้เวลาที่เหลือฝึกยุทธได้”
“ข้าจะถูกส่งไปยังที่ใด?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ค่ายกำลังพลสำรองที่ ยี่สิบสามทั้งยังเป็นค่ายกำลังพลสำรองสุดท้ายอีกด้วย” เซี่ยกู่หงส์เฉลย
“ฉะนั้น หมายความว่าข้าจะได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธพร้อมร่วมสงครามสินะ” กู่ฉิงซานพยักหน้า
ทหารสำรองไม่ควรได้เข้าร่วมในสนามรบเร็วจนเกินไปนัก ไหนเลยยังเป็นกองสำรองท้ายๆ ที่ยี่สิบสาม
แต่มันจะดีกว่าไหม หากกู่ฉิงซานได้มีส่วนร่วมในสนามรบ และสามารถใช้ช่วงเวลานั้นเก็บเกี่ยวแต้มพลังวิญญาณ
ขณะกำลังขบคิด เขาก็เห็นว่าผู้ฝึกยุทธระดับสูงทั้งสองส่ายหัวพร้อมกัน
“มิใช่ผู้ฝึกยุทธพร้อมร่วมสงคราม แต่เป็นในสถานะที่ปลอดภัยที่สุด นั่นคือ ‘พ่อครัว’ ของค่ายสำรองที่ยี่สิบสาม” ลั่วปิงลี่กล่าว
“พ่อครัว? อีกแล้วเหรอ!”
กู่ฉิงซานตะลึงงัน
……………………………………..