World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 147.2 ขั้นหนึ่งสูงสุด (2)
ขณะที่พวกเขาคุยกัน ฟู่ชางติ่งกับพวกก็เดินเข้ามา เมื่อพวกเขาเดินเข้ามา ฟู่ชางติ่งก็หัวเราะ “ฉันบอกนายแล้วว่าฟางผิงมาเดท นายดันไม่เชื่อ!”
ฟางผิงถลึงตาใส่ เขาพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ดูเหมือนครึ่งเดือนมานี้นายจะก้าวหน้าไปมากเลยนะ นายตัวพองขึ้นเชียว!”
ฟู่ชางติ่งไม่ได้อ้อมค้อมเช่นกัน เขายิ้มกว้าง “ใช่ ฉันก้าวหน้าขึ้นมาก แต่ฉันไม่ได้ตัวพองขึ้น นายลองไปทดสอบจ้าวเหล่ยก่อน เขาต่างหากที่ตัวพองขึ้น”
“ให้ฉันพักเถอะ”
ฟางผิงเชิญเขานั่ง มันเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นเรื่องยากที่ทุกคนจะได้พักผ่อน ดังนั้นทุกคนจึงออกมาผ่อนคลายกันบ้าง
นักศึกษาที่มากับฟู่ชางติ่งล้วนเป็นคนจากคลาสฝึกพิเศษ
ฟู่ชางติ่งเป็นคนชอบเผือกที่มีข้อมูลวงในมากมาย
ไม่นาน ฟางผิงก็รู้ว่าคนอื่นๆก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างมากในตลอดครึ่งเดือนมานี้
จ้าวเหล่ยขัดเกลากระดูกไป 59 ชิ้นแล้ว อย่างช้าที่สุดเขาจะบรรลุขั้นหนึ่งสูงสุดตอนสิ้นเดือน นอกจากนี้สหายผู้นี้เหมือนจะฝึกฝนวิชาต่อสู้ชนิดใหม่เช่นกัน เขาไม่มั่นใจว่าเป็นวิชาขั้นต่ำหรือขั้นกลาง
หยางเสี่ยวม่านก็เร็วพอๆกัน เธอขัดเกลากระดูกไปแล้ว 58 ชิ้นเท่ากับฟู่ชางติ่ง
ฟู่ชางติ่งไม่รู้ว่าเฉินหยุนซีกำลังทำอะไร เธอเป็นคนพูดน้อยและไม่ค่อยได้คุยกับพวกเขาเท่าไหร่
“ถ้าแบบนั้น ในสิ้นเดือนนี้พวกนายหลายคนจะบรรลุขั้นหนึ่งสูงสุดสินะ?”
“ใช่ มันเป็นไปได้”
ฟู่ชางติ่งยิ้ม “แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุขั้นสอง ที่ขั้นหนึ่งสูงสุด ปราณและเลือดยังต้องใช้เวลาหล่อเลี้ยงสักพัก ต้องให้ทั้งร่างกายและปราณและเลือดบรรลุสภาวะสูงสุด บวกกับไม่มีประโยชน์ที่จะรีบทะลวงขั้น”
“ถ้ารีบทะลวงขั้นสองโดยที่ไม่ได้ขัดเกลากระดูกเพิ่ม มันก็ไม่ต่างอะไรกับขั้นหนึ่งสูงสุด ทำไมไม่เอาเวลาไปฝึกวิชาต่อสู้เอา จะได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้”
เมื่อเข้าถึงขั้นสอง ถ้าไม่ได้ขัดเกลากระดูก นอกจากเพิ่มขีดจำกัดปราณและเลือดเล็กน้อย มันไม่มีประโยชน์อะไรนัก
ยิ่งกว่านั้นมันต้องใช้เวลาทำให้พลังเสถียร ถ้าทะลวงกะทันหัน มันก็พูดยากว่าจะแข็งแกร่งกว่าตอนนี้ไหม
คนเหล่านี้เลือกที่จะไม่ทะลวงก่อนวันประลอง ได้ไม่คุ้มเสีย
อย่างไรก็ตามหลังปิดเทอมฤดูหนาว เมื่อทุกคนกลับมหาลัย หลายคนอาจบรรลุขั้นสองแล้ว
แต่เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้น
แม้ว่าฟู่ชางติ่งจะไม่ได้พูดถึง แต่ฟางผิงรู้โดยไม่ต้องเอ่ยถาม คนพวกนี้ต้องใช้จ่ายไปมากมาย อย่างน้อยฟู่ชางติ่งก็คะแนนหมดแล้ว ครอบครัวเขายังต้องจ่ายเงินให้อีกก้อนโต
“เฮ้อ ถ้าคราวนี้โม๋อู่ไม่ได้อันดับดีๆ เขาจะขาดทุนหนักแน่”
ฟู่ชางติ่งโอดครวญ มือก็ยกแก้วน้ำผลไม้ดื่ม
สามขั้นล่างสามารถก้าวหน้าด้วยความเร็วแสงหากใช้จ่ายเงินไปมากพอ อย่างไรก็ตามใช้จ่ายเงินมากมายหลายเท่าเพื่อแลกกับการประหยัดเวลาเล็กน้อยมันไม่คุ้มค่านัก
นอกจากนี้ครั้งนี้ยังเป็นเรื่องบังเอิญ ถ้าไม่ใช่เพราะงานประลองที่กระชั้นชิด คนเหล่านี้ก็คงไม่มีทางลงทุนโดยไม่คิดถึงค่าใช้จ่าย
ต่อเมื่อทำผลงานได้ดีและได้รับคะแนนของมหาลัยเท่านั้นถึงจะคุ้มทุน ในขณะเดียวกันพวกเขาจะประหยัดเวลาไปได้ถึงครึ่งปี
หลังโอดครวญ ฟู่ชางติ่งก็เอ่ยถาม “ฟางผิง นายล่ะเป็นไง?”
“ก็ปกติ ฉันพึ่งฝึกวิชาต่อสู้ ไม่มีเวลาบ่มเพาะเลย แถมฉันยังเงินหมดอีก เฮ้อ ฉันไม่เหมือนพวกนาย นายไม่เข้าใจความลำบากของคนจนหรอก”
“ถุ้ย!”
ทุกคนมองเขาอย่างเหยียดหยัน มีใครรวยกว่านายอีก?
อาวุธเป็นอัลลอยคลาสดีทั้งเล่ม!
แม้แต่ฟู่ชางติ่งกับพวกก็ใช้อัลลอยคลาสเอฟ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีปัญญาซื้อ ประเด็นหลักคือพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธอัลลอยระดับสูง
ถ้าผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งใช้อาวุธเกรดดี พวกเขาจะฟันอัลลอยเกรดเอฟได้งั้นเหรอ?
หลู่เฟิ่งโหรวบอกว่าเว้นแต่ฟางผิงจะระเบิดปราณและเลือดได้มากกว่า 50แคลทุกการโจมตีและฟันต่อเนื่องสามครั้ง เขาถึงจะฟันอัลลอยคลาสเอฟได้
ในหมู่ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งที่ยังหยุดอยู่ที่ขั้นหนึ่ง พวกเขาจมปลักกับเคล็ดวิชาต่อสู้มาหลายปีกว่าจะบรรลุความสำเร็จเช่นนี้ได้
“เออใช่ นายคิดว่ามหาลัยอื่นจะมีนักศึกษาใหม่ขั้นสองไหม?”
ฟางผิงถาม
ฟู่ชางติ่งหัวเราะ “ถ้าพวกเขาทะลวงขั้นโดยไม่คิดถึงผลที่ตามมา งั้นมีแน่นอน แต่อย่างที่ฉันบอก คนที่บรรลุขั้นสองตอนนี้เสียมากกว่าได้”
“แถมผู้ฝึกยุทธขั้นสองที่ขัดเกลากระดูกไม่กี่ชิ้นไม่มีประโยชน์เท่าไหร่”
“อย่างน้อยที่สุด ขัดเกลากระดูกเท้ากระดูกมือจนเสร็จ ประสิทธิภาพในการต่อสู้จะเพิ่มขึ้น”
“กระดูกเท้า 26 ชิ้นและกระดูกมือ 27 ชิ้น แต่นายคิดว่าจะมีคนนำหน้าเรามากขนาดนั้นเลย?”
โม๋อู่เป็นมหาลัยของอัจฉริยะ!
ณ ที่แห่งนี้ แม้แต่คนจากสาขาสังคมศาสตร์ก็เป็นอัจฉริยะ
ฟู่ชางติ่งกับพวกที่ขัดเกลากระดูกมากกว่า 50 ชิ้นถือเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ แถมพวกเขายังได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวที่มีฐานะดี!
จิงอู่มีอัจฉริยะเช่นกัน อย่างมากอัจฉริยะพวกนั้นก็เทียบเท่ากับพวกเขาเท่านั้น
บรรลุขั้นสองไม่ได้ยาก อย่างไรก็ตามฟู่ชางติ่งคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนบรรลุขั้นสองแล้วขัดเกลากระดูกนำหน้าพวกเขาไปมากกว่า 20 ชิ้น
ฟู่ชางติ่งพูดต่อ “ฉันรับประกันได้เลยว่าพอถึงตอนนั้น มันก็ยังเป็นการประลองกันระหว่างผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุด ต่อให้มีคนทะลวงสู่ขั้นสอง มันก็ไม่ต่างกันนัก กลับกันเพื่อทะลวงสู่ขั้นสอง มันจะทำให้เสียเวลามากกว่า นายเชื่อไหมต่อให้พวกเขาทะลวงสู่ขั้นสอง พวกเขาก็ไม่เป็นคู่มือเรา?”
ตอนนี้ดูเหมือนการทะลวงสู่ขั้นสองจะเป็นแค่การเสียเวลาเปล่าโดยไม่จำเป็น
การทำให้เส้นชีพจรย่อยไหลเวียนได้อย่างราบรื่นเป็นงานที่ต้องใช้เวลามาก เขาต้องทำให้มั่นใจว่าเส้นชีพจรย่อยไหลเวียนได้อย่างไม่ติดขัดและต้องหล่อเลี้ยงตลอดเวลา เวลาสิบวันสิบห้าวันจะผ่านไปชั่วพริบตา
มันจะคุ้มกว่าถ้าเอาเวลาไปฝึกฝนวิชาต่อสู้
ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงเห็นด้วย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “แปลว่างานประลองให้ความสำคัญกับความสามารถในการควบคุมปราณและเลือด ความคุ้นเคยต่อวิชาต่อสู้รวมไปถึงประสบการณ์ต่อสู้มากกว่างั้นเหรอ?”
“ประมาณนั้นแหละ ยังไงเสียพวกเราก็ยังเด็ก เราใช้เวลาหยุดอยู่ที่ขั้นหนึ่งน้อยเกินไป”
“ไม่เหมือนกับผู้ฝึกยุทธที่หยุดอยู่ที่ขั้นหนึ่งมากว่าสิบปี ปราณและเลือดของพวกเขามาถึงขีดจำกัดแล้ว ร่างกายพวกเขาก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว วิชาต่อสู้ก็ใกล้แล้วเหมือนกัน…”
“พอถึงเวลานั้นมันขึ้นอยู่กับประสบการณ์และโชคมากกว่าตอนนี้”
“แต่เรายังไม่ถึงขีดจำกัด เรายังมีช่องว่างให้พัฒนาอีกมาก”
ฟางผิงพยักหน้าอีกครั้ง เขาคิดในใจ ‘ถ้าฉันขัดเกลากระดูกมือได้อีก 27 ชิ้นใน 20 วัน ฉันจะไม่ได้ที่หนึ่งแน่นอนเลยเหรอ?’
ตอนนี้พึ่งกลางเดือนธันวาคม มีเวลาเกือบหนึ่งเดือนก่อนถึงงานประลอง มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับฟางผิง
กระดูกมือไม่ใหญ่นัก ถ้าเขายอมทุ่มเงินมหาศาล งั้นก็ยังมีหวัง
‘แต่…ฉันว่าอยู่ขั้นหนึ่งดีกว่า ฉันเสริมสร้างปราณและเลือดกับเส้นลมปราณต่อได้ ถ้าฉันบรรลุขั้นสองตอนนี้ ฉันอาจไม่มีโอกาสอื่นอีก’
ฟางผิงลังเลเล็กน้อย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งและคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องเร่งรีบถึงขนาดนั้น
ถ้าเขาฝึกฝนวิชาดาบคลั่งระเบิดเลือดได้ถึงขั้นปลดปล่อยปราณและเลือดได้ 50แคลทุกกระบวนท่า มันก็ไม่ได้แย่ไปกว่าการขัดเกรากระดูกมือ
ยิ่งกว่านั้นเขามีค่าทรัพย์สินเหลือแค่ 11 ล้านเท่านั้น ถ้าเขารีบขัดเกลากระดูกมือตอนนี้และต้องซื้อเม็ดยา ค่าทรัพย์สินเขาหมดแน่
หากไม่มีค่าทรัพย์สิน เขาจะฝึกวิชาสำเร็จได้อย่างไร?
‘ถ้าฉันชนะงานประลองและได้รับคะแนนจากมหาลัย ฉันก็จะมีค่าทรัพย์สินให้ใช้มหาศาล เรื่องขั้นสองควรละไว้ก่อน’
หลังพิจารณาเพิ่มเติม ฟางผิงก็ไม่ได้ถามต่อ เหมือนที่ฟู่ชางติ่งพูด ต่อให้เขาประจันหน้ากับผู้ฝึกยุทธที่เลือกทะลวงขั้นสอง อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คู่มือเขา