World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 118 อันตรายยามสงบ
หลังคุยกับถานเจิ้นผิงอยู่สักพัก ฟางผิงก็ปฏิเสธคำชวนทานอาหารอย่างสุภาพ
เมื่อเขากับพี่น้องถานนัดเจอกันที่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งตอนบ่าย ฟางผิงกับพ่อก็จากไปพร้อมกัน
…..
เมื่อฟางผิงเดินจากไปแล้ว ถานเจิ้นผิงก็ถอนหายใจ “วงการคงเปลี่ยนไปในอนาคต”
นับตั้งแต่ที่ฟางผิงพูดว่าเขาได้สังหารผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดไปสองคน ถานเจิ้นผิงก็ตระหนักว่าพวกเขาไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน
สำหรับกลุ่มผู้ฝึกยุทธทั่วไปอย่างพวกเขา จุดประสงค์หลักของการฝึกวิชายุทธคือการได้รับสิทธิพิเศษและสถานะ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะรองผู้อำนวยการกระทรวงศึกษา เขาย่อมรู้ว่าไม่มีผู้ฝึกยุทธคนไหนเหมือนกัน มีทั้งผู้ฝึกยุทธที่เข้าสู่แวดวงยุทธโดยไม่สนใจสิทธิพิเศษและสถานะ พวกเขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธทั่วไป ถานเจิ้นผิงแบ่งประเภทผู้ฝึกยุทธนี้ว่าเป็นประเภทต่อสู้
ผู้ฝึกยุทธประเภทต่อสู้และคนอย่างพวกเขาแทบจะไม่ได้อยู่วงการเดียวกัน…
พูดง่ายๆก็คือผู้ฝึกยุทธประเภทต่อสู้ดูถูกผู้ฝึกยุทธทั่วไปแบบพวกเขา ถึงขั้นไม่ยอมรับว่าพวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ
ถานเจิ้นผิงชำเลืองมองลูกชาย ตอนแรกเขาอิจฉาฟางผิง แต่หลังครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็พลันรู้สึกว่าเขาพอใจมากกว่าถ้าให้ลูกชายกลายเป็นเหมือนกับเขา
ฟางผิงทำให้เขาพอเข้าใจสถานการณ์แล้ว แต่พอคิดว่าพึ่งเข้ามหาลัย ฟางผิงก็ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายแล้ว ถานเจิ้นผิงก็ไม่อยากให้ลูกชายถูกฆ่ากระทันหันสักวันหนึ่ง
เขากำลังจะบอกให้ลูกชายเรียนรู้จากฟางผิงให้มากขึ้น แต่ตอนนี้เขาปัดความคิดนี้ทิ้งไป
…..
ณ บ่ายวันนั้น ฟางผิงได้พบกับหลายๆคนรวมถึงอู๋จื้อเห่า หยางเจี้ยนและหลิวรั่วฉี
ทุกคนก้าวหน้าขึ้น ช่วงสอบเข้ามหาลัย คนที่มีปราณและเลือดสูงสุดในหมู่พวกเขาคือ 120แคล ส่วนปราณและเลือดต่ำสุดมีแค่ 115แคล
ตอนนี้ห้าเดือนต่อมาหลังฝึกเคล็ดเสริมสร้างและจวงกง ปราณและเลือดของพวกเขาก็มีราวๆ 130แคล
ทุกคนค่อนข้างอารมณ์ดีที่ได้เห็นเพื่อนเก่า
ขณะที่พวกเขาคุยกัน หัวข้อก็เปลี่ยนไปเป็นปัญหาเรื่องทรัพยากร อู๋จื้อเห่ารู้สึกจนปัญญา “มหาลัยวิชายุทธหนานเจียงให้รางวัล 30 แต้ม มันถือเป็นจำนวนไม่น้อยเลย ถ้าเอาไปแลก ฉันจะได้ยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งสองเม็ด” “อย่างไรก็ตามยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งราคา 15 แต้ม ยาชำระกระดูก 25 แต้ม”
“บวกกับฝึกฝนประจำวัน เราต้องมียาปราณและเลือดสามัญอย่างน้อยห้าเม็ดเพื่อบ่มเพาะให้มีปราณและเลือดสูงกว่า 150แคล มันต้องใช้อีก 30 แต้ม”
“รวมๆแล้วมันเกือบ 70 แต้ม”
“ต่อให้เราได้รับรางวัลจากการสอบ จำนวนก็ยังขาดอยู่ดี ในหนึ่งปี แต้มสูงสุดที่เราจะได้คือ 20 แต้ม”
“เราอาจต้องควักเงินเพิ่ม 400,000 หยวนเพื่อรวบรวมทรัพยากรให้มากพอทะลวงขั้นหนึ่ง ค่าใช้จ่ายหลังเข้ามหาลัยวิชายุทธสูงมาก”
สำหรับมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง 20,000 หยวนแลกเปลี่ยนได้ 1 แต้ม
อู๋จื้อเห่าและคนอื่นๆ ถ้าอยากทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ ต้องลงทุนเงินอย่างน้อย 4-5 แสนหยวน นั่นเป็นเหตุผลหลักทีทำไมนักศึกษาวิชายุทธมากมายถึงทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธไม่ได้แม้จะเข้าเรียนนานแล้วก็ตาม
ขณะที่อู๋จื้อเห่าพูดพึมพำ หลิวรั่วฉีกับคนอื่นๆก็รู้สึกจนปัญญาเช่นกัน
หยางเจี้ยนคิดเล็กน้อยแล้วกล่าว “มหาลัยวิชายุทธเทียนหนานพึ่งเปิดคลาสฝึกฝนพิเศษให้นักศึกษาใหม่ ฉันได้ยินว่าถ้าเราเข้าร่วม เราจะได้แต้มเป็นรางวัล ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะเข้าร่วมดีไหม มหาลัยวิชายุทธหนานเจียงมีคลาสเรียนแบบนี้ไหม?”
“คลาสฝึกฝนพิเศษ?”
“พวกเธอก็มีเหรอ?” อู๋จื้อเห่าถามอย่างแปลกใจ “เราก็มีเหมือนกัน แม้ว่าข้อกำหนดจะค่อนข้างเข้มงวดก็ตาม เราต้องมีปราณและเลือดอย่างน้อย 140แคล”
“ไม่ต้องพูดถึงมีข้อกำหนดเรื่องจวงกงอีก ต้องเข้าขั้นมั่นคงถึงจะเข้าได้”
หลายคนพูดถึงเรื่องนี้ ฟางผิงประหลาดใจเล็กน้อยและเอ่ยถาม
“คลาสฝึกฝนพิเศษ? เราเข้ามหาลัยวิชายุทธแล้ว มันมีประโยชน์อะไร?”
วิธีสอนจะต่างกันไปตามมหาลัยวิชายุทธ ปกติแล้วอาจารย์คนนึงจะมีหน้าที่ชี้แนะศิษย์ไม่กี่คน มันจำเป็นต้องมีคลาสฝึกฝนพิเศษด้วยเหรอ?
“ฉันไม่รู้ ฉันยังอยู่ห่างจากคลาสฝึกฝนพิเศษ ฉันเลยไม่ได้ถามเรื่องนี้”
ขณะที่อู๋จื้อเห่าตอบอย่างง่ายๆ หยางเจี้่ยนก็กล่าว “ฉันได้ยินว่าคลาสฝึกฝนพิเศษฝึกต่อสู้จริงให้กับกลุ่มนักศึกษาชั้นยอด”
“อย่างนั้นเหรอ?”
ฟางผิงพยักหน้าเบาๆและไม่ได้ถามต่อ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่นักที่มหาลัยวิชายุทธจะรวบรวมอัจฉริยะและให้ความสำคัญกับการฝึกฝนต่อสู้จริงให้กับเด็กใหม่
ทุกคนคุยกันเจี้ยวจ้าว โดยปกติแล้วบรรยากาศปกติในมหาลัยวิชายุทธจะดีกว่ามหาลัยอย่างโม๋อู่
มันไม่ตึงเครียดเกินไป ทุกคนมีเป้าหมายของตนเอง
ในมหาลัยวิชายุทธทั่วๆไป คนส่วนใหญ่คิดว่าถ้าพวกเขาอยากเป็นผู้ฝึกยุทธ ไปถึงขั้นสองได้ก็ดีสุดแล้ว ถ้าไปไม่ถึง ขั้นหนึ่งก็ได้ไม่เป็นไร
มหาลัยพึ่งเปิดภาคเรียน ดังนั้นพวกเขาจึงยังมีเวลาอีกมากมาย
ในมหาลัยวิชายุทธทั่วๆไปสมัยนี้ มีแรงกดดันไม่มากนัก เพราะยังไม่มีผู้ฝึกยุทธอยู่ในหมู่นักศึกษาใหม่
กลับกันในโม๋อู่ นักศึกษารู้สึกกดดันหนักมาก เพราะหลายคนเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว
อย่างไรก็ตามทุกมหาลัยต่างก็มีนักศึกษาชั้นนำอยู่เสมอ
มหาลัยวิชายุทธเทียนหนานและมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงก็มีนักศึกษาที่มีปราณและเลือดเกิน 150แคลและกำลังเข้าสู่กระบวนการขัดเกลาสองครั้ง
ทุกคนคุยกันจนลืมเลือนเวลาและค่อยๆเปลี่ยนหัวข้อมาเป็นการทะลวงสู่ผู้ฝึกยุทธของฟางผิง
หัวข้อนี้ไม่ใช่ความลับ หลายคนรู้แล้ว
ทุกคนรู้สึกอิจฉา แต่ห้าเดือนก่อนฟางผิงก็มีปราณและเลือด 149แคลแล้ว พวกเขาจึงไม่ค่อยประหลาดใจนัก
พวกเขาต่างก็เป็นนักศึกษาวิชายุทธ พวกเขาทานอาหารเย็นกัน แต่ก็ไม่มีใครดื่มแอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์ทำให้สติมึนงงและทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองเชื่องช้าขึ้น เพราะพวกเขาไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับบ้านตั้งแต่ยังไม่ดึก
…..
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ฟางผิงก็ไม่ได้ลืมฝึกฝนประจำวัน
วิชายุทธเป็นเรื่องของความอุตสาหะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต่อให้เป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ การฝึกฝนก็ไม่อาจล่าช้าได้
หลังฝึกฝนเสร็จ ฟางผิงก็ดูค่าสถานะของตนเองและเห็นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ทรัพย์สิน : 6,100,000
ปราณและเลือด : 265แคล (271แคล)
จิตใจ : 235เฮิรตซ์ (240เฮิรตซ์)
ฟางผิงได้ยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งมาสี่เม็ดจากหลิวหย่งเหวินเมื่อวันก่อน ทรัพย์สินเขาจึงเพิ่มมา 800,000 หยวน ค่าทรัพย์สินที่หายไปจึงกลับมาเป็น 6 ล้านอีกครั้งนึง
เวลานี้ฟางผิงขัดเกลากระดูกคืบหน้าเช่นกัน เขาขัดเกลากระดูกขาขวาไปแล้ว 27 ชิ้น ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากขัดเกลากระดูกทั้งหมด 31 ชิ้นแล้ว
นอกจากความก้าวหน้าเชิงยุทธ ฟางผิงยังมียาปราณและเลือดอยู่จำนวนไม่น้อยเลยอยู่ในครอบครอง
เขามียาปราณและเลือดสามัญ 6 เม็ด ขั้นหนึ่ง 11 เม็ด ขั้นสอง 1 เม็ด แถมยังมีรองเท้าบูทอัลลอยเกรดอีคู่นึงและสนับมือเกรดดี
ประสิทธิภาพของสนับมือเกรดดีในสนามประลองเมื่อวันก่อนไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่าไหร่ แต่ฟางผิงก็ใช้หมัดที่ยังไม่ได้ขัดเกลาทำลายแขนซ้ายของเฉินกั๋วหลงได้อย่างง่ายดาย โดยรวมแล้วตัวอาวุธก็ทำหน้าที่ได้ตามเป้า
“ฉันไม่จำเป็นต้องใช้ยาปราณและเลือดสามัญกับขั้นหนึ่งอีก แต่ยาปราณและเลือดขั้นสองเก็บไว้ใช้ตอนทะลวงขั้นหนึ่งได้”
“หาวิธีขายยาปราณและเลือดสามัญ 6 เม็ดกับขั้นหนึ่ง 11 เม็ดดีกว่า”
ด้านนึงก็เพื่อระดมทุนเพื่อขยายจุดกระจายสินค้า จำนวนจุดกระจายสินค้านปัจจุบันไม่สามารถครอบคลุมทั้งเมืองมหาวิทยาลัยซึ่งทำให้รับงานได้ยาก
ข่าวเรื่องเหล่าหม่าทะลวงสู่ปรมาจารย์ได้รับการยืนยันแล้ว ด้วยเหตุนี้อาลีจึงเร่งความเร็วการขยายตัว ฟางผิงต้องคอยตามจังหวะด้วยเช่นกัน ส่วนอีกด้านนึงมันเป็นการเพิ่มค่าทรัพย์สินให้เขา
ระบบมอบค่าทรัพย์สินให้ 70,000 แต้มต่อยาปราณและเลือดสามัญหนึ่งเม็ด และค่าทรัพย์สิน 200,000 แต้มต่อยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งหนึ่งเม็ด
ยาปราณและเลือดสามัญ 6 เม็ดและยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง 11 เม็ดรวมแล้วฟางผิงจะได้ทรัพย์สิน 2.62 ล้าน ถ้าขายได้ราคามากกว่า 2.62 ล้าน ระบบจะชดเชยความต่างให้แล้วจะเพิ่มค่าทรัพย์สินให้เขาอีกครั้ง
“จากราคาตลาด เม็ดยาเหล่านี้มีมูลค่า 3.9 ล้าน แน่นอนถ้าขายผ่านช่องทางไม่เหมาะสม ราคาก็จะลดลง ขายได้สัก 3.5 ล้านก็เกินพอแล้ว”
“แต่ฉันก็น่าจะได้ค่าทรัพย์สินเพิ่มเกือบล้าน”
“นอกจากนี้ฉันยังมีอีก 202 แต้มที่ยังไม่ได้ใช้ ฉันแลกเปลี่ยนยาเอาไปขายได้ไหมนะ?” 202 คะแนนช่วยเพิ่มค่าทรัพย์สินให้เขา 4.04 ล้าน ตราบใดที่เขาขายได้ราคามากกว่า 4.04 ล้าน ความต่างของราคาจะถูกนำมาชดเชยให้เป็นค่าทรัพย์สิน
“ราคาขายยาปราณและเลือดสามัญคือ 90,000 หยวนต่อเม็ดและมีราคา 3 คะแนนต่อเม็ด ส่วนต่างคือ 30,000 และส่วนต่างของแต่ละคะแนนคือ 10,000”
“ยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง 1 เม็ดเท่ากับ 10 คะแนน ถ้าฉันขาย มันอาจได้ประมาณ 270,000 หยวน มันมีความต่างอยู่ 70,000 และส่วนต่างของแต่ละคะแนนคือ 7,000”
“จากการคำนวณ แลกยาปราณและเลือดสามัญมาคุ้มกว่า แถมยาปราณและเลือดสามัญยังขายได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง…”
ยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งแพงเกินไป แถมยังมีคนต้องการน้อยกว่า แม้แต่ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งก็แทบไม่ใช้ ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองขั้นสามถึงจะใช้มัน “ตอนนี้ฉันใช้ทรัพย์สินส่วนใหญ่แลกปราณและเลือดเพื่อขัดเกลากระดูก จะเก็บคะแนนที่เหลือไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเอาไปแลกเปลี่ยนเม็ดยา ไม่เพียงแต่ค่าทรัพย์สินจะเพิ่มเท่านั้น แต่ฉันยังได้เงินจำนวนมากมาไว้ในมือด้วย”
“เงินสด 800,000 หยวนจากการขายยาปราณและเลือดสามัญ 9 เม็ดครั้งก่อนก็เกือบหมดแล้วเหมือนกัน…”
ตอนนี้หลี่เฉิงเจ๋อได้เพิ่มจุดกระจายสินค้าหลายแห่งในเมืองมหาวิทยาลัย ด้วยการใช้ประโยชน์สถานะผู้ฝึกยุทธอย่างเป็นทางการของฟางผิง บริษัทขนส่งสินค้าแห่งอื่นจึงจำใจยอมรับอย่างไม่เต็มใจ
นอกจากนี้บริษัทของพวกเขายังมีงานไม่มาก และกำลังอยู่ในช่วงผลาญเงิน
หลังจากนั้นสักพัก ฟางผิงก็ตัดสินใจกลับมหาลัยและใช้คะแนนแลกเปลี่ยนกับเม็ดยา เม็ดยาปราณและเลือดสามัญ!
202 คะแนนแลกเปลี่ยนเม็ดยาได้ 67เม็ด สามารถเพิ่มค่าทรัพย์สินกว่า 670,000 แต้ม ถ้ามันขายได้ 90,000 หยวนต่อเม็ด งั้นค่าทรัพย์สินก็จะเพิ่มอีก 1.34 ล้าน
ค่าทรัพย์สินเพิ่ม 2.01 ล้าน บวกกับเงินสดอีก 6.03 ล้าน!
ต่อให้ปัดเศษลง ค่าทรัพย์สินก็จะเพิ่มขึ้น 2 ล้านกับเงินสดอีก 6 ล้าน
หลังตัดสินใจได้ ฟางผิงก็ไม่ลังเลอีก แต่เขาไม่มั่นใจว่าสำนักงานแลกเปลี่ยนจะยอมให้เขาแลกเปลี่ยนยาปราณและเลือดสามัญมากขนาดนี้ไหม
ไหนๆพอถึงเวลาเขาก็จะทราบเอง ฟางผิงจึงไม่คิดอะไรอีก เขาล้มตัวนอนบนเตียงอย่างสงบ
…..
วันถัดมา
วันที่ 3 ตุลาคม
เวลานี้ฟางผิงถึงมีเวลามาตรวจสอบความคืบหน้าการฝึกฝนของฟางหยวน อย่างไรก็ตามหลังเข้าโม๋อู่ ฟางผิงก็ลังเลว่าเขาควรสอนวิชายุทธให้ฟางหยวนต่อดีไหม
มหาลัยวิชายุทธไม่ได้สงบอย่างที่เขาคิด!
ตามกฏแล้ว ถ้าน้องสาวเขาเป็นคนธรรมดา ผู้ฝึกยุทธก็ไม่อาจมุ่งเป้าไปที่คนธรรมดา นี่ไม่ใช่แค่กฏของมหาลัยวิชายุทธ แต่เป็นกฏของสังคม
ฟางผิงรู้สึกว่าเขามีโอกาสล่วงเกินศัตรูอีกมากมายในอนาคต
ถ้าน้องสาวเขาเป็นคนธรรมดา คนทั่วไปก็จะไม่เสี่ยงเล่นงานครอบครัวเขา แต่ถ้าน้องสาวเขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ…
“ช่างเถอะ ไม่จำเป็นต้องคิดมาก ต่อให้เธอกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ ขอแค่ดูแลตัวเองให้ปลอดภัย เธอก็ไม่ตกอยู่ในอันตรายมากนัก” Aileen-novel
มันก็เหมือนกับการประลองเป็นตาย ไม่มีใครบังคับประลองได้ถ้าไม่เห็นด้วย
ส่วนเรื่องอื่นๆอย่างภารกิจอันตราย ต่อให้ปฏิเสธก็ไม่สำคัญ ทางมหาลัยไม่บังคับเพราะทุกคนจะไปทำภารกิจด้วยความตั้งใจของตนเอง
นั่นเป็นเพราะถ้าใครไม่ทำภารกิจ พวกเขาก็จะไม่มีทรัพยากร ถ้าไม่มีทรัพยากร งั้นความแข็งแกร่งก็จะไม่เพิ่มขึ้น
ฟางผิงรู้สึกว่าถ้าฟางหยวนกลายเป็นผู้ฝึกยุทธจริงๆ เขาก็ไม่มีปัญหาเรื่องการจัดหาทรัพยากรให้น้องสาว เขาจะไม่ปล่อยให้น้องสาวเสี่ยงไปทำภารกิจเด็ดขาด
คนอย่างถานเจิ้นผิงไม่รู้จักเคล็ดวิชาอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็ยังใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย
ณ ห้องยิม
เขาปล่อยให้ฟางหยวนฝึกจวงกงอยู่สักครู่แล้วบ่นออกมา “ช้าเกินไป!”
มันเป็นเวลาสามเดือนแล้วนับตั้งแต่ฟางหยวนเริ่มฝึกจวงกง แต่เธอยังไม่ถึงขั้นมั่นคงเลย ไม่เหมือนเขาที่บรรลุขั้นมั่นคงได้รวดเร็วหลังฝึกฝนจวงกงช่วงสั้นๆ จวงกงเขาถึงขั้นบรรลุขั้นหนักแน่นก่อนมหาลัยเปิดภาคเรียน
ฟางหยวนรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม เธอบุ้ยปาก “หนูยังต้องไปโรงเรียน แถมยังมีเรื่องแผงลอยอีก…”
ฟางผิงตัดบท “เลิกพูดถึงเรื่องนี้ได้ไหม?”
จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมา “น้องกินยาเติมเต็มเลือดและลมปราณหมดยัง?”
“ไม่มีทางหมดเร็วๆนี้หรอก ยังเหลืออีก 10 เม็ดแน่ะ”
ฟางหยวนไม่ได้กินยาเติมเต็มเลือดและลมปราณ 10 เม็ดที่ฟางผิงทิ้งไว้ให้เธอก่อนหน้านี้
เธอไม่ชอบกิน เหตุผลนึงคือเธอจะสูญเสียความอยากอาหารไปสองสามวันทุกครั้งที่กิน นอกจากนี้เป็นเพราะยามีราคาแพงเกินไป เธอจึงทำใจกินไม่ลง
ฟางผิงคิดเล็กน้อยแล้วพูด “กินยาเติมเต็มเลือดและลมปราณ 1 เม็ดต่อ 5 วัน อย่าฝึกจวงกงชุ่ยๆ ให้ฝึกฝนต่อแล้วบรรลุขั้นยืนมั่นคงให้ได้โดยเร็ว”
“พี่จะให้ยาปราณและเลือดอีก 3 เม็ดหลังกินยาเติมเต็มเลือดและลมปราณหมด พอน้องบรรลุจวงกงขั้นมั่นคง น้องถึงจะกินยาอันใหม่ได้ ยาอันใหม่น้องกินหนึ่งเม็ดต่อเดือนและฝึกฝนแบบนี้ไปจนถึงสิ้นปี”
“ระดับปราณและเลือดน้องน่าจะราวๆ 110แคลแล้ว…”
“จริงเหรอ?”
ฟางหยวนไม่เคยตรวจสอบปราณและเลือดมาก่อน เธอจึงมีความสุขมากเมื่อได้ยินว่าปราณและเลือดเธอมาถึง 110แคลแล้ว
ฟางผิงดับความมั่นใจเธอทันที “110แคลสูงขนาดนั้นเลย? อย่าเอาตัวเองเทียบกับคนธรรมดา ในโม๋อู่มีคนมากมายที่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธตั้งแต่เข้ามหาลัย แถมยังมีผู้ฝึกยุทธที่ขัดเกลาสองครั้งด้วย!” “ปราณและเลือดของพวกเขาต่างก็สูงกว่า 200แคล!”
“ด้วยความเร็วของน้อง เนื่องจากยิ่งปราณและเลือดเยอะก็ยิ่งเพิ่มยาก น้องใช้เวลาสามปีจนถึงมัธยมปลายปีสาม ปราณและเลือดของน้องก็อาจไม่สูงเท่าคนอื่น”
“และน้องยังต้องกินยาเพื่อเติมเต็มปราณและเลือด…”
ฟางผิงไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูด ราคาค่ายาสามปีเป็นจำนวนมหาศาลยิ่ง
ถ้าเขาอยากให้น้องสาวขัดเกลาสองครั้งก่อนสอบเข้ามหาลัย ราคาค่ายาที่ต้องเสียไปจะเป็นจำนวนหลายล้านหยวน
“200แคล?”
ฟางหยวนช็อค มันมากกว่าฟางผิงเสียอีก!
เธอยังจำได้ว่าฟางผิงมีปราณและเลือด 149แคลตอนตรวจสอบปราณและเลือดครั้งก่อน ก่อนหน้านี้เธอคิดว่ามันยอดเยี่ยมแล้วแต่ตอนนี้เธอลองคิดอีกที มันดูเหมือนไม่น่าประทับใจเท่าไหร่
ฟางผิงไม่ได้สนใจว่าเธอกำลังคิดอะไร เขาลังเล “นอกจากจวงกง ที่จริงน้องเริ่มฝึกเคล็ดเสริมสร้างได้…”
“ช่างมันเถอะ เราจะรอจนกว่าน้องได้เรียนทั่วไปศึกษาของวิชายุทธ”
นอกจากนี้เกี่ยวกับการสอนเคล็ดเสริมสร้าง มีคนชี้แนะอยู่ข้างๆจะดีกว่า แต่มันต้องถอดเสื้อออก
แม้ว่าฟางหยวนจะยังเด็ก แต่อะไรหลีกเลี่ยงได้ก็ต้องหลีกเลี่ยง รอให้ได้พบกับหลิวรั่วฉีอีกครั้ง ฟางผิงจะวางแผนไปขอให้หลิวรั่วฉีช่วยชี้แนะให้น้องสาว
เนื่องจากฟางหยวนไม่เข้าใจเรื่องอย่างเส้นลมปราณ มันอาจไม่ใช่เรื่องดีที่ให้เธอฝึกฝนเร็วนัก
เมื่อเห็นถึงความตื่นเต้นของฟางหยวน ฟางผิงก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวกับตัวเอง “อย่าสอนเคล็ดวิชาต่อสู้ให้เธอเลยดีกว่า เด็กน้อยคนนี้ ให้ไปเป็นผู้ฝึกยุทธทั่วไปก็ไม่เลวนัก”
ผู้ฝึกยุทธทั่วไปมีสถานะในสังคม แม้ว่าพวกเขาจะต้องพึ่งพาตนเองเพื่อทรัพยากร กระนั้นมันก็ปลอดภัยกว่าและมีอิสระมากกว่า
นอกจากนี้ด้วยนิสัยซุกซนของฟางหยวน ฟางผิงกลัวว่าถ้าเธอเรียนเคล็ดวิชายุทธ เธอจะไปก่อปัญหาเอา
‘ถ้าฟางหยวนกลายเป็นผู้ฝึกยุทธทั่วไป เธอก็จะมีสถานะทางสังคมและไม่จำเป็นต้องเสี่ยงนัก ต่อให้ฉันประสบปัญหาเข้าสักวัน ครอบครัวก็ยังได้รับการคุ้มครอง…’
ฟางผิงหัวเราะกับตัวเองครู่นึง เขารู้สึกเหมือนกำลังแช่งตัวเอง อย่างไรก็ตามการคิดแผนสำรองไว้ก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม
ยิ่งเข้าสู่วงการยุทธลึกลงเท่าไหร่ ฟางผิงก็รู้สึกว่าวงการยุทธอันตรายกว่าที่เขาคิดไว้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น