World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 129.2 รู้สึกเสียใจ (2)
ขณะที่พวกเขาเดินไป ฟางผิงก็หัวเราะแห้งๆ “พี่ชาย อาจารย์ผมแค่ล้อเล่นเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องเปิดหนังสยองขวัญด้วยหรอก”
เสี่ยวจ้าวส่ายหน้าทันที “ผมไม่คิดแบบนั้นนะ ถ้าเธอต้องการหนังน่ากลัวๆ งั้นผมก็จะทำตาม น้องชายอย่ากลัวเลย คนพวกนั้นตายแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก”
“มันแค่น่ากลัวนิดหน่อย มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ…”
ฟางผิงอยู่เงียบๆ มันไม่มีอะไรเลย แค่พูดน่ะพูดง่าย
โชคดีที่ตอนนี้ไม่ใช่ตอนกลางคืน แถมยังมีคนมากมายอยู่รอบๆ เขาจึงไม่กังวลมากนัก
ยิ่งพวกเขาเดินไปลึกเท่าไหร่ คนรอบข้างก็น้อยลงยิ่งขึ้น แถมสถานที่ก็มืดสลัวลง แสงจากไฟเบาบางลงมาก
ฟางผิงรู้สึกหวั่นๆเล็กน้อย มันต้องตั้งใจแน่เลยใช่มั้ย?
หลังเดินมาสองสามนาที เขาก็ไม่ได้ยินเสียงโห่ร้องจากฝั่งหน้าอีก เสี่ยวจ้าวพาฟางผิงมาที่ห้องนึงและหยุดเดิน
มีการ์ดสองคนกำลังยืนอยู่นอกประตู
เมื่อทั้งสองเห็นเสี่ยวจ้าว พวกเขาก็ทักทายทันที “พี่จ้าว”
“อืม ไม่มีใครจัดการศพใช่ไหม?”
“ครับ”
“ดี พาน้องชายคนนี้เข้าไป เปิดทีวีด้านใน เปิด‘ผีกักวิญญาณ’แล้วหรี่ไฟลง”
“พอทำงานเสร็จ จะไปไหนก็ไป ตามกฎเดิม”
เสี่ยวจ้าวสั่งการอย่างเป็นธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำแบบนี้
การ์ดสองคนอมยิ้มจ้องมองฟางผิง พวกเขาเดินเข้าไปเตรียมการข้างในโดยไม่เสียเวลาเปล่า
ไม่นาน พวกเขาก็ออกมาแล้วหัวเราะเบาๆ “เสร็จแล้ว”
“น้องชาย เข้าไปเลย”
เสี่ยวจ้าวมองฟางผิงด้วยรอยยิ้มกว้าง
ฟางผิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขากัดฟันเดินเข้าไปข้างใน
เขาพึ่งก้าวเข้าไป ประตูก็ปิดใส่ทันที เขาไม่มีเวลาพิจารณาสถานการณ์ตรงหน้าด้วยซ้ำ
“น้องชาย พวกเราไปก่อนนะ ถ้าเดี๋ยวมีใครตายอีก เราจะตะโกนเรียกเอง ไม่เป็นไรหรอก เราทำธุรกิจมาหลายปี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีศพไหนที่ลุกมาหลอกคน…”
เขาพูดไม่ทันจบ แต่เสียงฝีเท้าดังแผ่วลงและห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
ฟางผิงไม่มีแรงจะบ่น หลู่เฟิ่งโหรวมีความคิดพาเขามาสถานที่ที่น่ากลัวแบบนี้ได้ยังไงกัน!
ในที่สุดฟางผิงก็มีเวลาสังเกตผังห้อง
ห้องไม่ได้กว้างมาก มันกว้างประมาณ 50 ตารางเมตรเท่านั้น
มีเตียง 6 เตียงเรียงติดกัน มีคน…ศพนอนอยู่ทั้งหมด 3 เตียง!
คนที่ถูกตีตายตอนที่ฟางผิงพึ่งมาถึงก็อยู่ด้วยเช่นกัน อยู่ข้างๆเขาด้วย!
นอกจากเตียง ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากโทรทัศน์ที่ติดอยู่บนผนัง ซึ่งตอนนี้กำลังเล่นหนังอยู่
ทั้งสามศพดูน่ากลัวมาก มันไม่ได้มีอะไรมาปิดไว้ แถมยังมีกลิ่นเลือดคละคลุ้ง
ฟางผิงเหลือบมองจากหางตา และสังเกตเห็นว่าดวงตายังเบิกกว้างอยู่ เขาไม่มั่นใจว่าพวกเขาอยู่สภาพนี้แต่แรกแล้วหรือว่าสองคนเมื่อกี้เป็นคนทำ!
“บ้าเอ้ย มันจำเป็นด้วยเหรอ?”
ฟางผิงสบถในใจ ตอนนี้มีเพียงแสงไฟอ่อนๆจากหลอดไฟอันเล็กเป็นแหล่งกำเนิดแสงเพียงอันเดียวในห้องนี้ นอกจากนี้ก็มีเพียงแสงไฟสลัวๆจากหน้าจอโทรทัศน์เท่านั้น
ฟางผิงรู้สึกขนหัวลุกเล็กน้อย
การทุบตีคนตายกับการเฝ้าศพเป็นคนละเรื่องกันเลย
ตอนสังหารใครสักคน ฆาตกรอาจไม่สะดุ้งสะเทือนเลยก็ได้ อย่างไรก็ตามถ้าฆาตกรต้องอยู่กับศพทั้งคืน เขาอาจกลัวแทบตายเลยก็ได้
“ผมไม่ได้เป็นคนฆ่าคุณนะ ผมแค่มาดูเฉยๆ…”
ฟางผิงพึมพำกับตัวเอง พยายามรวบรวมความกล้า
เวลานั้นเองก็มีเสียงน่าขนลุกดังมาจากในทีวี ฟางผิงสบถอีกครั้ง “แกจะหลอกใครกัน? ไม่มีใครกลัวเรื่องหลอกเด็กแบบนี้หรอก…เชี่ย!”
หลังเขาพูดจบ ผีหน้าโชกเชือดก็ปรากฏขึ้นในทีวีอย่างฉับพลัน
ฟางผิงกลัวจนแทบสติหลุด หลังสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาก็พยายามพูดกับตัวเอง “อาจารย์ก็ทำเกินไป จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้จริงเหรอ?”
…..
นอกห้อง ในอีกห้องนึงที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร
เสี่ยวจ้าวและการ์ดอีกสองคนกำลังสูบบุหรี่คุยกัน หนึ่งในการ์ดร่างกำยำทั้งสองกล่าว “แค่ดูฉันก็บอกได้เลยว่าเด็กหนุ่มบอบบางจากมหาลัยวิชายุทธ มาเดากัน นายว่าเขาจะอยู่ได้นานแค่ไหน?”
“ครึ่งชั่วโมง?” ไอลีนโนเวล
“ฉันว่าเขาคงยอมแพ้ในสิบนาที”
“พนันกันไหม? เคยมีนักศึกษาวิชายุทธคนอื่นที่มาก่อนเขาที่มาฝึกความกล้าที่นี่ บางคนก็ถึงกี่ฉี่ราด”
“พูดตามตรง ฉันไม่เข้าใจ ทำไมรัฐบาลถึงสนับสนุนเด็กมหาลัยพวกนี้กัน!”
“ถ้าโยนพวกเขาขึ้นสนาม ฉันรับประกันเลยว่าพวกเขาจะตายทันที!”
เสี่ยวจ้าวส่ายหน้าเบาๆ “อย่าดูถูกอัจฉริยะเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีใครขึ้นสนามมาก่อน หลังผ่านสามรอบแรกไปได้ พวกเขาจะเก่งขึ้นทันตาเลยแหละ”
“พอพวกเขากล้าหาญขึ้น มีประสบการณ์มากพอ เด็กพวกนี้ก็จะแข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างทาบไม่ติด!”
“เมื่อรวมกับปราณและเลือดที่สูงเยี่ยมกับเคล็ดฝึกฝนที่แข็งแกร่ง แม้แต่ผู้ฝึกยุทธทั่วไปก็เทียบพวกเขาไม่ได้”
“ลูกพี่พูดถูก น่าเสียดายที่เราลงทะเบียนมหาลัยวิชายุทธไม่ได้”
ชายคนนั้นถอนหายใจ จากนั้นเขาก็ฉีกยิ้ม “นี่เป็นเรื่องอนาคต เด็กน้อยมาใหม่ยังไม่แข็งแกร่งนัก มาพูดเรื่องนี้กันต่อเถอะ จากที่ฉันเห็น เขาอาจเป็นนักศึกษาใหม่อยู่ นายคิดว่าเขาจะกลัวจนวิ่งออกมาไหม?”
“ฉันไม่รู้”
“ฉันวางแผนเซอไพรส์เขาไว้แล้ว เดี๋ยวเขาต้องฉี่ราดกางเกงมาแน่!”
เสี่ยวจ้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย “นายทำอะไรไป?”
“ไม่มีอะไรครับ แค่เล่นขำๆเล็กน้อย เดี๋ยวศพจะเด้งตัวขึ้นมา ลูกพี่คิดว่าเขาจะร้องไห้ไหม?”
“ไร้สาระ!”
…
ขณะที่คนเหล่านี้กำลังคุยกัน ฟางผิงก็ค่อยๆสงบลง
“มันก็แค่ศพ แถมฉันไม่ได้ฆ่าพวกเขาด้วย”
“นอกจากนี้ ความสามารถฉันเพิ่มขึ้นเร็วมาก คนพวกนี้ต่อให้มีชีวิต ฉันก็ฆ่าพวกเขาได้อย่างง่ายดาย!”
ฟางผิงพึมพำ เขาไม่กลัวเหมือนตอนแรกแล้ว
ฟางผิงปรายตามองศพ เขาถึงกับมีความกล้าเข้าไปตรวจสอบศพอีกด้วย เขาพึมพำ “ขัดเกลาแขน แขนขวาหนาและแข็งแกร่ง กระดูกแข็งแรง เขาต้องขัดเกลาเสร็จแล้วแน่นอน”
“ดูเหมือนแขนซ้ายจะยังขัดเกลาไม่เสร็จ น่าจะขัดเกลาไปแล้วประมาณ 35-40 ชิ้น บางทีอาจไม่เกิน 50 ชิ้น”
“คนนี้ก็ขัดเกลากระดูกแขนเหมือนกัน”
“ส่วนคนนี้ขัดเกลากระดูกขา”
“กระดูกทะลุออกมา ความสามารถอีกฝ่ายต้องแข็งแกร่งพอหักกระดูกที่ผ่านการขัดเกลามาแล้ว”
“เขาต้องถูกสังหารด้วยหมัด จุดตายคือลำคอ หมัดทำลายกล่องเสียงเขาเป็นเสี่ยงๆ…”
ฟางผิงเริ่มวิเคราะห์ ในมหาลัยวิชายุทธ มีคาบเรียนแบบนี้ด้วยเช่นกัน
ส่วนใหญ่เป็นการวิเคราะห์จุดตาย รวมไปถึงการหักล้างวิชาต่อสู้
หลังสังเกตไปได้สักพัก ฟางผิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นกับศพนี้? จุดตายไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาตายได้ยังไง?”
หลังจากลังเลอยู่ครู่นึง ฟางผิงก็เริ่มคลำศพที่สองที่ดูค่อนข้างสมบูรณ์ เขาอดกลั้นอาการสะอิดสะเอียนแล้วพูด “กระดูกอกหัก อวัยวะภายในถูกกระดูกอกทิ่ม เสียเลือดมากไป”
“ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งมีจุดตายถึงชีวิตมากกว่า พอถึงขั้นสาม ขัดเกลากระดูกอกเสร็จ จุดตายจะน้อยลงมาก”
“ต่อให้ถูกหมัดต่อยใส่อก ความเสียหายก็ไม่ร้ายแรง ถ้าเขาโชคดีอวัยวะภายในไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาจะโต้กลับได้ด้วยซ้ำ”
สิ้นเสียงพูด ฟางผิงก็สะดุ้ง รีบก้าวถอยกลับไป!
ศพผุดลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน หัวใจฟางผิงแทบหยุดเต้น เขาเงื้อมขาเตะกวาดเข้าใส่โดยไม่คิดซ้ำสอง!
“ปัง!”
ศพถูกเตะไปไกล ฟางผิงชะงักไปเสี้ยววิก่อนจะตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “อ่อนหัด!”
เมื่อกี้เขาตกใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความสามารถสวนกลับไป เขากวาดขาเตะไปโดยสัญชาตญาณ
เมื่อเขาเห็นศพนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เขาก็รู้ว่ามีคนเล่นตลกใส่เขา
“อย่าโทษฉันเลย ฉันไม่ได้ตั้งใจเตะคุณ”
ฟางผิงพึมพำขอโทษ จากนั้นเขาก็ยกศพกลับมาที่เตียง
“เฮ้อ ผู้ฝึกยุทธ น่าเศร้าจริงๆ”
ฟางผิงถอนหายใจ เขาไม่รู้ว่าคนพวกนี้ดีหรือเลว แต่ตอนนี้แม้ว่าพวกเขาจะตายไปแล้ว พวกเขาก็ยังถูกควบคุม
คิดแล้วมันน่าเศร้าจริงๆ
ในสายตาของคนธรรมดา ผู้ฝึกยุทธดูสูงส่ง เมื่อพวกเขาเข้าสู่โลกแห่งยุทธจริงๆ พวกเขาถึงตระหนักว่าผู้ฝึกยุทธที่ไม่มีความสามารถมีชีวิตย่ำแย่กว่าคนธรรมดาอีก
“ถ้าฉันไม่อยากให้วันนี้มาถึง ไม่อยากให้ร่างกายถูกโยนทิ้งในป่า ไม่อยากตายในถ้ำใต้ดิน งั้นฉันก็ต้องเพิ่มความสามารถให้เร็วที่สุด”
“ฉันไม่อาจใช้ชีวิตโดยไม่มองภาพรวม ถ้าเกิดอะไรขึ้นในถ้ำใต้ดินก็ไม่มีใครหนีรอดไปได้”
“ฉันจะรออีกหน่อย เมื่อฉันขัดเกลากระดูกขาเสร็จ ฉันจะเริ่มรับภารกิจ ฉันจะชักช้าอีกไม่ได้แล้ว”
ฟางผิงพึมพำกับตัวเอง การพึมพำครั้งนี้ไม่ใช่ปลอบใจตัวเองให้กลัวน้อยลง แต่เป็นเพราะเขาเริ่มวางแผนอนาคตแล้ว
เจตนาของหลู่เฟิ่งโหรวคือการเพิ่มความกล้าให้ลูกศิษย์ แต่สำหรับฟางผิงมันอาจไม่เป็นประโยชน์นัก
อย่างไรก็ตามเมื่อฟางผิงเห็นการเสียชีวิตที่น่าสังเวชของเหล่าผู้ฝึกยุทธ แม้แต่หลังเสียชีวิตไปแล้ว พวกเขาก็ถูกใช้ฝึกฝนผู้ฝึกยุทธคนอื่น ฟางผิงก็รู้สึกเสียใจกับพวกเขา
‘เราเป็นมนุษย์เหมือนกัน เราจะตัดสินได้ยังไงว่าใครสูงส่งเหนือกว่าใคร?’