World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 112 ชมรมวิถียุทธที่โอหัง!
วันที่ 1 ตุลาคม วันชาติจีน
วันหยุดมาถึง โม๋อู่ยิ่งร้างกว่าเดิม
เดือนก่อน เพราะมีนักศึกษาใหม่เข้ามา โม๋อู่จึงคึกคักอยู่พักนึง
อย่างไรก็ตามเนื่องจากมันเป็นวันหยุด นักศึกษาใหม่ส่วนใหญ่จึงกลับบ้านกัน ดังนั้นในมหาลัยที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเห็นใครสักคน
…..
ณ ฝั่งเหนือของโม๋อู่
ทางเหนือมีอาคารไม่มากนัก อาคารที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดเป็นอาคารสูงหกชั้นที่กินพื้นที่หลายสิบเอเคอร์!
อาคารหลังนี้คือสำนักงานใหญ่ของชมรมวิถียุทธ!
ณ เวลา 8 โมงเช้า หยางเสี่ยวม่านหัวเราะอย่างเบิกบาน “เจ้เหยียน ขอตัวก่อนค่ะ ฉันจะกลับมาหลังวันหยุด”
โจวเหยียนพยักหน้ายิ้มๆ จากสมาชิกใหม่ที่เข้ามาปีนี้ มีเพียงหยางเสี่ยวม่านคนเดียวที่คุยด้วยได้
จ้าวเหล่ยหยิ่งเกินไป ฟู่ชางติ่งร้ายเกินไป เฉินหยุนซีก็เงียบเกินไป
จากสมาชิกปีหนึ่งที่พึ่งเข้าร่วมชมรม หลังได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว ก็มีเพียงหยางเสี่ยวม่านคนเดียวที่ร่าเริงและน่าเชื่อถือ
โจวเหยียนยินดีจะปล่อยให้หยางเสี่ยวม่านจัดการเรื่องบางอย่างให้
แม้ว่าชมรมวิถียุทธจะถือเป็นชมรมที่ใหญ่ที่สุดในโม๋อู่ แต่พวกเขามีสมาชิกไม่กี่คนเท่านั้น แถมหลายคนยังไม่อยู่ที่ชมรม
ช่วงนี้จางอวี่เลือกปิดด่านฝึกฝน รองประธานหลายคนยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง พวกเขาโยนงานมาให้โจวเหยียน รุ่นพี่อยากได้สวัสดิการจะตาย แต่ไม่ทำงานอะไรเลย มีเพียงสมาชิกใหม่เท่านั้นที่เรียกใช้งานได้
โจวเหยียนเดินไปที่ประตูกับหยางเสี่ยวม่านพร้อมกับเสียงหัวเราะ “แม้มันจะเป็นวันหยุด แต่อยู่ที่บ้านก็อย่าอู้ล่ะ”
“ในชมรมวิถียุทธ นอกจากสมาชิกใหม่ ส่วนใหญ่จะอยู่ขั้นสอง”
“สมาชิกระดับสูงคือขั้นสาม”
“แม้เธอจะยังเป็นเด็กใหม่ แต่เธอถือว่าโดดเด่นกว่าเด็กใหม่คนอื่นๆ อย่างไรก็ตามอย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกันนักศึกษาทั่วไป รีบบรรลุขั้นสองให้เร็วที่สุด…”
“ค่ะ มันไม่เกิดขึ้นแน่ ไม่ต้องห่วงเจ้เหยียน”
ขณะที่พวกเธอคุยกัน พวกเธอก็เห็นคนหลายสิบคนกำลังเดินมาที่ประตูหลักของชมรมวิถียุทธ หยางเสี่ยวม่านประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้เหยียน วันนี้มีประชุมเหรอ?” “ไม่มีนะ…”
โจวเหยียนกวาดสายตาพิจารณากลุ่มตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เธอเห็นหลิวหย่งเหวินเป็นผู้นำกลุ่ม เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่เป็นไรกลับบ้านเถอะ อย่าปล่อยให้คนขับรถรอ”
เมื่อเธอเห็นหลิวหย่งเหวิน เธอก็รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
มันเป็นวันที่ขั้นหนึ่งจะประลองกัน ในชมรมวิถียุทธ ขั้นหนึ่งไม่ได้มีอะไรเลย การประลองจึงไม่มีความสำคัญเช่นกัน
อย่างไรก็ตามในฐานะชมรมที่ช่วยรักษากฏระเบียบ การประลองส่วนใหญ่จะเป็นพวกเขา ชมรมวิถียุทธ เป็นคนจัดขึ้น
อาจารย์ยุ่งมาก พวกเขาไม่สนใจเรื่องแบบนี้เท่าไหร่
ชมรมอื่นๆทั้งไม่มีคุณสมบัติและไม่มีความสามารถจัดการเรื่องแบบนี้ มีแต่ชมรมวิถียุทธเท่านั้นที่มีคุณสมบัติและความสามารถมากพอรักษากฏระเบียบ และป้องกันไม่ให้นักศึกษาต่อสู้กันโดยไม่มีเหตุผล
ท้ายที่สุดแล้วโม๋อู่ก็ยังเป็นมหาลัย เป็นสถาบันวิชายุทธที่อยู่ระดับสูงสุด ถ้านักศึกษาประลองกันตามใจชอบ มันคงทำให้ชื่อเสียงของมหาลัยเสื่อมเสียอย่างมาก
โจวเหยียนพึ่งพูดจบ แต่จู่ๆหยางเสี่ยวม่านก็พูดขึ้นมา “เจ้เหยียน อาจารย์ก็มา!”
หลังได้ยินแบบนั้น โจวเหยียนก็มองไปที่ประตู มีอาจารย์ 4-5 คนกำลังเดินจากประตูมาจัตุรัสทีละคน
“อาจารย์มาทำอะไรกันที่นี่ มาดูเรื่องสนุกรึไง?”
โจวเหยียนไม่ค่อยพอใจนัก มันเป็นแค่การประลองของขั้นหนึ่ง แต่อาจารย์เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสี่เป็นอย่างต่ำ เธอรู้สึกหนักใจ
ถ้าศิษย์ของพวกเขาขึ้นสนามประลอง และหากพวกเขาตกอยู่ในอันตราย อาจารย์ย่อมเข้ามาแทรกแซง อย่างไรก็ตามนั่นมันผิดกฏ! เรื่องทำนองนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
ดังนั้นชมรมวิถียุทธจึงไม่พอใจอาจารย์ที่มาชมศิษย์ขึ้นประลองเป็นอย่างยิ่ง
ในฐานะชมรมอันทรงเกียรติที่ช่วยรักษากฏระเบียบ ชมรมวิถียุทธต้องทำตามหน้าที่และรับผิดชอบเพื่อให้มันใจว่ามันเป็นการประลองกันอย่างยุติธรรม
คุณหว่านอะไรไว้ก็ต้องได้อย่างนั้น
ชมรมวิถียุทธไม่ใช่ได้เงินมาโดยไม่ต้องทำงาน ถ้านักศึกษาประลองกันในชมรมวิถียุทธ อาจารย์จะไม่ได้รับอนุญาตให้แทรกแซง มันเป็นกฏเหล็ก!
หลังถอนหายใจเบาๆ โจวเหยียนก็ไม่ได้พูดอะไรกับหยางเสี่ยวม่านอีก เธอเดินตรงไปหาพวกหลิวหย่งเหวิน
…..
“หลิวหย่งเหวิน นายมาเพราะการประลองใช่ไหม?”
หลิวหย่งเหวินเป็นหนุ่มวัยรุ่นที่ดูสุภาพเมื่อได้ยินเธอถาม เขาก็ยิ้มด้วยท่าทีอ่อนโยน “ใช่เลขาโจว เรายื่นคำร้องมาก่อนแล้ว เวทีประลองน่าจะว่างใช่ไหม?”
“ใช่!”
แม้ว่าโจวเหยียนจะไม่ใช่รองประธาน แต่เธอก็เป็นถึงเลขาของชมรมวิถียุทธ
ช่วงนี้ประธานปิดด่านฝึกฝน แถมยังไม่มีเบาะแสเลยว่ารองประธานอยู่ไหน โจวเหยียนเป็นคนเดียวที่บริหารชมรมวิถียุทธในยามนี้
หลังตอบไป โจวเหยียนก็ปรายตามองอาจารย์ที่กำลังเดินมา เธอขมวดคิ้วและกล่าว “นายแจ้งอาจารย์”
“คุณเลขาตลกแล้ว อาจารย์มีความคิดของตัวเอง ฉันไม่กล้าสั่งพวกเขาหรอก”
“เลิกแสร้งโง่ได้แล้ว!”
โจวเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร เธอแค่นเสียง “ในชมรมวิถียุทธ เราปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน”
“นี่คือคำเตือน ที่ชมรมวิถียุทธ ทุกคนต้องทำตามกฏของเรา!”
“ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นอาจารย์หรือนักศึกษา การประลองก็เป็นเรื่องระหว่างนักศึกษาบนเวทีประลอง มันเป็นเรื่องชีวิตหรือความตาย ถ้าไม่มีใครยอมแพ้ ไม่ว่าใครก็แทรกแซงไม่ได้!”
“ถ้าใครทำผิดกฏ ฉันจะไม่ปล่อยไปง่ายๆแน่”
“นักศึกษาโจว อวดดีนัก!”
อาจารย์หลายคนเดินเข้ามา อาจารย์ที่เดินนำหน้ามีสีหน้าไม่พอใจนัก เขาแค่นเสียงเบาๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดของโจวเหยียนมุ่งเป้ามาที่พวกเขา
แม้ว่าโจวเหยียนจะเป็นถึงขั้นสาม แต่อาจารย์ต่ำสุดก็ขั้นสี่แล้ว ส่วนอาจารย์ที่เดินนำมาเป็นขั้นห้า
โจวเหยียนไม่กลัว เธอพูดอย่างเย็นชา “ฉันไม่กล้า มันเป็นกฏ!” “ก่อนหน้านี้มีอาจารย์แทรกแซงการประลอง ฉันไม่อยากให้มันเกิดผลที่ตามมาซ้ำอีก!”
“ชมรมวิถียุทธอาจเป็นกลุ่มนักศึกษา แต่ทางมหาลัยได้มอบหมายหน้าที่ให้ชมรมเป็นผู้รักษากฏระเบียบ ไม่ว่าคุณเป็นใคร คุณก็ต้องทำตามกฏ!”
“สิทธิพิเศษที่มอบให้ชมรมวิถียุทธไม่ได้ไร้เหตุผล มันได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของสมาชิกแต่ละคน!”
“ถ้าอาจารย์จางคิดว่ามันไม่เหมาะสม งั้นก็ร้องเรียนไปทางมหาลัยได้เลย!”
“อย่างไรก็ตาม ศิษย์ของอาจารย์จางจะเข้าร่วมประลองวันนี้ ดังนั้นฉันต้องพูดเรื่องนี้ก่อน เราหวังว่าอาจารย์จะไม่ทำให้งานของเราต้องยุ่งยากขึ้น!”
“ฮึ่ม!”
อาจารย์แซ่จางไม่พอใจ เขากล่าวอย่างเย็นชา “ชมรมวิถียุทธโอหังขึ้นเรื่อยๆ!” สีหน้าของโจวเหยียนเปลี่ยนไป เธอตอบอย่างเย็นชา “อาจารย์จาง คุณคิดว่าฉันกำลังเล่นๆหรือ?”
“นี่ไม่ใช่การเตือน แต่มันคำเตือน!”
“ถ้าคุณกล้าแทรกแซง ชมรมวิถียุทธยังมีสมาชิกขั้นห้าสองคนและสมาชิกขั้นสี่อีกสี่คนที่ยังไม่จบการศึกษา!”
“ถ้าคุณแทรกแซง ชมรมวิถียุทธไม่กลัวที่จะเล่นงานคุณ ถ้าเป็นแบบนั้น คุณจะถูกส่งไปพิทักษ์ถ้ำใต้ดินสิบปี พอถึงตอนนั้นมาดูกันว่าคุณจะกล้าพูดแบบนี้อยู่ไหม!”
“บัดซบ!”
“ก็ลองดู!”
โจวเหยียนมีสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงเธอเย็นชามาก!
ไม่ต้องพูดถึงอาจารย์ขั้นห้า ต่อให้เป็นอาจารย์ขั้นหกแล้วไง!
โจวเหยียนไม่ได้เป็นเจ้าของชมรมวิถียุทธ และมันก็ไม่ใช่ของโม๋อู่ซะทีเดียว! นักศึกษาร่วมมือกับมหาลัยเพื่อบริหาร กฏของมันถูกตกทอดกันมาตั้งแต่แรกเริ่ม!
นักศึกษาที่ยังไม่จบการศึกษาไม่ได้แข็งแกร่งมากกว่าแน่นอน พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อกรของอาจารย์ อย่างไรก็ตามสมาชิกที่จบการศึกษาจากชมรมวิถียุทธมีทั้งอาจารย์ นักธุรกิจชื่อดัง และนักการเมือง
อาจพูดได้ว่า ผู้ยิ่งใหญ่ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่เคยเป็นสมาชิกของชมรมวิถียุทธ!
พวกเขาเพลิดเพลินไปกับผลประโยชน์ที่ได้รับจากชมรมวิถียุทธ ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะจบการศึกษาไปแล้ว พวกเขาก็มอบความช่วยเหลือแก่ชมรมแน่นอน!
ถ้ามีคนคิดจะทำลายกฏของชมรมวิถียุทธ ต่อให้คนๆนั้นเป็นปรมาจารย์ เขาก็ต้องคิดทบทวนอีกที
ก่อนที่บุคคลสำคัญของงานนี้จะมาถึง ชมรมวิถียุทธก็ขัดแย้งกับอาจารย์จางแล้ว เวลานี้อาจารย์คนอื่นๆแทบไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้อีก
อาจารย์คนนึงพยายามไกล่เกลี่ย “เลขาโจว เหล่าจางไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”
“ทุกคนทราบกฏของชมรมวิถียุทธดี เราเคยเป็นสมาชิกชมรม ดังนั้นผลประโยชน์ของชมรมย่อมเป็นส่วนหนึ่งของผลประโยชน์เราเช่นกัน”
“วันนี้เรามาเป็นผู้ชมจริงๆ”
สีหน้าของโจวเหยียนอ่อนลงมาก เธอยิ้มบางๆ “อาจารย์หลิว เมื่อกี้คำพูดของฉันแรงไปหน่อย เวลานี้ประธานกับรองประธานไม่อยู่ ฉันแค่กดดันไปหน่อย”
“ชมรมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาวันเดียว ถ้าเกิดอะไรขึ้นตอนที่ฉันดูแล ฉันไม่มั่นใจว่าจะรับมือกับผลที่ตามมาได้ไหม”
“ลานประลองหมายเลขหนึ่งเปิดอยู่ อาจารย์เข้าไปรอก่อนได้เลยค่ะ”
หลังพูดจบประโยค เธอก็หันไปมองสมาชิกสองสามคนที่พึ่งรีบเข้ามา เธอยิ้มให้พวกเขาแล้วกล่าว “ไปแจ้งรองประธาน ดูว่าพวกเขารีบกลับมาได้ไหม เอ้อ แจ้งให้ประธานทราบด้วย”
“นอกจากนี้รุ่นพี่เฉินเหมือนจะกลับมาจากเทียนหนานแล้ว ถามเขาว่าเขาอยู่ใกล้ๆไหม บอกเขาว่าเราอยากให้รุ่นพี่เฉินมาช่วยสนับสนุน”
“…”
รุ่นพี่เฉินเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นห้าในชมรมวิถียุทธ แต่ปกติเขาจะทำหน้าที่นอกมหาลัย แทบไม่กลับมา นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงไม่เข้ารับตำแหน่งประธานชมรม
เมื่อเธอพูดจบ นัยน์ตาดำของโจวเหยียนก็หดตัวลงฉับพลัน เธอกัดฟัน พูดเสียงทุ้มต่ำ “ฉันจะไปแจ้งคณบดี ให้คณบดีมาด้วย!”
หลู่เฟิ่งโหรวขั้นหกสูงสุดก็มาด้วย!
โจวเหยียนเครียด มันเป็นแค่การประลองของขั้นหนึ่งไม่กี่คนไม่ใช่เหรอ? จำเป็นต้องมากันขนาดนี้เลยเหรอ? ถ้าพวกเขาไม่เคารพกฏ ชมรมวิถียุทธก็หยุดไม่อยู่
เมื่อพวกเขาแหกกฏ แม้ว่าภายหลังเหตุการณ์จะกลับมาอยู่ใต้การควบคุม แต่ชมรมวิถียุทธก็ยังเสียหน้าอยู่ดี
ชมรมวิถียุทธสามารถปกครองร่วมกับทางมหาลัยได้ ในฐานะชมรมที่มีอำนาจมากที่สุดในมหาลัย จะดีที่สุดถ้าพวกเขาไม่เสียหน้า
ขณะที่โจวเหยียนกำลังกังวลว่าเธอควรเชิญคณบดีสาขาศัสตราวุธมาสนับสนุนดีหรือไม่ อาจารย์คนอื่นๆก็ขมวดคิ้ว พวกเขาไม่คิดเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะมาด้วย
หลู่เฟิ่งโหรวดูกระเซอะกระเซิงราวกับพึ่งตื่นนอน ยิ่งกว่านั้นโจวเสวี่ยเหมยก็ยังตามเธอมาด้วย
ขณะที่เดินมาทางทุกคน หลู่เฟิ่งโหรวก็หาวออกมา “จะแจ้งคณบดีทำไม? ฉันไม่ได้มาสร้างปัญหา ก็แค่นักศึกษาขั้นหนึ่ง ต่อให้ตายไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ จะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ทำไม?”
“พวกจางกั๋วหรูไม่กล้าแทรงแซงหรอก ถ้าพวกเขาแทรกแซง ฉันจะทุบตีพวกเขาจนตาย ไม่ต้องห่วง”
อาจารย์จางมุมปากกระตุก แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไร
หลู่เฟิ่งโหรวหัวเราะอย่างสำราญ “ไม่ต้องห่วงคนแซ่จาง คำพูดของฉัน คำพูดของอู่ไร้พ่ายถือเป็นที่สุด!”
“มันก็แค่การประลอง ทุกคนควรทำตามกฏ ไม่มีข้อยกเว้น”
“อย่าพูดถึงขั้นห้า ต่อให้เป็นขั้นหกขั้นเจ็ด ใครจะกล้าแหกกฏชมรมวิถียุทธของโม๋อู่กัน?”
“จางกั๋วหรู นายกล้าไหม?”
จางกั๋วหรูขมวดคิ้ว “หลู่เฟิ่งโหรว…” Aileen-novel
“หือ?”
“อาจารย์หลู่…” สายตาที่จ้องมองมาทำให้เขารู้สึกเสียวสันหลัง เขากล่าวเต็มฝืน“เราจะทำตามกฏแน่นอน ฉันแค่มาดูเท่านั้น ไม่มีความหมายอื่น!”
“ได้ยินแบบนั้นก็ดี…”
หลังเธอพูดจบ เธอก็ขมวดคิ้ว “ฟางผิงอยู่ไหน?”
“ยังไม่มา”
โจวเหยียนส่ายหน้า แม้จะได้ยินหลู่เฟิ่งโหรวตกปากรับคำ แต่เธอก็ยังมีความตั้งใจที่จะบอกคณบดี อย่างไรก็ตามหลังพิจารณาเล็กน้อย เธอก็ตัดสินใจไม่ทำ
หลู่เฟิ่งโหรวอาจบ้านิดหน่อย แต่เธอไม่ค่อยโกหก
ถ้าเธอรับปากว่าจะไม่แทรกแซง เธอก็จะไม่แทรกแซง
ถ้าพวกจางกั๋วหรูกล้าแทรกแซง มันไม่แปลกเลยที่เธอจะหาข้ออ้างเล่นงานพวกเขาจนตาย พวกเขาย่อมไม่กล้าแน่นอน
“เจ้านี่…”
หลู่เฟิ่งโหรวส่ายหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเดินตรงไปยังเวทีประลอง
คนอื่นๆเดินตามมา หยางเสี่ยวม่านที่ตอนแรกตั้งใจจะกลับบ้านก็เดินมาหาจ้าวเสวี่ยเหมยและถามเบาๆ “เกิดอะไรขึ้น?”
จ้าวเสวี่ยเหมยมึนงง เธอตอบเบาๆ “นี่ไม่ใช่การประลองระหว่างฟางผิงกับรุ่นพี่เหรอ?”
“ฉันไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์พวกเขาถึงมา แม้แต่อาจารย์คนอื่นก็มาด้วย!”
“ฉันเกือบลืมเรื่องประลองไปเลย!”
หยางเสี่ยวม่านตบหัวตัวเอง ก่อนหน้านี้เธอยังจำเรื่องประลองได้ อย่างไรก็ตามช่วงนี้ฟางผิงทำตัวเหมือนเป็นมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง ยิ่งกว่านั้นทุกคนยังพูดแต่เรื่องจ้าวเหล่ยและคนอื่นๆมากกว่า
เมื่อเธอมาคิดเรื่องนี้ หยางเสี่ยวม่านก็อดถามไม่ได้ “ทำไมบรรยากาศดูแปลกๆ?”
นอกจากอาจารย์ไม่กี่คนที่อยู่เงียบๆ ปฏิกิริยาของชมรมวิถียุทธก็แปลกๆเช่นกัน ปกติโจวเหยียนจะเป็นคนพูดเก่งคุยสนุก แต่เธอพูดเตือนอาจารย์ และเกือบจะฉีกหน้าพวกเขาแล้ว
จากที่หยางเสี่ยวม่านรู้ เธอไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน นอกจากทะเลาะกับรองประธานฉินเฟิ่งชิงเล็กๆน้อยๆแล้ว เธอเป็นมิตรกับทุกคน แม้แต่อาจารย์ เธอก็สุภาพและให้ความเคารพ
สิ่งที่เธอเห็นไม่มีอะไรใกล้เคียงกับคำว่าให้ความเคารพเลย
จ้าวเสวี่ยเหมยงุนงงเช่นกัน เธอพึมพำ “ฉันไม่รู้ มารอดูกันเถอะ”
หยางเสี่ยวม่านพยักหน้า เธอไม่ได้พูดถึงเรื่องกลับบ้านแล้ว
…..
ขณะที่ทุกคนไปสนามประลอง ฟางผิงกลับมาสาย
เมื่อเขามาถึงชมรมวิถียุทธ เขาก็งง เขามองไปรอบๆซึ่งไร้ผู้คนและพูดถามตัวเอง “ทุกคนอยู่ไหน?”
“พวกเขาท้าฉันประลองไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ระบุสถานที่ประลอง แล้วฉันควรไปไหนกัน?”
“พวกเขาแค่บอกว่าชมรมวิถียุทธ ชมรมนี้ใหญ่มาก แต่ไม่มีคนอยู่เลยสักคน?”
“…”
ฟางผิงทำอะไรไม่ถูกมาสักพักแล้ว หลังค้นหาไปพักใหญ่ เขาถึงพบเจอสมาชิกชมรมและสอบถามเส้นทางมาได้ เมื่อเขารู้จุดหมาย เขาก็มุ่งตรงไปยังลานประลองอย่างรวดเร็ว
…..
ประมาณ 7-8 นาทีต่อมา
ในที่สุดฟางผิงก็มาถึงจนได้
สนามประลองหมายเลขหนึ่ง มีพื้นที่กว้างใหญ่ มีที่นั่งผู้ชมอยู่รอบสนามและใจกลางเป็นเวทีประลอง
เมื่อฟางผิงมาถึง เขาก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันผิดปกติ
ทุกคนกำลังมองมาที่เขา ฟางผิงเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมา เขาฝืนหัวเราะ “ขอโทษที่มาสาย ผมหาทางมาไม่เจอ ไม่มีใครมารับผมเลย”
โจวเหยียนพูดไม่ค่อยออก ในฐานะผู้ดูแลชมรมวิถียุทธ เธอจึงลุกขึ้นมาถาม “ฟางผิง เพราะมันเป็นธรรมเนียม ฉันจะขอถามคุณก่อน คุณเข้าร่วมการประลองโดยสมัครใจใช่ไหม?”
“ใช่”
“คุณจะได้ประลองกับคนทั้งหมดสี่คน ทุกคนเป็นขั้นหนึ่งสูงสุด คุณมั่นใจไหมว่าไม่มีใครบังคับ ข่มขู่หรือใช้วิธีการอื่นเพื่อบีบให้คุณเข้าร่วม?”
ฟางผิงครุ่นคิดและพูด “ถ้าผมบอกว่าผมถูกพวกเขาบังคับมา จะเกิดอะไรขึ้น?”
ก่อนที่โจวเหยียนจะได้พูดอะไร ก็มีคนในฝูงชนพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ฟางผิง แกเป็นคนยอมรับคำท้า! ใครบังคับให้ทำกัน?”
“เงียบ!”
โจวเหยียนตำหนิอย่างเย็นชา เธอหันหน้าไปมองแล้วกล่าว “ฉันกำลังพูดกับฟางผิง ถ้านายพูดอะไรอีกทั้งๆที่ยังไม่ถึงตานายพูด งั้นก็ไสหัวไป!”
แม้จะรู้สึกไม่พอใจ แต่นักศึกษาที่พูดขัดจังหวะก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เขากลับไปอยู่เงียบๆ
โจวเหยียนพูดต่อ “ในโม๋อู่ เราไม่ได้ห้ามประลองกัน และมันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตาย! อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายต้องเต็มใจ”
“ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เต็มใจ การประลองจะถูกยกเลิก!”
“หากคุณถูกขู่ให้รับคำท้า ก็ยื่นร้องเรียนมาที่ชมรมวิถียุทธ ฉันจะจัดการเอง โม๋อู่จะเปิดเผยทุกอย่างสู่สาธารณะ!”
“เรื่องสกปรกที่เกิดขึ้นส่วนตัวจะไม่ถูกตรวจสอบถ้าไม่มีใครหยิบยกประเด็นขึ้นมา อย่างไรก็ตามถ้ามีคนร้องเรียน เราจะลงมือแน่นอน ไม่ต้องห่วง ชมรมวิถียุทธเป็นชมรมที่ช่วยรักษากฏระเบียบ แม้แต่อาจารย์ก็ไม่มีสิทธิ์บังคับให้ลูกศิษย์ทำในสิ่งที่ลูกศิษย์ไม่อยากทำ!”
ฟางผิงรู้สึกพูดไม่ออก ชมรมวิถียุทธมีพลังอำนาจขนาดนี้เชียว?
พูดตรงๆ เขาไม่ค่อยมั่นใจนัก
เมื่อเขาเห็นสีหน้าเป็นกังวลทางฝั่งที่นั่งผู้ชม ฟางผิงก็หัวเราะ “ไม่มีใครบังคับผม ผมยอมรับด้วยตัวเอง”
“งั้นเรายอมรับการประลอง!”
หลังโจวเหยียนพูดจบ เธอส่งสัญญาณให้ฟางผิงขึ้นมาบนเวทีประลอง เธอพูดต่อ “ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมมหาลัยกัน เน้นเรียนรู้ หยุดเมื่อควรหยุด!”
“แน่นอน มือเท้าไร้นัยน์ตา การบาดเจ็บหลีกเลี่ยงไม่ได้” “ฟางผิงเป็นน้องใหม่ และต้องประลองกับคู่ต่อสู้สี่คน ดังนั้นเขาจะได้รับสิทธิ์ ระบุเงื่อนไขที่เหมาะสมมา แต่ต้องอยู่ในกฏ”
“ฟางผิง คุณมีเงื่อนไขอะไรไหม?”
ฟางผิงพยักหน้า “ผมมี ข้อแรกรุ่นพี่จะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธเย็น เพราะยังไงมันก็เป็นแค่การประลอง ผมห่วงว่ารุ่นพี่อาจพลาดพลั้งทำให้ตัวเองบาดเจ็บ”
“ข้อสอง ผมเป็นน้องใหม่ ความสามารถยังค่อนข้างอ่อนแอ แถมยังต้องสู้กับคน 4 คน”
“ดังนั้นผมอยากขอให้รุ่นพี่ชดเชยด้วยเม็ดยาปราณและเลือดขั้นสองคนละเม็ด เอามาช่วยผมฟื้นฟูปราณและเลือด ไม่งั้นคงเป็นเรื่องยากที่ผมจะประลองต่อ”
“ข้อสาม…”
“แค่กๆ”
โจวเหยียนอดกระแอมไม่ได้ เขาจะมีเงื่อนไขกี่ข้อกัน? เมื่อเธอขัดจังหวะฟางผิงเสร็จ โจวเหยียนก็หันไปมองหลิวหย่งเหวิน “แล้วพวกนายล่ะ?”
หลิวหย่งเหวินขมวดคิ้ว หลังจากนั้นสักครู่เขาก็กล่าว “ยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งสามเม็ดใช้ฟื้นฟู จะเอาหรือไม่เอา”
“สี่!” ฟางผิงรีบตอบ
หลิวหย่งเหวินขมวดคิ้วอีกครั้ง หลังจากครุ่นคิดสักครู่เขาก็กล่าว “ตกลง แต่ช่วงพักไม่เกินครึ่งชั่วโมง!”
“ตกลง!”
ฟางผิงตอบกลับไปอย่างมีความสุข เขาไม่คิดเลยว่าคำขอที่เขาพูดขอไปทีจะทำให้เขาได้ยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งมาสี่เม็ด รุ่นพี่ของเขาร่ำรวยเสียจริง!