World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 108 สังหารศัตรูเป็นเป้าหมาย
สองวันต่อมา
ณ โรงฝึกนักศึกษาใหม่
จ้าวเสวี่ยเหมยมองฟางผิงด้วยสีหน้าสงสัย สุดท้ายก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “ฟางผิง นายจะประลองกับรุ่นพี่จริงเหรอ?”
“ฉันถูกท้าประลอง”
ฟางผิงหัวเราะพลางออกกำลังกายต่อ “เธอก็รู้เหรอ?”
“รู้สิ ข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วแล้ว เขาคุยกันว่านายหยิ่ง ท้าทายนักศึกษาไม่พอ ตอนนี้นายไปท้าทายรุ่นพี่แล้ว!”
ฟางผิงหัวเราะขมขื่น “พวกเขาพยายามทำให้คนเกลียดฉัน ฉันพึ่งทะลวงขั้นหนึ่งมาหมาดๆ ฉันจะเอาความมั่นใจจากไหนไปท้ารุ่นพี่กัน?”
จ้าวเสวี่ยเหมยก็รู้สึกแปลกๆ “แล้วทำไมทุกคนถึงพูดแบบนั้นล่ะ?” “รุ่นพี่บางคนพยายามสร้างปัญหาให้ฉัน นักศึกษาใหม่ส่วนใหญ่ก็ถูกฉันเล่นงาน พวกเขาเลยมาเติมเชื้อไฟด้วย”
จ้าวเสวี่ยเหมยไม่ได้โง่ เธอขมวดคิ้วเมื่อได้ยินที่เขาพูด “สรุป ไม่ใช่นายที่อยากประลองกับคนอื่น แต่เป็นคนอื่นที่มาท้านายประลองถูกไหม?”
“ใช่”
“แต่นายพึ่งทะลวง ต่อให้นายอาจแข็งแกร่งกว่าเราเล็กน้อย แต่รุ่นพี่พวกนี้อย่างต่ำก็ขั้นหนึ่งสูงสุด นายมั่นใจเหรอว่าจะเอาชนะพวกเขาได้?”
“ไว้ดูกัน…”
…..
ขณะที่ทั้งสองคุยกัน หลู่เฟิ่งโหรวในชุดวอร์มก็เดินเข้ามา
เมื่อเธอเข้ามา เธอก็มองฟางผิงและเปิดปากพูด “ฉันรู้สถานการณ์แล้ว มันเป็นการท้าประลองที่นายยอมรับเอง ไม่มีใครห้ามนายได้”
“ฉันคิดว่านายเป็นคนหวงแหนชีวิต แต่ดูเหมือนนายจะไม่ต่างจากคนอื่น”
ฟางผิงพูดเสียงเบา “เพราะพวกเราขั้นหนึ่งเหมือนกัน ผมเลยอยากลอง ดีกว่าถูกหาเรื่องตลอด”
“ไม่แน่”
หลู่เฟิ่งโหรวไม่อยากพูดมากนัก เธอเปลี่ยนหัวข้อ “วันนี้ฉันให้พวกนายมา เพราะนายเป็นผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงแล้ว”
“จ้าวเสวี่ยเหมยขัดเกลากระดูกขา 31 ชิ้นแล้ว”
“ฟางผิง สองวันนี้ทำได้ไม่เลวเลย นายน่าจะขัดเกลากระดูกชิ้นแรกเสร็จแล้วสินะ”
“ในฐานะผู้ฝึกยุทธที่แท้จริง ความแตกต่างที่กว้างใหญ่ที่สุดระหว่างนายกับเตรียมผู้ฝึกยุทธก็คือเมื่อนายเข้าสนามรบ ผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงจะนับเป็นกองกำลังหลักได้และมีโอกาสบุกตะลุยโจมตีข้าศึก” “สนามรบ?” จ้าวเสวี่ยเหมยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
อย่างไรก็ตามหลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้อธิบาย กลับกันเธอพูดต่อ “ดังนั้นในเวลานี้ ผู้ฝึกยุทธจำเป็นต้องเรียนกระบวนท่าสังหารและช่วยชีวิต”
“สำหรับกระบวนท่าช่วยชีวิต ไม่มีอะไรมากนอกจากวิ่งหนีพร้อมกับป้องกันตัวไปด้วย อย่างไรก็ตามจากความแข็งแกร่งขั้นหนึ่ง ถ้านายเผชิญปัญหาจริงๆ มันอาจเป็นเรื่องยากที่จะหลบหนีและป้องกันตัว”
“เพราะงั้นฉันจะสอนกระบวนท่าสังหารให้”
“เพลงหมัดพื้นฐานและเพลงเตะพื้นฐาน สองวิชานี้คือพื้นฐานที่สุดที่ใช้ในการต่อสู้ ที่สำคัญคือมันเรียนและเชี่ยวชาญได้ง่าย”
“เคล็ดวิชาต่อสู้พื้นฐานเรียบง่ายเกินไป อย่างไรก็ตามถ้านายเน้นสมดุลมากเกินไป มันจะจำกัดการระเบิดพลังของนาย” “วันนี้ฉันจะสอนเพลงเตะที่ทรงพลังถึงตาย!”
หลังเธอพูดจบประโยค หลู่เฟิ่งโหรวกู่ร้อง เตะเสาไม้เนื้อแข็งที่อยู่ข้างๆ!
ปัง!
มีเสียงแตกดังขึ้นเบาๆ แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวมากนัก
ฟางผิงและจ้าวเสวี่ยเหมยรีบหันไปดูเสาไม้ เวลานี้หลู่เฟิ่งโหรวดึงขากลับมาแล้ว
มีรูปรากฏบนยอดเสาไม้
ด้วยกระบวนท่านี้ เธอไม่ได้หักเสาไม้หรือทำลายเป็นชิ้นๆ แต่เธอเตะเสาจนเป็นรู
ฟางผิงนึกภาพดู ถ้าใช้กระบวนท่านี้ใส่คน จะมีรูปรากฏบนร่างกายด้วยไหม?
อย่างไรก็ตามหลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้ภูมิใจกับความเสียหายที่เธอทำได้ เธอพูดช้าๆ “วิชาที่ฉันพึ่งแสดงให้เห็นมีชื่อ’เท้าทะลวง(ชัวเจี่ยว)’ เป็นหนึ่งในวิชาเพลงเตะ ชื่ออาจฟังดูไม่มีรสนิยม แต่พลังทำลายล้างสูงกว่าเคล็ดเพลงเตะพื้นฐานอย่างมาก!”
“รวมพลังไว้ที่จุดเดียว!”
“ในฐานะผู้ฝึกยุทธ สิ่งแรกที่เราฝึกฝนคือกระดูกส่วนต่างๆของร่างกาย ดังนั้นร่างกายส่วนนั้นๆจะแข็งมาก!”
“รวมปราณและเลือดไว้จุดเดียวและปลดปล่อยออกมา รวมกับกระดูกที่แข็งแกร่ง พลังที่เกิดขึ้นรุนแรงไม่น้อยไปกว่าปืน!”
“จากชื่อ ‘เท้าทะลวง’ พวกนายน่าจะรู้ว่ามันหมายถึงอะไร ส่วนสำคัญคือการแทง นายจะแทงฝ่ายตรงข้ามตายด้วยกระบวนท่าเดียว นี่เป็นจุดประสงค์ของวิชานี้!”
“ถ้านายอยากทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ให้โจมตีขมับ คอ หัวใจหรือหว่างขาเป็นเป้าหมายหลัก…”
จ้าวเสวี่ยเหมยตกใจ เธอพูดเสียงเบา “อาจารย์ ถ้าโจมตีจุดพวกนี้ อีกฝ่ายไม่ตายเอาเหรอ?”
หลู่เฟิ่งโหรวชำเลืองมองเธอและแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ไร้สาระ!”
“เคล็ดวิชาต่อสู้คือเคล็ดวิชาสังหาร! มันถูกสร้างมาก็เพื่อสังหาร!”
“ฟังนะ ฉันจะสอนทั้งเคล็ดวิชา’รวมพลัง’ ‘บีบอัดพลัง’และ’ปล่อยพลัง’ ฉันจะสอนกระบวนท่าพื้นฐานและวิชาที่สอดคล้องกันให้ด้วย”
“หลังเรียนเสร็จ จะได้เอาไปฝึกได้ทุกวัน”
“ส่วนฟางผิง นายสามารถเสริมกระบวนท่าด้วยรองเท้าหนังที่มีปลายแหลม…”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ฟางผิงก็อึ้ง เขารู้ว่าหลู่เฟิ่งโหรวกำลังพูดถึงการประลองที่ใกล้เข้ามา
เขาสวมรองเท้าหนังปลายแหลมได้ด้วยเหรอ? มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ทรงพลังเหมือนที่หลู่เฟิ่งโหรวแสดงให้ดู มันไม่ง่ายที่จะใช้เท้าข้างนึงแทงใส่คน
หลู่เฟิ่งโหรวเห็นสีหน้าโง่งมของฟางผิงก็แค่นเสียงใส่ “ไร้เดียงสา!” “อย่าคิดว่าการท้าประลองเป็นเหมือนเด็กเล่นขายของ เมื่ออยู่บนสนามประลอง มันก็คือการประลองเป็นตาย!”
“มันไม่สำคัญว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนร่วมชั้น เป็นสหาย หรือแม้แต่ผู้มีพระคุณ”
“สักวันหนึ่ง นายกับหวังจินหยางอาจขึ้นสนามประลองเดียวกัน จำคำพูดฉันไว้ สิ่งที่นายต้องคิดคือจะเอาชนะเขายังไง หรือแม้แต่ฆ่าเขา!”
“นายเลือกยั้งมือได้ ถ้ามันไม่กระทบกับตัวเอง”
“อย่างไรก็ตาม นายต้องห้ามคิดเรื่องออมมือตั้งแต่ยังไม่ทันขึ้นสนามประลอง ถ้านายทำแบบนั้น นายจะเป็นคนที่ตายแทน!”
“ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แม้ทั้งสองฝ่ายจะเป็นนักศึกษาเหมือนกัน มันก็เพื่อให้นายได้เรียนรู้กันและกัน”
หลู่เฟิ่งโหรวหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “เพียงเพราะมันเป็นการประลองกระชับมิตรแล้วมันจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีคนตายงั้นเหรอ?”
“ในโม๋อู่ มีนักศึกษาตายทุกปีเพราะการประลองกระชับมิตร มีหลายครั้งเป็นเพราะพลั้งมือ และหลายครั้งเป็นเพราะอุบัติเหตุ”
“บางครั้ง อุบัติเหตุเหล่านั้นอาจดูเหมือนจริง แต่ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ มีเพียงคนที่ออกกระบวนท่าเท่านั้นที่รู้”
“นี่แหละคือวิชายุทธ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอด ถ้ามีคนบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ มันก็คืออุบัติเหตุ!”
“เนื่องจากนายยอมรับคำท้าแล้ว นายก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม มันไม่สำคัญว่านายจะตั้งใจฆ่าอีกฝ่ายไหม อย่างไรก็ตามฉั้นมั่นใจว่าคงมีบางคนที่ไม่คิดว่านี่เป็นการประลองกระชับมิตรธรรมดาๆ”
“อีกอย่าง อย่าคิดให้ฉันช่วย ฉันเป็นอาจารย์ และการประลองกระชับมิตรของศิษย์เป็นไปตามความตั้งใจของตนเอง” “อาจารย์เป็นของมหาลัย ไม่ได้เป็นของใครส่วนตัว!”
“ถ้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ฉันจะฆ่านักศึกษาคนนั้นได้ไหม? พวกเขาก็เป็นศิษย์ของฉันเหมือนกัน แม้ว่าฉันจะเข้าข้างนาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะให้พวกเขาชดใช้ชีวิตให้นายได้”
“ต่อให้ฉันทำแบบนั้น แล้วไงต่อล่ะ? นายตายไปแล้ว นายจะสนใจอีกเหรอว่าอีกฝ่ายได้ชดใช้ชีวิตให้นายไหม?”
ฟางผิงพยักหน้าครุ่นคิดและกล่าวเสียงเบา “อาจารย์ ถ้าเกิดผมยั้งมือกลับไม่ทันล่ะ?”
หลู่เฟิ่งโหรวกล่าวอย่างเย็นชา “ถ้าพวกเขาตายก็คือตาย ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเป็นคนยื่นคำท้าเอง!”
ฟางผิงไม่ได้พูดอะไรอีก จ้าวเสวี่ยเหมยขบริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาเสียงแผ่ว “อาจารย์ พวกเขาเป็นนักศึกษา…”
“นักศึกษา?” หลู่เฟิ่งโหรวค่อนข้างไม่พอใจ เธอพูดตำหนิ “จำไว้ นักศึกษาโม๋อู่ไม่ใช่นักศึกษา! ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาโม๋อู่ เธอก็ก้าวอยู่บนเส้นทางชีวิตและความตายแล้ว!”
“นี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ฉันจะพูดเตือน!”
“ฟางผิง นายทำเหมือนการประลองครั้งนี้เป็นบททดสอบก็ได้! ถ้านายกลับมาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ งั้นทุกอย่างก็โอเค หลังจากนั้นฉันกับทางมหาลัยจะมอบภารกิจง่ายๆให้นาย นายจะเลือกยอมรับหรือปฏิเสธภารกิจพวกนั้นก็ได้”
“ส่วนจ้าวเสวี่ยเหมย เราต้องมาดูกันอีกครั้ง!”
หลู่เฟิ่งโหรวจบการสนทนาและเริ่มถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ลูกศิษย์ทั้งสอง
ตอนที่ฟางผิงได้ศึกษาเพลงเตะ เขาศึกษาผ่านคลิปวีดีโอ ดังนั้นเขาจึงได้แต่จดสิ่งที่ไม่เข้าใจเอาไว้แล้วไปถามหวังจินหยางตอนที่ได้คุยกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับการชี้แนะขณะศึกษาไปด้วย
แม้ว่าหลู่เฟิ่งโหรวจะดูเป็นคนไม่ค่อยมีเหตุผล แต่เธออดทนมากกว่าที่ฟางผิงคิด เธออธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายรอบ
ไม่ว่าฟางผิงและจ้าวเสวี่ยเหมยจะมีคำถามอะไร หลู่เฟิ่งโหรวก็จะตอบคำถามอย่างจริงจัง
ในฐานะผู้ฝึกยุทธขั้นหก แม้ว่าหลู่เฟิ่งโหรวจะไม่เชี่ยวชาญเพลงเตะ แต่เธอก็ยังมีความเข้าใจที่แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธขั้นกลางส่วนใหญ่
…..
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
หลู่เฟิ่งโหรวมองฟางผิงด้วยสายตาแปลกๆแล้วพูด “ความเข้าใจของนายไม่เลวเลย!”
เมื่อเทียบกับฟางผิง จ้าวเสวี่ยเหมยช้ากว่ามาก อย่างไรก็ตามที่จริงแล้วจ้าวเสวี่ยเหมยไม่ได้โง่ ถ้าเธอโง่ เธอคงไม่สามารถฝึกฝนจนมาถึงขั้นนี้ได้
แต่ความสามารถในการทำความเข้าใจของฟางผิงแข็งแกร่งกว่ามาก บางครั้งหลู่เฟิ่งโหรวอธิบายไปครั้งเดียว ฟางผิงก็เข้าใจสิ่งที่สอนได้ทันที อย่างไรก็ตามสำหรับจ้าวเสวี่ยเหมย หลู่เฟิ่งโหรวต้องอธิบายถึง 3-5 ครั้งกว่าเธอจะเข้าใจเคล็ดวิชา
ความเข้าใจและจิตใจเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด พลังจิตใจที่แข็งแกร่งทำให้ฟางผิงยอมรับและย่อยสิ่งที่เรียนรู้มาได้อย่างง่ายดาย
ค่าจิตใจที่มากกว่า 200เฮิรตซ์ของฟางผิงกระทั่งสัมผัสการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนรวมถึงการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
หลังสอนมานานกว่าหนึ่งชั่วโมง หลู่เฟิ่งโหรวรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เธอหันไปมองฟางผิง “แสดงกระบวนท่าให้ฉันดู ฉันจะแก้ไขจุดผิดพลาดให้”
“ครับ!” ฟางผิงก็อยากลองเช่นกัน ที่จริง’เท้าทะลวง’ค่อนข้างคล้ายกับเพลงเตะที่เขาเรียนมา กุญแจสำคัญคือการบีบอัดและรวมปราณและเลือดทั้งหมดในร่างกายไว้ที่เท้าก่อนจะระเบิดมันออกมา
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เรียนมา ฟางผิงร้องตะโกนปลุกใจ ขาซ้ายหยั่งเท้าลงกับพื้น ขาขวาเหยียดออกไป ตีโค้งกลางอากาศเตะเข้าไปที่เสาไม้อย่างจัง!
“โง่!”
หลู่เฟิ่งโหรวอดด่าออกมาไม่ได้ เธอเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหก ดังนั้นการเตะเสาไม้จึงไม่ใช่เรื่องยาก!
อย่างไรก็ตามฟางผิงเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง เขายังไม่ได้ขัดเกลากระดูกขาขวา แถมมันยังเป็นเสาไม้เนื้อแข็ง ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามันทำมาจากต้นวอลนัทซึ่งเป็นหนึ่งในไม้ที่แข็งที่สุด
เธอแค่ให้ฟางผิงลองแสดงกระบวนท่า ไม่ใช่ให้เตะเสาไม้ ปัง!
เสียงที่ดังออกมาต่างจากเสียงที่หลู่เฟิ่งโหรวเตะ เท้าของฟางผิงทิ่มแทงเข้าใส่ และเกิดเสียงดังก้อง!
แต่เสาไม้สั่นเล็กน้อย กลับกันสีหน้าของฟางผิงซีดขาว เขานั่งยองๆกุมเท้าซี้ดปากบรรเทาอาการเจ็บปวด
หลู่เฟิ่งโหรวไม่สนใจเขา เธอหันหน้าไปทางจ้าวเสวี่ยเหมยที่อึ้งๆยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว “ผู้ฝึกยุทธไม่เพียงแต่ต้องแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังต้องมีสติปัญญาด้วย”
“ไร้สติปัญญา ไม่ว่าจะมีความแข็งแกร่งแค่ไหนก็เป็นได้แค่คนบ้าบิ่นเท่านั้น!”
“แค่ดูจากฟางผิงก็น่าจะทราบแล้ว ถ้าเขาไม่ขัดเกลาสามครั้ง ไม่มีกระดูกที่แข็งแกร่ง เป็นไปได้สูงมากที่ลูกเตะเต็มแรงของเขาจะทำให้กระดูกนิ้วเท้าหัก!”
“นั่นเป็นราคาของความโง่เขลา!”
ฟางผิงที่ถูกตราหน้าว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีรู้สึกอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา เมื่อความเจ็บปวดที่เท้าบรรเทาลง เขาก็สูดหายใจและพูดขึ้น “อาจารย์ ผมแค่ไม่คิดว่าเสาไม้จะแข็งขนาดนี้…”
“ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ศัตรูไม่ให้เวลานายได้อธิบายหรอกนะ!”
“ถ้าตอนนี้นายกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู ช่วงที่นายกำลังเจ็บ ศัตรูฆ่านายได้เป็นสิบครั้งแล้ว!”
หลู่เฟิ่งโหรวพูดต่อ “นายขัดเกลากระดูกเท้าก่อนได้ เพราะมันเป็นกระดูกส่วนใหญ่ของกระดูกขา ซึ่งรวมถึงนิ้วเท้า ต้นขาและแข้ง”
“มีกระดูก 26 ชิ้นอยู่ในเท้าข้างเดียว 5 ชิ้นอยู่ที่ต้นขา 7 ชิ้นอยู่ที่ข้อเท้า และ 14 ชิ้นอยู่ที่นิ้วเท้า”
“นายถนัดขาขวา นายจะขัดเกลากระดูก 26 ชิ้นนี้ก่อนก็ได้”
“พอขัดเกลาเสร็จ มันจะเป็นดั่งเหล็กกล้า เส้นลมปราณจะแข็งแกร่งขึ้น ผิวหนังจะทนทานยิ่งขึ้น”
“พอถึงตอนนั้น ใช้เท้าแทงทะลวงเสาไม้ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว”
“นอกจากนี้ พอนายฝึกจวงกงถึงขั้นมั่นคง นายต้องหัดเอามาใช้กับกระบวนท่า แค่ฝึกจวงกงถึงขั้นยืนหนั่งแน่น วรยุทธของนายก็ถือว่าไม่อ่อนแอแล้ว”
“อย่ายื่นอยู่โง่ๆ ให้ใช้ท่าจวงกงด้วย เมื่อนายเคลื่อนไหวระหว่างต่อสู้ ให้ใช้มันเป็นท่าเท้า”
“ในฐานะที่เป็นวิชาบังคับในหลักสูตรวิชายุทธพื้นฐาน จวงกงใช้ได้หลากวิธี นายยังคิดวิธีใช้ประโยชน์ได้ไม่มากพอ”
“ฝึกฝนจวงกงจนไปถึงขั้นที่ได้ชื่อว่าเป็น’ตุ๊กตาล้มลุก’ไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่อไม่ให้พ่ายแพ้ ไม่ใช่ต้องออกมือเป็นฝ่ายโจมตีก่อน แต่นายต้องหลบหลีก ปัดป้อง ซ่อนตัว ป้องกัน…”
“ต่อให้นายโดนโจมตี ถ้าปัดป้องพลังไปกว่า 90% ความเสียหายก็จะจำกัด…”
หลู่เฟิ่งโหรวชี้แนะความผิดพลาดของกระบวนท่าฟางผิงต่อจนล่วงเลยช่วงเช้าไป
ทั้งฟางผิงทั้งจ้าวเสวี่ยเหมยต่างก็จมอยู่กับคำชี้แนะของเธอจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนกระทั่งหลู่เฟิ่งโหรวบอกให้พัก เธอบอกว่าให้มาฝึกต่อวันพรุ่งนี้
“ผลประโยชน์บางอย่างที่ได้เป็นศิษย์ฉันนั้นชัดเจน นายจะฝึกฝนได้อย่างหนักโดยไม่ต้องสนใจเรื่องอัตราเผาผลาญปราณและเลือด”
“ถ้ายาปราณและเลือดสามัญหมด ก็มาขอที่ฉันได้ แต่ต้องมีความก้าวหน้านะ”
“ถ้าไม่มีความก้าวหน้า แม้แต่ยาปราณและเลือดธรรมดาๆก็อย่าหวังจะได้”
“ฉันจะทำการประเมิณทุกวัน ถ้ามีความก้าวหน้า พวกนายจะไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารเสริมปราณและเลือด!”
หลังพูดจบ หลู่เฟิ่งโหรวก็เดินจากไป เธอไม่ได้ตั้งใจจะทานมื้อเที่ยงร่วมกับทั้งสอง
จ้าวเสวี่ยเหมยรอให้หลู่เฟิ่งโหรวเดินจากไป เธอรู้สึกเศร้านิดๆ “ฉันโง่เกินไป…”
ฟางผิงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว แม้ว่าเขาจะโง่ไปหน่อยที่ไปเตะเสาไม้เนื้อแข็ง แต่มันก็ยังมีความเสียหายอยู่บ้าง อย่างน้อยก็มีหลุมเล็กๆอยู่บนปลายเสาไม้
ส่วนเธอ เธอแค่เรียนรู้การรวมพลังเท่านั้น วิชาการบีบอัดพลังยังอยู่ห่างไกลจากการนำไปใช้ต่อสู้จริง
“เธอไม่ได้โง่ ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเปรียบคนอื่นหรอก บางคนก็แค่ฉลาดตามธรรมชาติ…” ฟางผิงปลอบใจเธอ
จ้าวเสวี่ยเหมยมองเขาและพูด “รอก่อนเถอะ ฉันจะเชี่ยวชาญเร็วๆนี้แน่นอน!”
“เฮ้…”
เมื่อเห็นเธอวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว ฟางผิงก็ส่ายหน้าและถอนหายใจ “ฉันอุส่าปลอบอย่างจริงใจ เป็นผู้หญิงที่ไม่เห็นค่าความหวังดีของคนอื่นเลยจริงๆ!”
จากนั้นฟางผิงก็แตะเสาไม้และบ่นพึมพำ “ความเสียหายรุนแรงกว่าเพลงเตะพื้นฐาน ถ้าฉันรวมพลังมากขึ้นอีกหน่อย ฉันคงมีโอกาสแทงศัตรูตายสูงขึ้นมาก”
“ขมับ คอ หัวใจและหว่างขาเป็นส่วนที่ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งขัดเกลาได้ยาก”
“ถ้าฉันเปลี่ยนไปใส่รองเท้าปลายแหลม ลงมือกระบวนท่าเดียวก็ตายแล้ว ต่อให้ไม่ตายก็พิการ…”
คำถามคือ ฉันต้องใจแข็งขนาดนั้นเลยเหรอ?
ฟางผิงคิดอยู่ชั่วครู่และตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขาเตรียมตัวให้พร้อมก่อนดีกว่า
คนพวกนั้นคิดยังไงกับเขา ไม่มีใครรู้ได้ บางทีอีกฝ่ายอาจอยากฆ่าเขาก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
…..
เวลาเดียวกัน ณ ชมรมวิถียุทธโม๋อู่
ฉินเฟิ่งชิงเอนกายพิงเก้าอี้ หาวออกมาเฮือกใหญ่ “น่าเบื่อ ไอ้พวกขี้แพ้เอ้ย ไม่คิดจะไปแก้แค้นหวังจินหยาง แต่มาลงที่นักศึกษาใหม่แทน น่าเบื่อจริง!”
จางอวี่ขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรตอบเขา “อีกเดี๋ยวฉันจะปิดด่านฝึกฝน เรื่องของชมรมวิถียุทธจะมอบให้โจวเหยียนรับผิดชอบ”
“ชมรมวิถียุทธมีหน้าที่ดูแลการศึกษาของนักศึกษา โจวเหยียนครั้งนี้คุณต้องพยายามหนักหน่อย อย่าปล่อยให้ฟางผิงตายบนสนามประลอง”
“ถ้าเขาตาย เราจะมีปัญหา”
“ส่วนฉินเฟิ่งชิง อย่าสร้างปัญหา…”
หลังเขาพูดจบ จางอวี่ก็เงียบ กลับกันฉินเฟิ่งชิงพูดอย่างเฉื่อยชา “ถ้าฟางผิงฆ่าอีกฝ่าย มันจะเป็นปัญหาเหมือนกัน น่าเบื่อมาก!”
“เขา?” จางอวี่เงียบไปชั่วครู่ เขาส่ายหน้าและไม่ได้พูดอะไร ฟางผิงพึ่งทะลวงสู่ขั้นหนึ่ง คู่ต่อสู้ของฟางผิงบางคนก็เป็นนักศึกษาที่เคยแพ้ให้กับหวังจินหยางมาก่อน
คนพวกนี้ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทะลวงขั้นสอง แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เพิ่มขึ้น
หวังจินหยางยังฆ่าพวกเขาไม่ได้ นับประสาอะไรกับฟางผิง