World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 124 .2คลาสฝึกพิเศษคาบเรียนแรก (2)
คำพูดของฟู่ชางติ่งดังขึ้นมาซ้ำๆในใจ ฟางผิงรู้สึกขุ่นเคือง ยิ่งเขาพยายามลืม เขาก็ยิ่งจำได้
‘มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ครั้งหน้าถ้าฉันมีโอกาส ฉันจะสอนบทเรียนให้ทั้งคู่แน่ ฟู่ชางติ่ง หยางเสี่ยวม่าน เราจะได้เห็นกัน’
ณ อาคารเรียน 6
เมื่อคลาสฝึกพิเศษเริ่มขึ้นครั้งแรก ทางมหาลัยก็ได้มอบอาคารเรียน 6 ทั้งหลังให้โดยเฉพาะเลย
แม้จะมีนักศึกษาเพียง 50 คนอยู่ในคลาสนี้ แต่ทางมหาลัยก็ไม่สน ในเวลาไม่นาน วิชาที่ตอนแรกสอนในอาคารเรียน 6 ก็ถูกเปลี่ยนเป็นห้องเรียนอื่นทันที
สองสามเดือนต่อจากนี้ อาคารเรียน 6 จะเป็นอาคารของคลาสฝึกพิเศษอย่างเป็นทางการ
ณ ห้องเรียนที่ใหญ่ที่สุดในอาคารเรียน 6
เมื่อฟางผิงและคนอื่นๆมาถึง พวกเขาก็เห็นอาจารย์รออยู่ในห้องแล้ว
อาจารย์ไม่ใช่ถังเฟิง ไม่ใช่อาจารย์ขั้นหกคนอื่นๆ แต่เป็นไป๋รั่วซี เธอเคยสร้างความประทับใจให้ฟางผิง
เธอเป็นหญิงแกร่งขั้นห้าสูงสุด ซึ่งถ้าเทียบกับหลู่เฟิ่งโหรว เธอยังเด็กกว่ามาก
ตอนมหาลัยพึ่งเปิดภาคเรียน นักศึกษาชายส่วนใหญ่อยากได้เธอเป็นอาจารย์ อย่างไรก็ตามน่าเสียดายเกินไปที่ไป๋รั่วซีรับเฉพาะศิษย์หญิง ในบรรดาลูกศิษย์เธอ เฉินหยุนซีเป็นหนึ่งในนั้น
วันก่อน ถังเฟิงบอกว่าจะมีอาจารย์ขั้นหกมาชี้แนะพวกเขา ไม่มีใครคิดเลยว่าคาบแรกจะสอนโดยไป๋รั่วซี
ไป๋รั่วซีดูอายุราวๆสามสิบปี แต่อายุจริงๆของเธออาจแก่กว่านั้นไม่กี่ปี
ด้วยการผสมผสานกันระหว่างรูปลักษณ์ดุจเทพเซียนและเป็นผู้ฝึกกระบี่ เธอจึงมีรัศมีเลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ ความรู้สึกสูงส่งแผ่ออกมา ดวงหน้างดงามอ่อนช้อย ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะเป็นที่นิยมของนักศึกษา
ฟู่ชางติ่งตื่นเต้นมากเมื่อเห็นไป๋รั่วซี เขาโห่ร้อง “เทพธิดาเป็นอาจารย์นี่เอง! ฉันไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะมีโอกาสเรียนกับเธอ ฉันสงสัยจัง ฉันจะมีโอกาสได้เรียนกระบี่กับเธอส่วนตัวไหมนะ…”
“นายเอาจริงดิ?”
ฟางผิงหมดคำจะพูด ‘มันจำเป็นด้วยเหรอ? เธอเป็นผู้หญิงวัยสามสิบ เธออาจแต่งงานมีลูกแล้ว ฉันละอยากเห็นสีหน้าเขาจริงๆเมื่อได้รู้ว่าลูกเธอแก่กว่าเขาอีก!’
ฟู่ชางติ่งย่อมไม่สนใจความเห็นเขา เพราะเขากำลังจดจ่ออยู่กับไป๋รั่วซี เด็กผู้ชายคนอื่นๆก็มีอาการไม่ต่างกัน
เมื่อทุกคนเดินเข้ามาและนั่งลง เธอจึงพูดขึ้นมาในที่สุด เธอมีรอยยิ้มอบอุ่นอยู่บนใบหน้า “วันนี้ถือเป็นคลาสฝึกพิเศษวันแรกของพวกเธอ วันนี้อาจารย์เป็นผู้สอนเอง”
“คลาสฝึกพิเศษมีทั้งคาบวิชายุทธและคาบความรู้ทั่วไป” ไอลีนโนเวล
“อาจารย์ถังและอาจารย์ท่านอื่นๆจะยุ่งๆกันสองสามวันนี้ ดังนั้นอาจารย์จะมาสอนวิชาความรู้ทั่วไปเอง”
“ทั้งวิชายุทธและความรู้ทั่วไป?”
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้นทั้งห้อง
วันๆพวกเขาก็ยุ่งกันพอแล้ว เพราะพวกเขาต้องเรียนทั้งวัฒนธรรมศึกษาและทั่วไปศึกษาในช่วงเช้า
พวกเขาคิด ‘ช่วงกลางคืนควรเน้นพัฒนาความสามารถเชิงยุทธไม่ใช่เหรอ?’
ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าพวกเขาต้องเรียนทั่วไปศึกษาด้วย พวกเขาไม่ตายกันเหรอ?
ไป๋รั่วซียิ้ม “ไม่ต้องห่วง ทั่วไปศึกษาในคลาสฝึกพิเศษจะต่างออกไปเล็กน้อย จะไม่มีการจดหรือสอบข้อเขียน สบายใจได้”
“อย่างไรก็ตาม มีสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องทำก่อนเริ่มคาบเรียน”
ไป๋รั่วซีหยิบกองเอกสารจากบนโพเดียมแล้วพูด “นี่คือข้อตกลงรักษาความลับและจดหมายรับผิดชอบ”
“ทุกอย่างที่เธอได้เรียนในคลาสฝึกพิเศษและทุกอย่างที่เธอได้ยินจะต้องเก็บไว้เป็นความลับ ไม่อาจปล่อยให้หลุดไปจากห้องเรียนนี้ได้!”
“จดหมายรับผิดชอบคือเอกสารสัญญาที่เกี่ยวกับชีวิตและความตาย เมื่อเรายอมเข้าคลาสฝึกพิเศษ เราก็ต้องตกลงยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เสี่ยงต่อชีวิต”
“มันมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับบาดเจ็บร้ายแรงหรือกระทั่งเสียชีวิต ทุกคนจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง”
“แน่นอนถ้ายอมรับเงื่อนไขไม่ได้ พวกเธอจะถอนตัวก็ได้”
“สถานการณ์เป็นตาย?”
ส่วนใหญ่ไม่คิดมากกับข้อตกลงรักษาความลับ แต่จดหมายรับผิดชอบทำให้บางคนหน้าซีดเผือด
ไป๋รั่วซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเดิม “โม๋อู่จะไม่ตัดสินใจแทนพวกเธอ เนื่องจากทุกคนเป็นนักศึกษาใหม่ เราจะให้โอกาสพวกเธอได้เลือกว่ายังอยากเรียนอยู่ไหม”
“กลับกัน ถ้าพวกเธอเป็นนักศึกษาเก่า อาจารย์ไม่จำเป็นต้องเตือนพวกเธอเลย”
“อาจารย์เดาว่าบางคนคงรู้อยู่แล้วว่ามีนักศึกษาโม๋อู่เสียชีวิตทุกปี ไม่ว่าจะเป็นจากการฝึกหรืออะไรก็ตาม”
“สำหรับพวกเขา จดหมายรับผิดชอบเป็นข้อกำหนดพื้นฐานที่ไม่จำเป็นต้องพูดถึง”
“อย่างไรก็ตามทุกคนที่มากันในวันนี้จะต้องเลือกชะตาของตนเอง ถ้าใครอยากถอนตัวก็ออกไปได้เลย”
ในหมู่นักศึกษา บางคนก็ลังเล บางคนก็ครุ่นคิด อย่างไรก็ตามสุดท้ายก็ไม่มีใครถอนตัว
แค่ลงทะเบียนเข้าคลาสพิเศษ พวกเขาก็ได้รับรางวัล 10 คะแนนแล้ว เมื่อคิดว่าพวกเขาต้องคืนคะแนนก็ทำให้พวกเขาไม่อยากถอนตัวแล้ว
เมื่อพวกเขาไม่ได้รับผลประโยชน์ แล้วพวกเขาจะอยู่เหนือผู้อื่นได้อย่างไร?
…..
หลังส่งข้อตกลงรักษาความลับและจดหมายรับผิดชอบให้ทุกคน เหล่านักศึกษาก็เซ็นสัญญาบนแบบฟอร์ม
ฟางผิงอ่านรายละเอียดทั้งหมด หลังมั่นใจว่าเงื่อนไขเป็นไปตามที่ไป๋รั่วซีอธิบายไว้จริงๆ เขาก็เซ็นเอกสารเช่นกัน
เมื่อนักศึกษาทุกคนเซ็นเอกสารเสร็จ ไป๋รั่วซีก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ทำดีมาก อาจารย์คิดอยู่แล้วว่านักศึกษาโม๋อู่มีคุณสมบัติ”
“ตอนนี้อาจารย์ขอเริ่มคลาสฝึกพิเศษคาบแรกอย่างเป็นทางการ!”
หลังพูดจบประโยค ไป๋รั่วซีก็เดินกลับไปที่โพเดียมแล้วพูด “อาจารย์เชื่อว่าทุกคนเคยเรียนประวัติศาสตร์มาก่อน ใครบอกได้บ้างว่าผู้ฝึกยุทธออกมาสู่สายตาสาธารณะเมื่อใด?”
“ปี 1921!”
มีคนตอบขึ้นมาทันที “จนกระทั่งปี 1921 แนวคิดของผู้ฝึกยุทธแพร่กระจายแบบปากต่อปากเท่านั้น หลายคนคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ”
“ในเดือนมกราคมปีนั้น รัฐบาลประเทศจีนได้ส่งโทรเลขไปโลกภายนอกและประชาสัมพันธ์ตัวตนของผู้ฝึกยุทธผ่านทางหนังสือพิมพ์”
“จากนั้นพวกเขาก็เริ่มรวมตัวกันเพื่อคัดเลือกผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุด”
“ในปีเดียวกันรัฐบาลได้ตัดสินใจก่อตั้งสมาคมวิถียุทธปักกิ่งขึ้นมาอย่างเป็นทางการ…ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมหาลัยวิชายุทธปักกิ่งที่เรารู้จักกัน”
“สมาคมวิถียุทธปักกิ่งเป็นมหาลัยวิชายุทธสาธารณะแห่งแรกที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากประเทศจีน หลังจากได้รับการแต่งตั้ง ก็ได้มีการเปิดรับสมัครนักศึกษาทั่วประเทศ”
“ในปีนั้น สมาคมวิถียุทธปักกิ่งได้รับนักศึกษาครั้งแรกทั้งหมด 181 คน…”
นักศึกษาที่ตอบคำถามเธอรู้ประวัติศาสตร์เป็นอย่างดีถึงขนาดอธิบายตัวเลขได้อย่างคล่องแคล่ว
ไป๋รั่วซีพอใจกับคำตอบอย่างยิ่ง เธอพยักหน้าและพูด “เป็นคำตอบที่แม่นยำมาก! ผู้ฝึกยุทธได้รับการยอมรับต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1921!”
“มีมรดกและการถ่ายทอดของผู้ฝึกยุทธมายาวนาน ในอดีตจะเป็นการถ่ายทอดวิชาในรูปแบบศิษย์อาจารย์ นิกาย พรรค และสถาบันวิชายุทธ…”
“ทั้งหมดนี้ถือเป็นกลุ่มขนาดเล็ก ยกตัวอย่างอาจารย์คนนึงกับลูกศิษย์ 3-4 คนจะถือเป็นนิกายยุทธ”
“อย่างไรก็ตามรูปแบบการสอนเช่นนี้ค่อยๆถูกกำจัดออกไปหลังก่อตั้งสมาคมวิถียุทธปักกิ่ง”
“และตอนนี้ มันถูกพัฒนาจนกลายมาเป็นมหาลัยวิชายุทธ”
“ปัจจุบันนี้ มีมหาลัยวิชายุทธเฉพาะทางทั้งหมด 18 แห่งในประเทศจีนและมหาลัย 81 แห่งที่มีคณะวิชายุทธ สรุปแล้วมีมหาลัยวิชายุทธทั้งหมด 99 แห่งทั่วประเทศ!”
ไป๋รั่วซีพูดต่อ “มหาลัยวิชายุทธปักกิ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาลัยวิชายุทธที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศซึ่งมีประวัติมานานกว่า 87 ปี”
“กลับกัน ประวัติของโม๋อู่สั้นกว่ามาก เราถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1949 และปีนี้ก็เป็นปีที่ 59 “
“แต่ที่จริงแล้ว มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในปี 1920 ซึ่งทำให้ผู้ฝึกยุทธเผยโฉมออกมาและก่อตั้งสมาคมวิถียุทธปักกิ่งขึ้นมา”
“อาจารย์คิดว่าพวกเธอส่วนใหญ่คงไม่รู้ว่าเหตุการณ์นั้นคืออะไร มีใครอยากลองเดาดูไหม?”
ทุกคนมีสีหน้าโง่งม ส่วนใหญ่รู้ประวัติศาสตร์ปี 1921 แต่พวกเขาต่างก็สงสัยว่าเหตุการณ์สำคัญปี 1920 คืออะไร
ทุกคนต่างก็สับสน แต่ฟางผิงไตร่ตรองอยู่พักนึง หลังจากครุ่นคิดสักครู่ ฟางผิงก็ลองเดาว่า “ปี 1920 เกิดภัยพิบัติธรรมชาติขึ้นในหลายๆที่ มีทั้งภัยแล้ง น้ำท่วมและแผ่นดินไหว”
“ในเดือนธันวาคมปีนั้น เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศจีนจนมีผู้บาดเจ็บล้มตายหลายแสนคน”
ไป๋รั่วซีชำเลืองมองเขาและพยักหน้าเล็กน้อย “ถูกต้อง มันเป็นเพราะเรื่องนั้น!”
“เมื่อแผ่นดินไหวในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือสิ้นสุดลงตอนเดือนธันวาคม รัฐบาลได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธสู่โลกภายนอก พวกเขาเริ่มวางแผนฝึกวิชายุทธจำนวนมากในเดือนมกราคม ดังนั้นมหาลัยวิชายุทธปักกิ่งจึงถือกำเนิดขึ้นมา”
นัยน์ตาดำของฟางผิงหดตัวลงราวกับว่าเขาเข้าถึงความจริงลึกขึ้นไปอีกระดับนึง!
ไป๋รั่วซีพูดต่อ “ดังนั้นการก่อตั้งและขยายมหาลัยวิชายุทธแห่งอื่นๆล้วนเกี่ยวข้องกับภัยพิบัติธรรมชาติ”
“นับจากนั้นมา จำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนมหาลัยวิชายุทธก็เพิ่มขึ้นมาตลอด ตอนแรกเริ่ม มีนักศึกษาอยู่ 181 คน จากนั้นก็เป็น 1800 คน และตอนนี้มีนักศึกษาสมัครเข้ามหาลัยวิชายุทธในแต่ละปีถึง 20000-30000 คน”
“ปัจจุบัน มีจำนวนนักศึกษาทั้งหมดทั่วประเทศเกือบหนึ่งแสนคน!”
“จำนวนนักศึกษาวิชายุทธที่จบการศึกษาก็เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าจำนวนจะไม่ได้สูงขนาดนี้เสมอ แต่คำนวณในรอบ 50 ปี แม้ว่าจะไม่มากถึง 20000-30000 คนต่อปี แต่เฉลี่ยแล้วอย่างน้อยก็มีถึงหนึ่งหมื่นต่อปี”
“หลังผ่านกาลเวลามา ไม่รวมคนที่ล่วงลับไปแล้ว มหาลัยวิชายุทธได้ฝึกฝนนักศึกษาให้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธมาแล้วกว่า 600000 คน!”
“และตัวเลขทั้งหมดนี้เป็นแค่มหาลัยวิชายุทธเท่านั้น ถ้าเกิดเรานับรวมคนที่ฝึกฝนมาจากกองทัพและกรมสืบสวนหรือคอสฝึกฝนวิชายุทธ จะมีมากกว่านั้นอีก…”
“ถ้าเรานับรวมทั้งหมด จำนวนผู้ฝึกยุทธทั้งหมดในประเทศจีนควรมีอย่างน้อย 2 ล้านคน”
“แต่ที่จริงแล้ว จำนวนผู้ฝึกยุทธจริงๆจะน้อยกว่านี้”
“แน่นอน แม้ผู้ฝึกยุทธนับล้านจะน้อย แต่ถ้ามีผู้ฝึกยุทธมากเกินไป มันก็จะด้อยค่าลง คำถามคือ ทำไมผู้ฝึกยุทธถึงยังมีสถานะเช่นนี้อยู่ล่ะ?”
“มีใครคิดเรื่องนี้ไหม?”
“มันเป็นเพราะผู้ฝึกยุทธมีความแข็งแกร่งมากกว่าอย่างเดียวงั้นเหรอ?”
“แน่นอนว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง แต่คำตอบไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น มีใครเคยคิดลึกลงไปบ้างไหม?”
“นอกจากนี้มีใครสงสัยไหมว่าทำไมรัฐบาลถึงเปิดเผยข่าวเกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธในปี 1921? ทำไมพวกเขาถึงอยากสนับสนุนให้คนกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ?”
“นานมาแล้ว ผู้ฝึกยุทธเป็นผู้ที่ใช้ความรุนแรงจัดการเจ้าหน้าที่ กระทำขัดต่อกฎหมาย!”
“ดังนั้น ด้วยความคิดของผู้มีอำนาจ ถ้าพวกเขาอยากมีอำนาจ ตัวตนของผู้ฝึกยุทธจะต้องค่อยๆหายไปในหน้าประวัติศาสตร์ ที่จริงแล้วก่อนปี 1921 ตัวตนของผู้ฝึกยุทธจืดจางลงถึงขีดสุด”
“ในเวลานั้น จำนวนผู้ฝึกยุทธทั้งประเทศมีไม่ถึงหมื่นคน”
“ถ้าสถานการณ์ดำเนินต่อไปอีกสักสิบปีโดยที่รัฐบาลไม่มีมาตรการใดๆ ผู้ฝึกยุทธจหายไปในที่สุด เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าความเจริญก้าวหน้าของประเทศจะเป็นสัดส่วนตรงกันข้ามกับตัวตนของผู้ฝึกยุทธ”
“ถ้าการถ่ายทอดวิชายุทธเป็นเหมือนเมื่อก่อน ปัจจุบันคงมีผู้ฝึกยุทธไม่ถึงพันคนที่ยังสืบทอดมรดกเอาไว้ อย่าลืมกรณีที่เลวร้ายที่สุด ผู้ฝึกยุทธอาจเลือนหายไปโดยสมบูรณ์”
“แล้วทำไมรัฐบาลถึงเปิดเผยและสนับสนุนผู้ฝึกยุทธล่ะ? นอกจากนี้ทำไมสถานะของผู้ฝึกยุทธถึงสูงขึ้นล่ะ?”
ไป๋รั่วซีถามคำถามแล้วคำถามเล่า หลายคนรู้สึกสงสัยและอยากถามคำถาม แต่พวกเขาไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี