World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 120 ประลองระดับประเทศ
ฟางผิงไม่ได้คุยกับฟู่ชางติ่งนานนักก่อนจะออกจากห้อง 15
จากนั้นเขาก็ได้พบกับสาวๆสองสามคนบนทางเดิน
ฟางผิงยังไม่ชินกับสาวๆที่อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย โชคดีที่ทุกคนอยู่ห้องคนเดียวและมีห้องน้ำในตัว ไม่งั้นเขาคงอายเกินกว่าจะออกห้อง
เพราะเหตุนี้ นักศึกษามหาลัยจึงขาดประสบการณ์บางอย่างไป
พวกเขาไม่มีเพื่อนร่วมห้อง ไม่มีผู้ชายใส่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินไปทั่ว
มีสาวๆไม่น้อยที่อาศัยอยู่เขตหนึ่ง แต่มีสาวๆไม่มากนักที่อาศัยอยู่บนชั้นสอง ฟางผิงรู้จักสาวๆที่กำลังเดินมาทางเขา
จ้าวเสวี่ยเหมย หยางเสี่ยวม่าน เฉินหยุนซี ทั้งสามเป็นสาวๆที่แข็งแกร่งที่สุดของปีนี้
จ้าวเสวี่ยเหมยทักทายฟางผิงด้วยรอยยิ้ม ส่วนหยางเสี่ยวม่านยังคงทำตัวเหินห่าง เฉินหยุนซีเว้นระยะห่างกับฟางผิงอย่างระมัดระวัง
ตัดสินจากความหวาดกลัวที่แสดงอยู่บนใบหน้า เธอต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่ชมรมวิถียุทธแน่นอน
ฟางผิงเอียงคอและเข้าห้องไปโดยไม่ได้พูดอะไร
จากนั้นก็มีอีกคนปรากฏตัวบนทางเดิน จ้าวเหล่ยชำเลืองมองฟางผิงที่กำลังกลับเข้าห้องแล้วกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว “ฟางผิงแย่จริงๆ เห็นผู้หญิงถือกระเป๋าเดินทางก็ไม่เข้าไปช่วย”
สาวๆพึ่งกลับมาจากบ้าน พวกเธอจึงถือกระเป๋ามาพะรุงพะรัง
ขณะที่เขาพูด เขาก็ก้าวเข้ามาถือกระเป๋าของเฉินหยุนซีและหยางเสี่ยวม่าน เขาเผยรอยยิ้มออกมา “ครั้งหน้าถ้ามีอะไร พวกเธอมาขอให้ฉันช่วยก็ได้”
เขากล่าวกับหยางเสี่ยวม่าน “เรามีอาจารย์คนเดียวกัน อยากให้ช่วยอะไรไม่ต้องลังเลหรอก”
หยางเสี่ยวม่านเม้มปากไม่ตอบ จ้าวเสวี่ยเหมยกล่าวอย่างเคืองๆ “ทำไมนายไม่ช่วยฉันถือกระเป๋า?”
จ้าวเหล่ยยิ้มแห้ง “มือฉันเต็มแล้ว…”
เขาถือกระเป๋าใบนึงในแต่ละข้าง ดังนั้นเขาจึงแบกกระเป๋าเพิ่มไม่ได้อีก
เขาไม่ลืมเตือนเธอ “เธอกับฟางผิงมีอาจารย์คนเดียวกัน เขาเลือดเย็นมาก”
เขากับหยางเสี่ยวม่านเป็นศิษย์ถังเฟิง ส่วนจ้าวเสวี่ยเหมยกับฟางผิงเป็นศิษย์หลู่เฟิ่งโหรว กลับกันเฉินหยุนซีเป็นศิษย์ของไป๋ลั่วซี
จ้าวเสวี่ยเหมยกลอกตามองบน เธอไม่สนใจเขาอีก
พวกเขาต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ ไม่ว่ากระเป๋าจะหนักแค่ไหน พวกเขาก็แทบไม่รู้สึกถึงน้ำหนักด้วยซ้ำ
จ้าวเสวี่ยเหมยชินกับการถูกปฏิบัติแบบนี้แล้ว เมื่อไหร่ที่เธออยู่กับพวกหยางเสี่ยวม่าน พวกผู้ชายก็จะมาตามจีบหยางเสี่ยวม่านกับเฉินหยุนซี ส่วนเธอเป็นแค่ตัวประกอบ
จ้าวเสวี่ยเหมยรู้ว่าจ้าวเหล่ยไม่ค่อยชอบฟางผิง และมันก็อาจเป็นเพราะเขาเคยถูกฟางผิงทุบตีมาก่อน
จ้าวเหล่ยกล้าพูดไม่ดีกับคนอื่นเพราะเขามั่นใจในตนเอง
เขาขัดเกลากระดูกเสร็จไปแล้ว 40 ชิ้นก่อนวันหยุด ตอนนี้ไม่กี่วันให้หลัง เขาก็ขัดเกลากระดูกเสร็จไปแล้ว 41 ชิ้น
จ้าวเหล่ยแค้นเคืองฟางผิง เพราะเขาถูกแย่งชื่อ’ราชาเด็กใหม่’ไป แถมยังถูกฟางผิงข้ามหน้าข้ามตา
แม้ว่าเขาจะทำผลงานได้ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่มีใครเรียกเขาแบบนั้นเลย แม้แต่ตอนที่ฟางผิงเก็บตัวก็ตาม
เขาเป็นเด็กวัยรุ่นอายุสิบแปดปี ไม่ว่าเขาจะดูโตเป็นผู้ใหญ่แค่ไหน จ้าวเหล่ยก็มักจะรู้สึกไม่พอใจมากที่มีคนนำหน้าเขา เขาแสดงความไม่พอใจออกมาเช่นกัน
จ้าวเสวี่ยเหมยอยากกระทืบเขาสักรอบเหมือนอย่างที่ฟางผิงเคยทำ แต่หลังพิจารณาเล็กน้อย เธอก็ไม่ได้ทำ
เธอยังคงเงียบ อย่างไรก็ตามหยางเสี่ยวม่านพูดขึ้นมา “จ้าวเหล่ย นายได้ข่าวเรื่องคลาสฝึกพิเศษไหม?”
“ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน”
จ้าวเหล่ยพยักหน้าแล้วพูดขึ้นมา “มหาลัยของเราจะเปิดคลาสฝึกพิเศษไหม?”
“น่าจะเปิดนะ ฉันโทรถามอาจารย์ก่อนมามหาลัยแล้ว อาจารย์บอกว่าทางมหาลัยจะเปิดคลาสฝึกพิเศษและกำลังหารือเรื่องเกณฑ์การคัดเลือก”
“มีแต่นักศึกษาชั้นยอดเท่านั้นที่เข้าคลาสฝึกพิเศษได้ นายไม่มีปัญหาหรอก”
“ฟางผิงก็น่าจะมีสิทธิ์เหมือนกัน จ้าวเหล่ย นี่เป็นโอกาสที่นายจะได้แก้แค้นความอัปยศที่เราประสบมาตอนมหาลัยเปิด…”
แววตาของจ้าวเหล่ยเปลี่ยนไป แต่ภายนอกเขายังมีรอยยิ้มอยู่ “อัปยศอะไรกัน? ทุกคนสู้กันเพื่อเลือกอาจารย์และสาขาเรียน การปะทะกันหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว”
หยางเสี่ยวม่านยิ้ม เธอไม่ได้เจาะลึกต่อ เธอพูดออกมาลวกๆ “ถ้ามีแต่นักศึกษาที่เก่งที่สุดถูกเลือกเข้าคลาสฝึกพิเศษ งั้นมันต้องมีการแบ่งกลุ่มนักศึกษาตามคุณสมบัติ ฉันได้ยินว่านักศึกษาในคลาสฝึกพิเศษจะได้คะแนนเพิ่มเช่นกัน ถ้าจำเป็นเราอาจต้องประลองกัน”
พวกเขาคุยกันจนเดินมาถึงหน้าห้องหยางเสี่ยวม่าน
หยางเสี่ยวม่านรับกระเป๋าจากมือจ้าวเหล่ยแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้าวเหล่ย ถึงแล้ว ขอบใจ นายไปเถอะ” จ้าวเหล่ยไม่ได้แสดงท่าทีอยากเข้าไปห้องของเธอ เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “โอเค ฉันขอตัวก่อน ถ้ามีอะไรก็โทรมาหาฉันได้นะ”
“โอเค”
…..
หลังจ้าวเหล่ยเดินจากไป ทั้งกลุ่มก็เข้าห้อง จ้าวเสวี่ยเหมยขมวดคิ้ว “เสี่ยวม่าน เธอยั่วยุจ้าวเหล่ยทำไม?”
หยางเสี่ยวม่านกล่าวอย่างเฉยเมย “ฉันน่ะเหรอ?”
“ไม่ว่าฉันจะทำหรือไม่ แต่จ้าวเหล่ยจะท้าฟางผิงประลองเมื่อคลาสฝึกพิเศษเริ่มขึ้่น เขาไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก ทำไมเขาต้องท้าฟางผิงประลองเพียงเพราะคำพูดของฉันด้วยล่ะ?”
“ปล่อยไปเถอะ ให้พวกเขาสู้กันเอง พวกเขาทำฉันไม่สบอารมณ์ตั้งแต่เข้ามหาลัยแล้ว”
จ้าวเสวี่ยเหมยพึมพำ “ไม่ว่ายังไงอย่าไปยั่วโมโหฟางผิงก็พอ ที่จริงฉันยังลืมเรื่องที่พึ่งเกิดไปไม่ได้เลย ปกติเขาจะดูเป็นคนเรียบร้อยอ่อนโยนแท้ๆ”
“ตอนเราฝึกด้วยกัน เขาไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ แต่เขาดูค่อนข้างเป็นคนดี”
“แต่ใครจะรู้ล่ะ…ใครจะรู้ล่ะว่าเขาจะโหดเหี้ยมขนาดนั้น”
“ฉันไม่อยากยั่วโมโหเขา จะดีที่สุดถ้าเธอไม่ยั่วโมโหเขาเหมือนกัน”
เฉินหยุนซีที่อยู่ข้างๆพยักหน้าหงึกๆ เธอกล่าวเสียงเบา “เสี่ยวม่านเราไม่ยุ่งกับเขาอาจดีกว่า เรื่องที่เกิดก็เกิดไปแล้ว เธอแค่ถูกโจมตีที่หน้าอก มันไม่มีอะไรมาก…”
หยางเสี่ยวม่านกัดฟันกรอดๆ “เธอไม่โดนหนิ เธอก็พูดได้สิ!”
“เจ้าหมอนี่ไม่ได้โจมตีฉันแค่ครั้งเดียว เขาทั้งเตะทั้งต่อยฉัน 3-4 ครั้ง!”
“หน้าอกฉันบวมไปหมด!”
“หลังผ่านไปหลายวันมันก็ยังไม่หายบวมเลย…” จ้าวเสวี่ยเหมยเม้มปาก “ดีแล้วหนิ มันจะได้ดูใหญ่ขึ้น…”
“ตาย!”
หยางเสี่ยวม่านระเบิด ถามเธอยังว่าเธอต้องการไหม?
เธอกับจ้าวเหล่ยเป็นกองกำลังหลักที่เข้าประมือกับฟางผิง เขามุ่งเน้นโจมตีไปที่ส่วนที่ไม่อาจอธิบายได้ของเธอไม่หยุด เธอโกรธมากจนยิ้มไม่ออกทั้งวัน
…..
โดยปกติแล้วผู้หญิงมีความผูกพยาบาท แต่ฟางผิงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
ฟางผิงยังคงเก็บตัวเหมือนเดิม
หลังวันหยุด โม๋อู่ก็เริ่มคลาสเรียนอย่างเป็นทางการวันที่ 6
ถังเฟิงอาจารย์ของพวกเขาได้ประกาศข่าวนึง
“โม๋อู่เปิดคลาสฝึกพิเศษให้เด็กใหม่!” “เกณฑ์มีดังนี้ : เด็กใหม่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธลงสมัครได้ เราจะยอมรับ 50 คน”
“คลาสจะมีอาจารย์มีสอนห้าท่าน ฉัน อาจารย์หลัวอี้ชวน หลูเฟิ่งโหรว สวี่เจี้ยนโจว และโจวสือผิง เราจะชี้แนะนักศึกษาหลังเลิกเรียน”
“คณบดีจะเข้าร่วมด้วยเป็นบางครั้ง และอาจมาบรรยายให้ฟังด้วยเช่นกัน”
“คนที่เข้าคลาสพิเศษจะได้รับรางวัล 10 คะแนน ถ้าใครทำผลงานได้ดีจะได้รับรางวัลด้วยเช่นกัน”
หลังการประกาศของถังเฟิง ทั้งห้องเรียนก็โกลาหล
คาบเรียนนี้เป็นการบรรยายที่เข้าร่วมกันหลายห้อง
มีนักศึกษาอยู่กันมากมาย ผู้ฝึกยุทธปีหนึ่งเกือบทุกคนมาเข้าเรียนคาบนี้
10 คะแนนไม่ได้มาก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ในคลาสจะมีอาจารย์ขั้นหก 5 คนมาชี้แนะแม้แต่คณบดีที่อยู่ระดับปรมาจารย์ก็อาจมาสอนเป็นระยะๆ
สำหรับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งแล้ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้รับคำชี้แนะจากผู้ฝึกยุทธขั้นหก นับประสาอะไรกับระดับปรมาจารย์
มีอาจารย์ขั้นหก 5 คนเท่านั้นที่เป็นอาจารย์ของนักศึกษาปีหนึ่ง พวกเขารับศิษย์ประมาณ 20 คน
แต่มีนักศึกษาใหม่ 1600 คน ส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะคุยกับยอดยุทธขั้นหก
หลังถังเฟิงพูดจบ ก็มีคนเอ่ยถาม “อาจารย์ถัง ผู้สมัครต้องเป็นผู้ฝึกยุทธเหรอ?”
“เตรียมผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้งก็มีสิทธิ์เหมือนกัน”
“อาจารย์ถัง คลาสฝึกพิเศษมีไว้เพื่ออะไรครับ?”
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีแหล่งข่าวส่วนตัว หลายคนไม่รู้เหตุผลของการเปิดคลาสฝึกพิเศษด้วยซ้ำ ถังเฟิงยิ้ม “เพื่อฝึกฝนการต่อสู้จริงให้นักศึกษาและเพื่อเกียรติยศของมหาลัย!”
“สิ้นปีนี้ มหาลัยวิชายุทธทุกแห่งจะมารวมตัวกันเพื่อจัดการประลอง”
“พวกเธอควรทราบว่างานแบบนี้เคยถูกจัดมาก่อน แต่มันถูกจัดในขอบเขตเล็กๆ ยกตัวอย่างมหาลัยวิชายุทธในเซี่ยงไฮ้ก็เคยจัดการประลองเล็กๆขึ้นมา”
“อย่างไรก็ตาม การประลองระดับมณฑลมีน้อยมาก ไม่ต้องพูดถึงระดับประเทศเลย”
“ในฐานะสถาบันวิชายุทธชั้นนำ โม๋อู่ต้องเข้าร่วมการประลองระดับประเทศที่กำลังจะจัดขึ้นแน่นอน เราต้องได้อันดับดีๆด้วย!”
“แม้ว่าต้องเจอกับมหาลัยวิชายุทธปักกิ่ง เราก็ต้องคว้าชัยชนะมาให้ได้ นี่เป็นคำสั่งของมหาลัย!”
“การประลองระดับประเทศ?”
“เราต้องสู้กับนักศึกษาจิงอู่?” “ฉันได้ยินมาว่าคนจากทางเหนือดุร้ายสุดๆ ถ้าเราสู้กับพวกเขา เราจะไม่บาดเจ็บเอาเหรอ?”
“…”
นักศึกษาเริ่มคุยกัน อย่างไรก็ตามทุกคนแค่พูดกันถึงจิงอู่ พวกเขาไม่ได้สนใจการประลองระดับประเทศ พวกเขามองว่ามหาลัยวิชายุทธแห่งอื่นด้อยกว่าพวกเขา
ไม่มีใครสู้เพื่อเป็นอันดับหนึ่งในโลกแห่งศิลป์ อย่างไรก็ตามในยุทธภพ ไม่มีใครอยากได้ที่สอง
มหาลัยสังคมศาสตร์แห่งไหนเป็นอันดับหนึ่ง แห่งไหนเป็นอันดับสอง มันพูดได้ยาก
มันต่างกันเมื่อเป็นมหาลัยวิชายุทธ
โม๋อู่กับจิงอู่เคยแลกเปลี่ยนกันมาก่อน และโม๋อู่ก็แพ้มากกว่าชนะ แม้ว่าทั้งสองมหาลัยจะอยู่เหนือมหาลัยอื่นอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ในสายตาของประชาชน จิงอู่มีชื่อเสียงมากกว่าโม๋อู่เล็กน้อย ไม่มีการจัดอันดับอย่างเป็นทางการของมหาลัยวิชายุทธ แต่อินเตอร์เน็ตและคนส่วนใหญ่จัดอันดับกันเองแล้ว
จิงอู่คือที่หนึ่ง ส่วนโม๋อู่เป็นที่สอง
ฟางผิงที่เงียบมาตลอดเอ่ยถามขึ้นมากระทันหัน “อาจารย์ถัง ถ้าเราเข้าคลาสพิเศษ เราต้องเข้าร่วมการประลองเหรอ?”
ถังเฟิงหันมามองเขาแล้วยิ้ม “ไม่หรอก มีนักศึกษา 50 คนในคลาสพิเศษ แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ร่วมการประลอง”
“ยังไม่ได้กำหนดจำนวนเจาะจง แต่โดยปกติจะมี 10 คน”
“พูดอีกอย่างก็คือ การเข้าคลาสพิเศษไม่ได้รับประกันว่าจะได้เข้าร่วมการประลอง”
“ดีเลย”
ฟางผิงไม่มีคำถามอื่นอีก เขาจึงนิ่งเงียบไป
ถ้าไม่ได้บังคับเข้าร่วมการประลอง เขาจะเข้าแน่นอน 10 คะแนนค่อนข้างมากเลย มันใช้แลกยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งได้หนึ่งเม็ด
หลังฟางผิงได้รับคำตอบ จ้าวเหล่ยก็ขัดจังหวะเสียงดัง “อาจารย์ มีแค่ 50 คนที่ถูกเลือก อย่างไรก็ตามมีผู้ฝึกยุทธประมาณ 100 คน เราจะคัดเลือกคนยังไง?”
ถังเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “การคัดเลือกคนจะดำเนินการโดยอิงปราณและเลือดรวมถึงความคืบหน้าการขัดเกลากระดูกและการเรียนรู้เคล็ดวิชายุทธ”
“เราจะมีโอกาสได้สู้ไหม?”
“ตอนนี้ยัง แต่เธอจะมีโอกาสได้ประมือกันเมื่อเข้าคลาสฝึกพิเศษ”
โม๋อู่กำลังดำเนินการคัดเลือกเบื้องต้นเท่านั้น พวกเขาไม่ได้ข้ามไปเรื่องต่อสู้เลย เพราะนักศึกษาเป็นมือใหม่ที่ไม่ผ่านการฝึกฝน
จ้าวเหล่ยดูผิดหวัง เขาใช้หางตาชำเลืองมองฟางผิง
ฟู่ชางติ่งพึมพำอยู่ข้างๆฟางผิง “เจ้าหมอนั่นมองนาย!” ฟางผิงไม่ได้สนใจ เขากล่าวอย่างเฉยเมย “อย่าไปสนใจเขา อย่าปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวของนายมาขัดจิตใจและปณิธาน เราควรสนใจเมื่อเราจะได้ประโยชน์ ไม่งั้นฉันไม่สนใจเลย”
ฟางผิงจะลองเข้าคลาสพิเศษแน่นอน เพราะดูท่าแล้วเขาน่าจะได้ประโยชน์
ไม่งั้นเขาจะไม่เข้าไปยุ่งแน่ Aileen-novel
ส่วนการเข้าร่วมการประลองมันขึ้นอยู่กับเขาจะได้ประโยชน์แค่ไหน และมันคุ้มค่าหรือไม่
ถ้าผลประโยชน์มากพอให้เขาเสี่ยงชีวิต เขาก็จะร่วมการประลอง แม้ว่าเขาจะกลัวตายก็ตาม
ถ้าผลประโยชน์ไม่พอ งั้นเขาจะแกล้งตาย ทางมหาลัยบังคับใครเข้าร่วมไม่ได้ ไม่งั้นถ้าคนๆนั้นขึ้นไปยอมแพ้บนเวที โม๋อู่เสียหน้าแย่
อันที่จริงแล้วฟางผิงพอเดาได้ ผลประโยชน์ของการเข้าร่วมการประลอง รางวัลต้องมีไม่น้อย ดังนั้นเขาจะลองดูก่อนค่อยตัดสินใจ อย่างไรก็ตามเขาจำเป็นต้องเข้าคลาสพิเศษก่อน เขาจะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
…..
การลงทะเบียนคลาสพิเศษเริ่มขึ้นหลังถังเฟิงประกาศ
ผู้ฝึกยุทธและเตรียมผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้งเกือบทุกคนต่างก็ลงทะเบียน
จากการคำนวณแล้ว มีจำนวนมากกว่า 140 คน!
ตอนเข้ามหาลัยตอนแรก มีผู้ฝึกยุทธไม่ถึง 60 คนด้วยซ้ำ ตอนนี้จำนวนเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า!
มหาลัยวิชายุทธมีประสิทธิภาพยิ่ง หลังทุกคนลงทะเบียน ทางมหาลัยจะคัดเลือกคนในวันพรุ่งนี้ ฟางผิงไม่ได้กังวลเลย เขารู้สึกว่าเขาได้เข้าแน่นอน
นักศึกษาทั่วไปไม่ทราบเรื่องการประลองของเขาในชมรมวิถียุทธ แต่ทางมหาลัยต้องทราบแน่นอน นักศึกษาสองคนได้เสียชีวิตในการประลองครั้งนั้น
ฟางผิงไม่ได้อ่อนแอ ไม่มีเหตุผลที่เขาจะถูกคัดออกในเมื่อพวกเขาต้องคัดเลือกคนมากถึง 50 คน
…..
ตอนกลางคืน
ณ โรงฝึก
หลู่เฟิ่งโหรวมือไขว้หลังเอ่ยถาม “ลงทะเบียนคลาสฝึกพิเศษกันแล้วใช่ไหม?”
“อืม”
“ลงทะเบียนแล้วค่ะ”
ทั้งคู่ตอบ
“ฉันคิดว่าการแบ่งสรรทรัพยากรจะตัดสินจากฝ่ายบริหารของมหาลัยหรือถกกันระหว่างปรมาจารย์”
“ฉันไม่คิดเลยว่ามันจะขึ้นอยู่กับผลงานของนักศึกษาใหม่แต่ละมหาลัย”
หลู่เฟิ่งโหรวรู้เหตุผลของการตัดสินใจครั้งนี้ หลังคิดเล็กน้อยเธอก็กล่าวขึ้น “เหลือเวลาอีกสามเดือนกว่าจะถึงสิ้นเทอม”
“สามเดือนไม่ได้นาน แต่ก็ไม่ได้สั้น”
“พันธมิตรมหาลัยวิชายุทธรู้ถึงความแข็งแกร่งของสองมหาลัยดัง แต่ก็ยังกล้าจัดการประลอง พวกเขามีความมั่นใจมาก”
“มหาลัยวิชายุทธทั่วไปไม่ได้อยู่ในสายตาของนักศึกษาปีหนึ่งส่วนใหญ่ พวกเขาคิดตื้นเกินไป”
“มหาลัยวิชายุทธ ไม่ว่าจะดูธรรมดาแค่ไหน พวกเขาก็มีปรมาจารย์อยู่เบื้องหลัง จำนวนทรัพยากรของมหาลัยต้องการนั้นเทียบไม่ได้กับของบุคคลหรือแม้แต่ของครอบครัว”
“ในมหาลัยวิชายุทธสิบแห่ง มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่บ่มเพาะอัจฉริยะได้ ที่จริงมันค่อนข้างมากแล้ว” “มันค่อนข้างยากที่จะไปถึงขั้นสองในสามเดือน แต่ขั้นหนึ่งเป็นแค่เรื่องง่ายๆ”
“เมื่อทุกคนอยู่ขั้่นหนึ่ง นายจะประลองกันโดยอาศัยศักยภาพพื้นฐาน ปราณและเลือด ความคืบหน้าการขัดเกลากระดูก จวงกง และเคล็ดวิชายุทธ ไม่ต้องพูดถึงประสบการณ์ต่อสู้จริง”
“อย่าดูถูกอัจฉริยะจากมหาลัยวิชายุทธทั่วไป ถ้าดูถูก นายจบแน่”
“อีกอย่างอย่าดูแคลนมหาลัยวิชายุทธที่ลำดับชั้นต่ำกว่าเชียวล่ะ”
“ถ้าพวกเขาร่วมประลอง เป็นหนึ่งในสี่กลุ่ม มันก็หมายความว่าพวกเขามีความคิดบางอย่างเหมือนกัน…”
ฟางผิงพึมพำ “อาจารย์ บางทีเราไม่ได้ร่วมการประลองก็ได้”
หลู่เฟิ่งโหรวแสดงท่าทีดูถูก “นายไม่ใช่คนเดียวที่คิดแบบนั้น แต่ถ้านายเข้าคลาสฝึกพิเศษ นายคิดว่านายจะมีความคิดเป็นของตัวเองเหรอ?”
“แน่นอน มหาลัยไม่บังคับ”
“แต่เมื่อผลประโยชน์ถูกปล่อยออกรวมกับคำพูดล้างสมองและกระตุ้นศักดิ์ศรี ทั้งหมดนี้รวมเข้ากับความเย้ายวนของชื่อเสียง…”
“จะมีกี่คนเชียวที่ต้านทานได้?”
“พอถึงเวลานั้น ทุกคนจะแย่งกันเข้าร่วม!”
เมื่อคำว่า’ล้างสมอง’ออกจากปากหลู่เฟิ่งโหรว ฟางผิงก็หัวเราะเล็กน้อย แต่เมื่อเขาเก็บมาคิดดู เขาก็อดเห็นด้วยไม่ได้
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้พูดอะไรมาก หลังอธิบายง่ายๆ เธอก็หันมามองฟางผิง “นายก้าวหน้าเร็วจริงๆ ฉันได้ยินว่าตอนนี้นายขาดเงิน คะแนนก็หมด นายคิดจะรับภารกิจไหม?”
ที่จริงฟางผิงไม่ได้ขาดเงินและค่าทรัพย์สิน อย่างไรก็ตามเขาก็ยังพยักหน้า “ผมอยากดูก่อนว่ามีภารกิจอะไรบ้างค่อยตัดสินใจ”
“ได้”
“ตามมา!”
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเดินออกนอกประตูโดยมีฟางผิงรีบเดินตามไป ข้างๆเขาจ้าวเสวี่ยเหมยกัดฟันเดินตามมาด้วยเช่นกัน