World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 111 ฝึกฝนอย่างเงียบๆ
ช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือนกันยายน ฟางผิงเงียบมาก
เนื่องจากคนอื่นมีผลงานที่โดดเด่น ช่วงเวลาที่มีหน้ามีตาตอนเขาเข้ามหาใหญ่ตอนแรกจึงค่อยๆถูกลืมไปอย่างช้าๆ
ไม่มีใครเรียกชื่อเขา’ราชาเด็กใหม่’อีกแล้ว
เมื่อมาถึงสิ้นเดือนกันยายน นักศึกษาที่เก่งจริงเป็นนักศึกษาหยิบมือเดียวที่เป็นผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้ง
จ้าวเหล่ยขัดเกลากระดูกเสร็จไปแล้ว 40 ชิ้น เขาไม่ได้ช้าลงเลย ในหนึ่งเดือน เขาขัดเกลากระดูกไปได้ 9 ชิ้น แม้แต่ถังเฟิงก็ชมเชยเขาไม่หยุด
ฟู่ชางติ่งก็ไม่ได้แย่ เขาขัดเกลากระดูกเสร็จไปแล้ว 38 ชิ้น
ในหมู่ผู้หญิง หยางเสี่ยวม่านขัดเกลาเสร็จไป 38 ชิ้นแล้วเหมือนกัน เฉินหยุนซีช้ากว่าหน่อยนึง เธอขัดเกลาไป 37 ชิ้น
พวกเขาคือคนดังของเดือนที่ผ่านมานี้
ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังได้เข้าร่วมชมรมวิถียุทธ แต่ช่วงที่ชมรมกำลังรับคน ฟางผิงไม่ได้สมัครไป
ไม่ว่าจะเป็นหอพัก ห้องเรียน โรงฝึก
ยกเว้นช่วงคาบเรียนวัฒนธรรมศึกษา หายากมากเลยที่ทุกคนจะเจอหน้าฟางผิง แม้ว่าชั้นเรียนจะจัดกิจกรรมหลายอย่าง ฟางผิงก็ไม่โผล่หน้ามาเลย
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน แม้แต่นักศึกษาขัดเกลาสองครั้งที่ทะลวงขั้นช้ากว่าเขาก็มีชื่อเสียงมากกว่าเขาแล้ว
แน่นอนฟางผิงไม่สนใจ ผู้ฝึกยุทธ โดยเฉพาะเด็กใหม่ ไม่ควรใส่ใจชื่อเสียงมากนัก ด้วยการสนับสนุนอาจารย์และคะแนนที่มีอยู่ เขาไม่จำเป็นต้องสร้างผลงานอะไร
….. คนที่ได้คุยกับฟางผิงมากขึ้นหน่อยเป็นจ้าวเสวี่ยเหมย
สิ้นเดือนกันยายน
โรงฝึก
ขณะที่เธอฝึกเท้าทะลวง จ้าวเสวี่ยเหมยก็ชำเลืองมองฟางผิงด้วยความสงสัย
เมื่อต้นเทอม เธอมองว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนที่ชอบเป็นจุดสนใจ เธอคิดว่าเขาโชว์ออฟ เป็นคนที่ชอบอวดตัวนิดหน่อย
อย่างไรก็ตามเวลานี้ เธอตระหนักแล้วว่าฟางผิงไม่ได้เป็นคนอย่างที่เธอคิดไว้ ไม่เพียงแต่จะสำรวมตัวเท่านั้น แต่เขายังก้าวหน้าอย่างมั่นคงอีกด้วย
พวกเขาต่างก็เป็นวัยรุ่นเหมือนกัน แม้แต่คนอย่างจ้าวเหล่ยก็อวดตัวอย่างอดไม่ได้ เขามีความปรารถนาที่จะอวดตัวอย่างยิ่ง
จำนวนกระดูกที่พวกเขาขัดเกลา เป็นพวกเขาเปิดเผยออกมาเอง ไม่งั้นคนนอกจะรู้ได้อย่างไร? ฟางผิงไม่เคยเปิดเผยเรื่องแบบนี้ หลู่เฟิ่งโหรวก็คร้านจะถามเช่นกัน อันที่จริงอาจารย์อาจบอกได้โดยแค่มอง แต่เลือกที่จะเงียบ
หลังได้คุยกับฟางผิงมาเกือบเดือน จ้าวเสวี่ยเหมยเฝ้าดูเขาฝึกฝนซ้ำซากจำเจอยู่คนเดียวเป็นปกติ เธออดถามไม่ได้ “นี่ นายขัดเกลากระดูกไปกี่ชิ้นแล้ว?”
“ฉันมีชื่อนะ” ฟางผิงยิ้มแห้ง เขาถามเธอแทน “แล้วเธอล่ะ?”
“35 ชิ้น”
จ้าวเสวี่ยเหมยไม่มีความตั้งใจเก็บมันเป็นความลับ เธอพูดอย่างขมขื่น “ตอนนั้นทุกคนขัดเกลากระดูกเท่ากัน แต่ผ่านมาเป็นเดือนฉันขัดเกลากระดูกได้ 4 ชิ้นเท่านั้น ช้ากว่าคนอื่นเกือบครึ่ง”
“ตอนแรก ฉันคิดว่าฉันก้าวหน้าเร็ว เพราะยังไงฉันก็ขัดเกลากระดูก 31 ชิ้นแล้ว”
“ใครจะรู้ล่ะ ยิ่งเวลาผ่านไป ฉันจะยิ่งช้าลง” “แล้วทำไมตอนนั้นเธอไม่ขัดเกลาสองครั้งล่ะ?”
จ้าวเสวี่ยเหมยตอบอย่างหน้าบูดหน้าบึ้ง “นายคิดว่ามันทำได้กันทุกคนเหรอ? ฉันสั่งสมปราณและเลือดได้ถึง 169แคล แต่ฉันพยายามแค่ไหน มันก็ไม่เพิ่มขึ้น ต่อให้ฉันกินยาก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่เกิดขึ้นแทนคือปราณและเลือดฉันระเบิดจนฉันเกือบตาย”
“ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทะลวงขั้น”
“ในฐานะผู้ฝึกยุทธที่มีปราณและเลือด 169แคล ความเร็วขัดเกลากระดูกของฉันจึงรวดเร็ว อย่างไรก็ตามฉันไม่ได้สนใจเท่าไหร่”
“หลังเข้าโม๋อู่ ฉันตระหนักว่าความเร็วฉันช้ากว่าคนอื่น”
“เฮ้อ ฉันอิจฉานายจริงๆ”
“นายขัดเกลาสามครั้งและทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธสำเร็จในเวลาไม่ถึงเดือนที่เข้ามาในมหาลัย ความเร็วขัดเกลากระดูกของนายต้องเร็วมากแน่ จ้าวเหล่ยขัดเกลากระดูกได้ 9 ชิ้นในหนึ่งเดือน ฉันมั่นใจว่านายต้องขัดเกลาได้อย่างน้อย 10 ชิ้น!”
“ประมาณนั้นแหละ” ฟางผิงตอบด้วยท่าทีขบขัน
จ้าวเสวี่ยเหมยไม่พอใจ ประมาณนั้นมันเท่าไหร่กันแน่?
ในช่วงขัดเกลากระดูก กระดูกแค่ชิ้นเดียวก็สร้างความแตกต่างได้!
ฟางผิงไม่สนใจจะอธิบาย และจ้าวเสวี่ยเหมยก็ไม่ได้ถามรายละเอียดเจาะจงเช่นกัน เธอแค่กล่าวว่า “ทุกคนต่างก็อยากรู้เรื่องนาย นายไม่ค่อยได้ปรากฏตัวเท่าไหร่ พวกเสี่ยวม่านก็มาถามเรื่องของนายกับฉัน”
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย อย่างไรก็ตามต่อมาเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา “ทำไมพวกเธอถึงอยากรู้เรื่องของฉันล่ะ? เพราะฉันหล่อเหรอ?”
“ชิ เลิกหลงตัวเองได้แล้ว พวกเธอไม่ได้สนใจนายแน่นอน ไม่เหมือนกับฉัน พวกเธอทั้งสวยและมีความสามารถ พึ่งเปิดเทอมมาไม่นาน รุ่นพี่หลายคนก็พยายามจีบพวกเธอแล้ว”
“หลายคนเป็นรุ่นพี่ขั้นสาม!”
น้ำเสียงของจ้าวเสวี่ยเหมยฟังดูอิจฉา มันไม่สำคัญว่าจะตอบตกลงหรือไม่ ในฐานะผู้หญิง การมีคนมาจีบก็เหมือนสะท้อนให้เห็นถึงความหน้าตาดีของคนๆนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเป็นรุ่นพี่ขั้นสาม!
ขั้นสาม แม้แต่ในโม๋อู่ก็ไม่ได้มีมากมายนัก
พวกจ้าวเหล่ยมีหวังบรรลุขั้นสองในปีหนึ่ง อย่างไรก็ตามมันพูดยากว่าพวกเขาจะบรรลุขั้นสองในปีสองได้ไหม ส่วนปีสามยังมีโอกาสอยู่
ก่อนจบการศึกษาปีสุดท้าย มันพูดยากว่าจะบรรลุขั้นสี่ได้ไหม แต่มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะจบด้วยขั้นสาม นักศึกษา 6000 คนในโม๋อู่ แม้ว่าจะมีผู้ฝึกยุทธขั้นสามไม่มาก แต่ก็มีไม่น้อยเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นมีประมาณ 100-200 คนที่เสียชีวิตจากการพยายามทะลวงสู่ขั้นสาม
ส่วนขั้นสี่ มีน้อยกว่า 10 คนเสียอีก
ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ได้ยินว่ามีเพียง 2 คนเท่านั้นที่บรรลุขั้นห้า
คนที่บรรลุขั้นสี่และขั้นห้าแทบไม่อยู่มหาลัย แม้ว่าพวกเขาจะเป็นนักศึกษา แต่พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่นอกมหาลัย แม้แต่พวกเขาส่วนใหญ่ที่ยังอยู่ในพื้นที่ก็ยังใช้เวลาอยู่ที่อื่น
มันหาได้ยากมากที่จะพบนักศึกษาขั้นสี่เดินเตร็ดเตร่อยู่ในมหาลัย ประธานชมรมวิถียุทธ จางอวี่ เป็นนักศึกษาขั้นสี่ เขาถือเป็นบุคคลชั้นนำของโม๋อู่แล้ว
ไม่งั้นจางอวี่คงไม่สนใจหวังจินหยางแล้วเลือกล่าถอยแทน
ฟางผิงได้ยินความอิจฉาอยู่ในน้ำเสียงเขาหัวเราะ “ถูกขั้นสามจีบไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย”
“พอเธอไปถึงขั้นสามหรือขั้นสี่ ตอนนั้นเธอก็จะคิดว่ามันไม่มีอะไรพิเศษเหมือนกัน”
“นอกจากนี้…”
ฟางผิงหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ขั้นสามที่ยังเอ้อระเหยจีบสาวอยู่ที่มหาลัยมันไม่เท่าไหร่…”
“หือ?”
จ้าวเสวี่ยเหมยดูงุนงง ฟางผิงอธิบายอย่างใจเย็น “ในโม๋อู่มีภารกิจให้ทำมากมายไม่มีสิ้นสุด เราจะมีเวลาไปจีบสาวได้ไง?” ไอลีนโนเวล
“ฉันรู้จักคนๆนึง ฉินเฟิ่งชิง เขาเป็นรองประธานชมรมวิถียุทธ”
“แค่สหายคนนี้หาเวลากลับมามหาลัยได้เดือนละครั้ง มันก็ดีถมแล้ว เวลาส่วนใหญ่เขาจะยุ่งอยู่กับการทำภารกิจอยู่นอกมหาลัย ฉันเคยพบเขาแค่ครั้งเดียว ตอนที่ฉันพึ่งมาลงทะเบียน” “และฉันก็ได้พบกับเขาอีกครั้งตอนเมื่อวาน เขาพึ่งกลับมา ร่างกายเขายังมีกลิ่นเลือดติดอยู่เลย”
“พอฉันออกมาเช้านี้ ฉันก็เห็นเขาสะพายกระเป๋าออกไปข้างนอกแล้ว เขานี่แหละเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสามที่ฉันจินตนาการไว้!”
ฉินเฟิ่งชิงที่ต้นปีเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสามไปแล้ว ตอนแรกฟางผิงคิดว่าอีกฝ่ายโชคดี แต่ตอนนี้เขาไม่คิดอย่างนั้นแล้ว
เจ้าหมอนี่เป็นคนบ้า แม้ว่าเขาจะยังขัดเกลากระดูกลำตัวไม่เสร็จ แต่ฟางผิงก็คิดว่าเขาอยู่ไม่ไกลแล้ว
หลังบรรลุขั้นสาม มีไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่มหาลัย ต่อให้พวกเขากลับมา มันก็เป็นแค่พักผ่อนช่วงสั้นๆแทนที่จะอยู่เป็นเวลานาน
ศิษย์ของหลู่เฟิ่งโหรวส่วนใหญ่เป็นขั้นสาม ฟางผิงยังไม่เคยพบพวกเขาเลยจนถึงตอนนี้ มีคนนึงที่อยู่ในมหาลัย แต่ฟางผิงไม่เคยพยายามติดต่อไป เขาไม่มั่นใจว่าคนอื่นยังอยู่ในมหาลัยไหม
คนแบบนี้ยืนยันความคิดนึงของฟางผิง นั่นก็คือการเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสามนั้นอันตราย
สำหรับนักศึกษาขั้นสามที่ตัดสินใจอยู่มหาลัย ส่วนใหญ่จะเป็นขั้นสามชั้นต้น ไม่มีความปรารถนาที่จะพัฒนาตนเองมากนัก พวกเขาไม่เคยคิดว่าตนเองจะเป็นขั้นสี่ก่อนจบการศึกษา
จ้าวเสวี่ยเหมยคิดอยู่ครู่นึงและรู้สึกว่าที่ฟางผิงพูดมามีเหตุผล อย่างไรก็ตามสำหรับเธอ มันเป็นเหมือนการปลอบใจตัวเองมากกว่า
จ้าวเสวี่ยเหมยเปลี่ยนหัวข้อ “ดูเหมือนช่วงนี้ข่าวลือเรื่องที่นายจะประลองกับรุ่นพี่จะเงียบลงแล้ว ยกเลิกไปแล้วเหรอ?”
“ไม่ กำหนดการคือวันพรุ่งนี้”
ฟางผิงยิ้มแล้วกล่าว “ฉันตั้งใจจะกลับบ้าน ขี้เกียจถ่วงเวลาพวกเขาด้วย” เดือนตุลาคม มีวันหยุดวันชาติ
นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่เขาลงทะเบียนโม๋อู่ มันก็ผ่านมาสองเดือนแล้ว ฟางผิงวางแผนจะกลับบ้านสักหน่อย
“พรุ่งนี้?” จ้าวเสวี่ยเหมยค่อนข้างแปลกใจ “ทำไมนายไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
“จะให้พูดอะไรล่ะ?”
“ไปเชียร์นายไง! ไม่ว่ายังไงนายก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นฉัน เรามีอาจารย์คนเดียวกันด้วย ในสายตาคนอื่น เราถือว่าสนิทกันมาก”
“นายดูไม่กระตือรือร้นเลย”
จ้าวเสวี่ยเหมยถอนหายใจ “แต่มันก็สมเหตุสมผล ถ้าเป็นเสี่ยวม่านหรือหยุนซี ฉันพนันเลยว่านายคงกระตือรือร้นกว่านี้”
ฟางผิงอดหัวเราะไม่ได้ “เธอคิดมากไป มันไม่ได้เกี่ยวกับหน้าตา นอกจากนี้เธอก็ไม่ได้ถือว่าน่าเกลียด…”
“แต่ก็ยังน่าเกลียดอยู่!” จ้าวเสวี่ยเหมยพูดเสียงต่ำ “ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น” ฟางผิงหัวเราะ “พูดตามตรง เธอไม่ได้น่าเกลียด แค่ไม่ได้ดูแลตัวเอง…เธอเข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร?”
“ผู้ฝึกยุทธหญิงก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดี เธอควรดูแลตัวเองสักหน่อย”
“เธอแต่งตัวเหมือนผู้ชายอยู่เกือบตลอด แม้ว่าหยางเสี่ยวม่านจะดูเป็นสาวหล่อ แต่เธอก็ยังแต่งตัวแต่งหน้า”
“งั้นเหรอ?”
จ้าวเสวี่ยเหมยก้มๆเงยๆดูเสื้อผ้าตัวเอง มันเป็นชุดฝึกซ้อม ไม่มีอะไรพิเศษ
ส่วนการแต่งหน้า เธอฝึกฝนทุกวันก็หมดแรงแล้ว เธอไม่มีแรงเหลือไปแต่งตัวแต่งหน้าหรอก แถมเหงื่อก็คงล้างเครื่องสำอางไปหมด
แต่ไม่ว่ายังไง คำพูดของฟางผิงก็ทำให้เธอสบายใจขึ้นมา
มีบางอย่างแวบเข้ามาในความคิดเธอ เธอจึงถามอีกครั้ง “ฉันจะไปเชียร์นาย พรุ่งนี้ประลองกันที่ไหน ฉันจะพาพวกเสี่ยวม่านไปด้วย…”
“เธอไม่มาจะดีที่สุด!”
“ทำไม?”
ฟางผิงถอนหายใจเบาๆ จากนั้นเขาก็กล่าว “ฉันไม่มั่นใจสถานการณ์วันพรุ่งนี้”
ตอนแรกรุ่นพี่ประกาศเรื่องการประลองไปทั่ว อย่างไรก็ตามช่วงหลังมาทุกอย่างดูเงียบลง ราวกับว่าการประลองถูกยกเลิกไปแล้ว
ยิ่งเงียบเท่าไหร่ ฟางผิงก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องหนักขึ้นเท่านั้น
ถ้าข่าวแพร่กระจายราวไฟป่าจนถึงขั้นที่ทุกคนในมหาลัยทราบเรื่อง มันก็มีโอกาสสูงมากที่รุ่นพี่แค่จะระบายความโกรธ อย่างมากพวกเขาก็แค่ทำให้ฟางผิงอับอาย และโจมตีว่าร้ายหวังจินหยางไปพร้อมกัน
อย่างไรก็ตามเวลานี้ทุกอย่างดูเงียบไปหมด มีคนไม่มากที่รู้เรื่องประลอง และนั่นแหละคือปัญหา
สร้างความอับอายให้ฟางผิงต่อหน้าสาธารณะไม่ได้ งั้นเอาชนะเขาก็ไม่คุ้มแล้ว ยิ่งกว่านั้นช่วงนี้ฟางผิงยังอยู่เงียบๆ ไม่มีใครเรียกเขาว่า’ราชาเด็กใหม่’แล้ว
ถ้ารุ่นพี่อยากแสดงความแข็งแกร่งและขู่ให้เด็กใหม่กลัว เลือกพวกจ้าวเหล่ยยังมีเหมาะสมมากกว่า
ถ้าเป็นอย่างนั้น ดำเนินการประลองต่อมีจุดประสงค์อะไร?
แค่เอาชนะฟางผิงอย่างเดียว?
ฟางผิงไม่คิดแบบนั้น บางทีอีกฝ่ายคงตั้งใจสังหารเขา หรือไม่ก็ทำให้เขาพิการ
รุนแรงเกินไป แม้ว่ากฏจะอนุญาตให้ทำแบบนั้น แต่ถ้ามีคนจำนวนมากทราบเรื่องนี้ มันก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ เพราะงั้นพวกเขาถึงเก็บเรื่องนี้ไว้
เมื่อมีคนทราบเรื่องน้อยลง บวกกับข้ออ้างว่ารั้งกระบวนท่ากลับมาไม่ทัน เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นอุบัติเหตุ ไม่นานคนก็จะลืม
ไม่ว่ายังไง มันก็เป็นเรื่องที่ไม่มีคนเห็นเหตุการณ์ มันก็เหมือนกับฟางผิง เขาไม่เคยเห็นหวังจินหยางตัดแขนคนอื่น หรือทุบตีคนอื่นจนบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่ามันโหดร้าย แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามถ้าเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตา เขามั่นใจว่าความรู้สึกของเขาจะต่างออกไปแน่นอน
อย่างน้อยนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาคิด นอกจากนี้หลู่เฟิ่งโหรวยังเคยพูดถึงมาก่อน ดังนั้นฟางผิงจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ใจเขาไม่ได้สงบเลย
ยิ่งกว่านั้นจ้าวเสวี่ยเหมยยังคิดว่ามันเป็นเหมือนเล่นพ่อแม่ลูกกัน มีการจะไปเชียร์เขาด้วย!
เธอคิดว่ามันเป็นเหมือนการกำหนดสาขาเรียนตอนต้นเทอมเหรอ?
ในช่วงการกำหนดสาขาเรียน มันไม่ต่างอะไรกับการเล่นพ่อแม่ลูก ทุกคนเล่นสนุกกัน แม้แต่ตอนที่ฟู่ชางติ่งโดนลุมกระทืบ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
ถ้านักศึกษาอยากสังหารจริงๆ ฟู่ชางติ่งก็คงตายไปนานแล้ว
ฟางผิงยังจมอยู่ในภวังค์ แต่จู่ๆหลู่เฟิ่งโหรวก็เดินเข้ามา
เธอมองฟางผิงแวบนึง พยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว “ไม่เลว เตะทะลวงถือว่าสำเร็จเล็กน้อยแล้ว ประลองวันพรุ่งนี้ใช่ไหม?”
“ครับ”
“พรุ่งนี้ฉันจะไปด้วย อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ”
หลังเธอพูดจบ เธอก็มองจ้าวเสวี่ยเหมยแล้วพูดเสริม “พรุ่งนี้มากับฉัน ไม่จำเป็นต้องเชิญคนอื่น ตอนเช้า มาคนเดียวก็พอ”
“ขอบคุณค่ะอาจารย์!”
จ้าวเสวี่ยเหมยพูดขอบคุณทันที เธอเชิดหน้ามองฟางผิงและเกือบจะโพล่งออกมาว่า‘นายไม่อยากให้ฉันไปใช่ไหม? อาจารย์จะพาฉันไปด้วยแหละ!’
ฟางผิงขี้เกียจเกินกว่าจะมาทะเลาะกับเธอด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้มองจ้าวเสวี่ยเหมย แต่เธอออกคำสั่งสองสามคำ “เสวี่ยเหมย กลับไปก่อน ฉันมีเรื่องต้องคุยกับฟางผิง”
จ้าวเสวี่ยเหมยไม่รอช้า เธอเก็บข้าวของและเดินไปทันที
หลังเธอเดินลับไปแล้ว หลู่เฟิ่งโหรวก็กล่าว “ฉันบอกทุกอย่างที่ควรบอกไปแล้ว”
“พรุ่งนี้ระวังตัวด้วย อย่าสนใจเรื่องอื่น พอนายอยู่บนเวที มันจะเป็นเรื่องชีวิตและความตาย ไม่มีใครเข้าไปยุ่งได้”
“ถ้านายรู้สึกว่าสู้ไม่ได้ นายก็ยอมแพ้ซะ พอนายยอมแพ้ ฉันจะแทรกแซงได้”
“ส่วนเรื่องกลุ่มนักศึกษาที่มาท้านายประลอง ฉันช่วยหาตัวหัวหน้าให้แล้ว เขาคือหลิวหย่งเหวิน ผู้ฝึกยุทธขั้นสามปีสาม” “เขามีน้องชายที่ลงทะเบียนโม๋อู่เมื่อปีที่แล้ว เขาถือเป็นอัจฉริยะเช่นกัน”
“ตอนเทอมสุดท้ายปีหนึ่ง เขาบรรลุขั้นหนึ่งสูงสุดแล้ว”
“หลังการประลอง ผลคือกระดูกอกแตกเป็นเสี่ยงๆ ตอนนี้เขาพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล ต่อให้เขาออกจากโรงพยาบาล เขาก็ต้องพักฟื้นอีกปีสองปี”
“นี่เป็นเวลาทององการฝึกฝน!”
“หลังล่าช้าไปสองสามปี เป็นไปได้ว่าเขาจะถูกคนแซงไปไกลแล้ว”
“สถานการณ์เป็นแบบนี้แหละ นายคิดเอาเอง ก่อนฉันจะลืม…”
เมื่อเธอพูดจบ หลู่เฟิ่งโหรวก็โยนขวดยาให้ฟางผิง เธอกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “ยาปราณและเลือดขั้นสอง ส่วนร่างกายจะระเบิดไหมขึ้นอยู่กับโชคนาย ฉันคิดว่านายทำได้!”
ฟางผิงขอบคุณเธอทันที “อาจารย์ ขอบคุณครับ!” ยาปราณและเลือดขั้นสองไม่ใช่ถูกๆ แม้แต่ในโม๋อู่ มันก็ต้องใช้ 20 คะแนนเพื่อแลกหนึ่งเม็ด!
แถมนอกมหาลัยยังแพงยิ่งกว่านี้อีก เมื่อฟางผิงได้ยาปราณและเลือดขั้นสองมา ค่าทรัพย์สินเขาก็เพิ่มขึ้นมาครึ่งล้าน
ด้วยส่วนลดประมาณ 30% ของระบบ งั้นถ้าเอาไปขายนอกมหาลัย มันก็จะได้ประมาณ 7 แสน
แม้แต่ผู้ฝึกยุทธขั้นสองขั้นสามก็ไม่มีโอกาสกินยาขั้นสองบ่อยนัก ส่วนใหญ่จะกินตอนทะลวงขั้นเท่านั้น
ส่วนคำพูดของหลู่เฟิ่งโหรวก่อนหน้านี้ ฟางผิงก็นำเก็บไปคิด เขาเข้าใจว่าเธอกำลังจะบอกอะไรเขา
กระดูกอกแตกเป็นชิ้นๆตอนประลอง มันต้องเป็นฝีมือของเหล่าหวังแน่นอน
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้พูดอะไรอีก เธอหันหลังและเดินจากไป อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะเดินไป เธอก็คิดอยู่ครู่นึงและเอ่ยถามขึ้นมา “นายขัดเกลากระดูกเท้าเสร็จแล้วเหรอ?”
“ครับ”
“นายเป็นอัจฉริยะ?”
หลู่เฟิ่งโหรวยิ้มและส่ายหน้า แต่เธอไม่ได้พูดอะไรอีก สุดท้ายเธอก็เดินจากไป
ภายในเวลาไม่ถึงเดือน ขัดเกลากระดูกไปแล้ว 26 ชิ้น!
ถ้าเขาไม่ถือเป็นอัจฉริยะ แล้วโลกนี้จะมีอัจฉริยะอีกไหม?
ถ้าหากเป็นไปตามความเร็วระดับนี้ ฟางผิงจะบรรลุขั้นสองได้ตอนปลายเทอม
บรรลุขั้นสามก็เป็นแค่เรื่องของเวลา
อาจภายในหนึ่งปี?
หลังเขาบรรลุขั้นสาม เขาก็จะได้สัมผัสโลกที่กว้างขึ้น เธอห่วงว่าฟางผิงจะไม่อยู่เฉย
เธอมีศิษย์อยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตามหลายคนจบชีวิตไปแล้ว บางครั้งแม้แต่หลู่เฟิ่งโหรวก็หวังว่าลูกศิษย์ของเธอจะพัฒนาช้าลงหน่อย
เมื่อเธอสอนลูกศิษย์ เธอจะไม่กดดันศิษย์มากเท่าไหร่
ยกตัวอย่างกรณีจ้าวเสวี่ยเหมย เธอขัดเกลากระดูกไม่เร็วพอ อย่างไรก็ตามหลู่เฟิ่งโหรวก็ไม่ได้แสดงท่าทีโกรธอะไร ไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์เธอ
ค่อยๆก้าวหน้าไปทีละขั้นตอนดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า ฟางผิงก้าวหน้าเร็วมาก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเรื่องดี
…..
ฟางผิงไม่มั่นใจกับทัศนคติของหลู่เฟิ่งโหรว เขาตั้งสมาธิอ่านค่าสถานะของตนเอง
ทรัพย์สิน : 5,410,000
ปราณและเลือด : 261แคล (269แคล)
จิตใจ : 231เฮิรตซ์ (239เฮิรตซ์) ตลอดหลายวันมานี้ ด้วยความก้าวหน้าขัดเกลากระดูก ปราณและเลือดของเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลังเขาทะลวงขั้น มันผ่านมาไม่ถึงหนึ่งเดือน ปราณและเลือดเขาตอนทะลวงขั้นมีอยู่ 239แคล เวลานี้เพิ่มขึ้นมาถึง 30แคลแล้ว!
แน่นอนอัตราการผลาญค่าทรัพย์สินก็สูงมาก ค่าทรัพย์สินของเขารวมยาปราณและเลือดขั้นสองมูลค่าครึ่งล้านหยวนแล้ว แต่ก็เหลือแค่นี้ สรุปแล้วปราณและเลือดเพิ่มขึ้นมา 30แคลได้ผลาญค่าทรัพย์สินเขาไป 2.6 ล้านหยวน!
แทนที่จะใช้ค่าทรัพย์สินส่วนใหญ่เพื่อเพิ่มปราณและเลือด เขาใช้ไปกับการขัดเกลากระดูก การขัดเกลากระดูกต้องใช้ปราณและเลือดมหาศาล ความสามารถของฟางผิงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดอาศัยการเติมเต็มปราณและเลือดอย่างต่อเนื่องทั้งนั้น
“ทรัพย์สินที่เหลือทำให้ฉันขัดเกลาขั้นหนึ่งสำเร็จเท่านั้น” ตลอดหลายวันมานี้ ด้วยความก้าวหน้าขัดเกลากระดูก ปราณและเลือดของเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลังเขาทะลวงขั้น มันผ่านมาไม่ถึงหนึ่งเดือน ปราณและเลือดเขาตอนทะลวงขั้นมีอยู่ 239แคล เวลานี้เพิ่มขึ้นมาถึง 30แคลแล้ว!
แน่นอนอัตราการผลาญค่าทรัพย์สินก็สูงมาก ค่าทรัพย์สินของเขารวมยาปราณและเลือดขั้นสองมูลค่าครึ่งล้านหยวนแล้ว แต่ก็เหลือแค่นี้ สรุปแล้วปราณและเลือดเพิ่มขึ้นมา 30แคลได้ผลาญค่าทรัพย์สินเขาไป 2.6 ล้านหยวน!
แทนที่จะใช้ค่าทรัพย์สินส่วนใหญ่เพื่อเพิ่มปราณและเลือด เขาใช้ไปกับการขัดเกลากระดูก การขัดเกลากระดูกต้องใช้ปราณและเลือดมหาศาล ความสามารถของฟางผิงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดอาศัยการเติมเต็มปราณและเลือดอย่างต่อเนื่องทั้งนั้น
“ทรัพย์สินที่เหลือทำให้ฉันขัดเกลาขั้นหนึ่งสำเร็จเท่านั้น” กระดูกขามี 62 ชิ้น เขาขัดเกลากระดูกเท้าเสร็จไปแล้ว 26 ชิ้น เขาเหลือกระดูกที่ต้องขัดเกลา 36 ชิ้นเท่านั้น มันรวมถึงกระดูกท่อนใหญ่อย่างกระดูกต้นขาด้วย
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เมื่้อเขาขัดเกลากระดูกเสร็จ ทรัพย์สินที่มีประมาณ 5 ล้านกว่าก็จะแทบจะหมดลง
ต่อให้มีค่าทรัพย์สินเหลืออยู่บ้าง แต่มันก็คงเหลือไม่มากนัก
“ค่าทรัพย์สินประมาณ 1 แสนหยวนเพื่อขัดเกลากระดูกหนึ่งชิ้นให้เสร็จ ฉันเกรงว่าขั้นสองจำเป็นต้องใช้มากกว่านี้อีก พวกจ้าวเหล่ยก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทรัพยากรส่วนใหญ่ก็อาจหมดลงไม่ช้าก็เร็ว และพวกเขาก็จะต้องช้าลงเช่นกัน”
ทุกคนมีคะแนนในช่วงแรก ดังนั้นมันจึงก้าวหน้าได้ไม่ยาก เมื่อใช้คะแนนจนหมด หากไม่มีการสนับสนุนจากครอบครัว ทุกคนก็ต้องทำภารกิจ ถ้าไม่ทำแบบนั้น พวกเขาก็จะถูกบังคับให้ช้าลง ด้วยทรัพยากรที่มีมาไม่ขาด คนพวกนี้อาจบรรลุขั้นสองในเทอมหน้า อย่างไรก็ตามถ้าทรัพยากรหมดลงกระทันหัน มันก็พูดยากแล้ว พวกเขาอาจจำเป็นต้องรอจนถึงปีสองเลยทีเดียว
“ฉันไม่ควรสนใจเรื่องคนอื่น ฉันต้องระวังตัว”
ฟางผิงถอนหายใจเบาๆและเลิกฝึก เขาเก็บข้าวของและเดินออกจากโรงฝึก