World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 149 ผ่อนคลาย ไร้แรงกดดัน
ณ บริษัทตงเซิง
แผนกต้อนรับ
สายตาของฟางผิงจับจ้องมองเว่ยตงเซิงที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับดาบในมือ เขาถามด้วยสีหน้าเย็นชา เว่ยตงเซิง?
ฟางผิง?
พวกเราผู้ฝึกยุทธเหมือนกัน ไม่ต้องอ้อมค้อม เข้าเรื่องเลย
ฟางผิงเปิดประเด็น ถ้าคุณชนะ ดิสแทนซ์จำกัดจะไม่ขยายตัวอีก ถ้าคุณแพ้คุณต้องบริหารบริษัทตงเซิงให้ซื่อสัตย์ขึ้น
เว่ยตงเซิงครุ่นคิดและพูด นายมั่นใจใช่ไหม? นายไม่ได้เป็นขั้นสองด้วยซ้ำ
ไม่สำคัญ สุดท้ายยังไงฉันก็ชนะ!
มันใจดีหนิ ทำไมเราไม่เพิ่มเดิมพันสักหน่อยล่ะ? ถ้าฉันชนะ ดิสแทนซ์จำกัดจะเป็นของฉันแลกกับเงินแปดล้าน ถ้าฉันแพ้ นายจะได้บริษัทตงเซิงของฉันแลกกับเงินสามล้าน
เว่ยตงเซิงหัวเราะเบาๆ บริษัทตงเซิงอาจพึ่งก่อตั้งได้ไม่นาน แต่ฉันลงทุนไปมากกว่าห้าล้านแล้ว เงินสามล้านน่าจะไม่เป็นปัญหากับนายใช่ไหม?
เนื่องจากคุณอยากเดิมพัน งั้นก็ตกลง!
คุณฟาง…
หลี่เฉิงเจ๋อกังวลเล็กน้อย เขาแผดเสียงตะโกนออกมา
ฟางผิงขั้นหนึ่งจะเอาชนะเว่ยตงเซิงขั้นสองได้จริงๆน่ะเหรอ?
แถมเว่ยตงเซิงยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธทั่วไป!
พนักงานบริษัทตงเซิงดูอยากรู้อยากเห็น มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นการเผชิญหน้ากันของสองผู้ฝึกยุทธ
มันตรงไปตรงมาและมีประสิทธิภาพ ไม่มีการพูดจาไร้สาระ ไม่มีการต่อรอง เมื่อพวกเขาพบหน้ากัน พวกเขาก็คุยเงื่อนไขกันทันที บางทีนี่แหละเป็นวิธีที่ผู้ฝึกยุทธตกลงธุรกิจกัน
ฟางผิงหักนิ้วและส่งสัญญาณให้หลี่เฉิงเจ๋อย้ายไปที่ปลอดภัย
หลังมองไปรอบๆ ฟางผิงก็กล่าว ฉันที่ไหนก็ได้ คุณอยากเริ่มที่ไหน?
ที่นี่แหละ!
เว่ยตงเซิงหัวเราะหึๆ ฉันควรให้เวลานายเตรียมตัวไหม?
รอเดี๋ยว! ฟางผิงรับข้อเสนออีกฝ่าย เขาหยิบกล่องไม้ออกมาแล้วประกอบดาบฟ่งจุ่ย
ขณะที่ประกอบดาบ เขาก็คิดว่าเขาอาจต้องการอาวุธระยะประชิดไว้บ้าง บางครั้งในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เขาอาจไม่มีเวลาประกอบอาวุธ
แน่นอนถ้าฉุกเฉิน แม้แต่ด้ามดาบก็ใช้แทนอาวุธได้
เมื่อฟางผิงลุกขึ้นยืนพร้อมดาบในมือ สีหน้าของเว่ยตงเซิงก็จริงจังขึ้นมา เขาชักดาบยาวและโยนฝักทิ้งไป
เว่ยตงเซิงจากมหาลัยครุศาสตร์หัวตง โปรดชี้แนะด้วย!
ฟางผิงจากมหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ ขอคำชี้แนะด้วย!
ผู้ฝึกยุทธทั้งสองคำนับให้แก่กัน เมื่อเว่ยตงเซิงทำนับเสร็จ เขาก็ควงดาบยาวฟันต่ำ เสียงแหวกอากาศดังหวีดหวิว
ก่อนที่ทุกคนจะได้ตั้งตัว พวกเขาก็เห็นเท้าของเว่ยตงเซิงขยับเล็กน้อย เขาถลันตัวไปข้างหน้าอย่างฉับพลัน ประชิดตัวฟางผิงในพริบตา!
สีหน้าของฟางผิงไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ก้าวถอยสักก้าวก็ไม่มี ดาบในมือฟันออกทันทีราวกับสายฟ้า!
เว่ยตงเซิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแรงปะทะ ดาบยาวที่เล็งไปที่คอของฟางผิงตอนแรกถูกรั้งกลับมาและเปลี่ยนเป็นแทงใส่มือฟางผิงที่กำลังถือดาบอยู่
เวลานั้นฟางผิงรีบก้าวถอยเล็กน้อยก่อนจะหลบดาบที่แทงมาเพื่อฟันไปอีกดาบ!
เคร้ง!
เสียงโลหะปะทะกันดังก้อง ที่ทุกคนเห็นก็คือเว่ยตงเซิงถอยไปหลายก้าว ดาบยาวในมือสั่นเทา พวกเขาบอกไม่ได้ว่าอาการสั่นมาจากมือหรือดาบ!
กลับกันฟางผิงนิ่งมาก สถานการณ์ถูกตัดสินด้วยกระบวนท่าเดียว!
ปราณและเลือดสูงมาก!
สีหน้าของเว่ยตงเซิงเปลี่ยนไปไม่น้อย เขาเปลี่ยนกระบวนท่า แทงเข้าที่ศูนย์ถ่วงของดาบฟางผิง ความต้องการคืออยากเบี่ยงดาบฟางผิงออกไป
แต่เมื่อดาบปะทะกัน เขาก็รู้สึกว่าแรงกดดันจากความแข็งแกร่งที่มาจากดาบของฟางผิงที่ไม่ลดลงเลย แถมฟางผิงยังใช้ดาบฟันแหวกเข้าที่หน้าผากจนเว่ยตงเซิงต้องถอยล่นหลบไป
คุณยังไม่ถึงขั้นสองชั้นกลาง?
ฟางผิงขมวดคิ้ว เว่ยตงเซิงอ่อนแอกว่าที่คิด!
เมื่อเขากะความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้แล้ว ฟางผิงก็ทุ่มเต็มกำลัง เขาไม่กวัดแกว่งดาบง้าวในมือเบาๆอีก ดาบในมือไหววูบ รวดเร็วจนทุกคนเห็นเป็นเงาดาบ พวกเขาสัมผัสถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดจนต้องรีบถอยไปเพื่อความปลอดภัย!
เว่ยตงเซิงจนมุม ด้านหลังเขาเป็นสำนักงาน ถ้าเขาก้าวถอยไปอีก เขาคงเหมือนรอให้ตัวเองแพ้อยู่ที่ประตูทางเข้า!
เว่ยตงเซิงกัดฟันกรอด เขาก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว ร่างกายหายวับ หลีกเลี่ยงดาบใหญ่ที่ฟันมาดุจมังกรทะยาน ระยะห่างของพวกเขาหดสั้นลง เตรียมพร้อมออกกระบวนท่าโจมตีฟางผิง!
อย่างไรก็ตามความสงบของฟางผิงยังไม่เปลี่ยนแปลง!
ย้าก!
ฟางผิงส่งเสียงกู่ร้อง ปราณและเลือดระเบิดพลุ่งพล่านทั่วร่างกาย เว่ยตงเซิงพลันสัมผัสถึงแรงกดดันจนฝีเท้าชะงักไป
เวลานั้น ดาบใหญ่ของฟางผิงก็แทบถึงตัวแล้ว!
เว่ยตงเซิงได้ยินเสียงแหวกอากาศ รู้สึกถึงแรงกดดันจากเหนือศีรษะ เขาหน้าถอดสีพยายามปัดป้องอย่างเร่งรีบ
เคร้ง!
เสียงโลหะปะทะกันดังก้องยิ่งกว่าเดิม มือขวาที่ถือดาบยาวของเว่ยตงเซิงไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะ ดาบยาวในมือชะงักไป เงื้อขึ้นเหนือศีรษะไม่ได้
เว่ยตงเซิงอึ้งเกินกว่าจะหลบเลี่ยงการโจมตี เขาได้แต่เฝ้ารอให้ดาบฟันมายังเหนือศีรษะด้วยสายตาหวาดกลัว!
อ้า!
ผู้ชมอดกรีดร้องไม่ได้
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเปลี่ยนกระบวนท่าฉับพลันให้แฉลบออกไปด้านข้าง ดาบหักเลี้ยวออกจากส่วนบนของศีรษะ ฟันเฉี่ยวเข้าที่แก้มของเว่ยตงเซิง!
โลหิตแดงเข้มเปรอะเปื้อนฟันสีขาวสะอาดพุ่งกระอักออกมา เว่ยตงเซิงเซไปด้านหลังหลายก้าวจนชนกับกำแพงถึงจะหยุดลง!
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
ฟางผิงยังคงขมวดคิ้วมุ่น ‘อ่อนแอ อ่อนแอเกินไปแล้ว!’
เว่ยตงเซิงรับกระบวนท่าเต็มแรงเขาไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว เขาไม่ได้ดีไปกว่าเหยาจินเฉิงเลย
แก้มซ้ายของเว่ยตงเซิงเป็นสีแดงเลือด แต่แก้มขวาซีดขาวไม่ต่างจากกระดาษ เม็ดเหงื่อเย็นเหยียบไหลลงจากหน้าผาก
การโจมตีของฟางผิงเมื่อครู่เกือบฟันเขาเป็นสองท่อน!
คนอื่นๆได้แต่มองด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ หลี่เฉิงเจ๋อยืนแน่นิ่งอย่างตกตะลึง ชนะแล้วเหรอ?
สองกระบวนท่า!
ถ้าไม่นับกระบวนท่าแรกที่ฟางผิงใช้ทดสอบอีกฝ่าย เขาเกือบตัดหัวเว่ยตงเซิงในดาบเดียว!
มันไม่ใช่คำพูดเกินจริงเลย ถ้าไม่ใช่เพราะฟางผิงตัดสินใจเปลี่ยนกระบวนท่าในเสี้ยววิ เว่ยตงเซิงคงถูกฟันเป็นสองท่อนไปแล้ว!
คุณไม่เคยทำภารกิจเหรอ?
ฟางผิงถาม
เว่ยตงเซิงสีหน้าเปลี่ยนไป หลังจากนั้นสักครู่เขาก็พึมพำเบาๆ ฉันพึ่งทะลวงขั้นสองตอนปีสี่
ขั้นสองในปีสี่? มันเป็นเรื่องปกติที่นักศึกษาขั้นหนึ่งจะเลือกไม่ทำภารกิจ บางคนก็เลือกไปทำภารกิจหลังบรรลุขั้นสอง อย่างไรก็ตามเว่ยตงเซิงเกือบปีสี่ แต่ไม่เคยไปทำภารกิจแม้แต่ครั้งเดียว
จากคำพูดของเขาดูเหมือนเขาไม่เคยออกไปทำภารกิจมาก่อน ต่อให้เขาเคยทำ มันก็อาจเป็นภารกิจเล็กๆ
ผู้ฝึกยุทธประเภทนี้พบได้ทั่วไปในมหาลัยวิชายุทธ
ฟางผิงไม่ได้ถามอะไรอีก เว่ยตงเซิงก็เงียบกริบ สถานการณ์แลดูน่าอึดอัด
หลังจากนั้นไม่กี่วิ เว่ยตงเซิงก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ให้คนของพวกนายมารับช่วงต่อเถอะ!
ตกลง!
ฟางผิงก็ไม่เกรงใจ เขายอมรับทันที
เว่ยตงเซิงมองเขาอย่างสับสนและลังเลอยู่ครู่นึงก่อนจะเอ่ยถาม นายร่วมงานประลองระดับประเทศไหม?
ตอนนี้รายชื่อยังไม่ออก แต่ฉันไม่น่ามีปัญหา
เด็กใหม่อัจฉริยะจากโม๋อู่…
เว่ยตงเซิงหันหลังกลับเข้าไปข้างในด้วยสายตาซับซ้อน เสียงเขาดังขึ้นมา ฉันแพ้แล้ว มันเป็นความผิดของฉันที่ฉันห่วยเอง แต่มันไม่ได้แปลว่านักศึกษามหาลัยครุศาสตร์หัวตงทุกคนจะอ่อนแอเหมือนฉัน! ฉันจบการศึกษาตอนขั้นสอง แต่ที่มหาลัย ฉันอยู่แค่ระดับล่างๆเท่านั้น!
ลืมความจริงที่เขาแพ้ไป เมื่อครู่นี้ เขาที่จบการศึกษาจากมหาลัยครุศาสตร์หัวตงเกือบถูกเด็กใหม่สังหารในกระบวนท่าเดียว
หากข่าวนี้หลุดออกไปก่อนงานประลองระดับประเทศ ชื่อเสียงของมหาลัยครุศาสตร์หัวตงจะถูกทำลายย่อยยับ!
ไม่มีใครดูถูกมหาลัยวิชายุทธหรอกนะ!
ขอบคุณ!
เว่ยตงเซิงหยุดพูดและเดินเข้าไปในสำนักงาน รอบนี้เขาแพ้ยับเยิน ความอับอายจากเหตุการณ์นี้ทำให้เขาไม่มีหน้าอยู่ที่นี่อีก
ถ้าเขาสู้กับฟางผิงสักหลายสิบกระบวนเพลงแล้วค่อยแพ้ มันจะเป็นเรื่องที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตามถ้าผู้คนรู้ว่าเขาเกือบถูกฟันเป็นสองท่อนในดาบเดียว มันคงกลายเป็นเรื่องตลกแย่
เมื่อเว่ยตงเซิงเดินเข้าไปในสำนักงาน พนักงานของตงเซิงก็มีสีหน้าสับสน ส่วนใหญ่อดลอบมองฟางผิงไม่ได้
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าประธานคนเก่าที่จบการศึกษาจากมหาลัยครุศาสตร์หัวตงเป็นผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่มีแววมาก
ไม่มีใครคิดเลยว่าประธานที่อายุน้อยกว่าของดิสแทนซ์จำกัดจะแข็งแกร่งยิ่งกว่า!
นอกจากนี้อีกฝ่ายยังเป็นแค่เด็กปีหนึ่ง!
นักศึกษามหาลัยวิชายุทธชื่อดังเก่งกาจแบบนี้ทุกคนเลยงั้นเหรอ?
กระแสและความโกลาหลจากงานประลองระดับประเทศทำให้หลายคนพูดถึง ในสายตาประชาชนคนธรรมดา มหาลัยวิชายุทธทุกแห่งต่างก็เหมือนกัน มหาลัยดังก็เป็นแค่มหาลัยที่มีชื่อเสียงกว่า
อย่างไรก็ตามเวลานี้ ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจแล้วว่ามันแตกต่างกันมาก!
เด็กใหม่จากมหาลัยวิชายุทธอันทรงเกียรติเอาชนะผู้ที่จบการศึกษาจากมหาลัยวิชายุทธอื่นได้ในกระบวนท่าเดียว! นี่แหละคือความต่างของพวกเขา!
คุณฟาง…
หลี่เฉิงเจ๋อส่งเสียงตะโกนออกมาอย่างอดไม่ได้ ฟางผิงละสายตาจากเว่ยตงเซิงและกล่าว ให้คนมารับช่วงต่อ ส่วนเงิน เดี๋ยวฉันจะโอนคืนให้บริษัท
หลังพูดจบ ฟางผิงก็ไม่รั้งอยู่อีก เขาหันตัวกลับและเดินจากไป
หลังฟางผิงหายลับสายตา ก็มีคนพูดขึ้นมาเบาๆอย่างอดไม่ได้ เถ้าแก่ดิสแทนซ์จำกัด…น่ากลัวมาก!
ประธานเว่ย เขา…
เฮ้ ที่จริงประธานเว่ยน่ะแข็งแกร่งมาก พวกคุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ? ไม่กี่วันก่อนมีประธานบริษัทอื่นสองสามคนมาเยี่ยมประธานเว่ย แถมทุกคนยังเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสอง…
เว่ยตงเซิงทำธุรกิจ และจบการศึกษาจากมหาลัยครุศาสตร์หัวตงด้วยขั้นสอง ความแข็งแกร่งของเขาในหมู่บริษัทเล็กๆในเมืองมหาวิทยาลัยถือเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
ประธานบริษัทใกล้เคียงหลายๆคนมักจะมาเยี่ยมเขาเป็นประจำ
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธขั้นสองที่พวกเขารู้จักด้วย แต่อีกฝ่ายก็ยังสุภาพกับเว่ยตงเซิง
นี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำไมทุกคนถึงรู้สึกมั่นใจมากกับการประลองกับดิสแทนซ์จำกัดและคิดว่ามันเป็นการแสดงดีๆ
แต่สุดท้าย ผลลัพธ์ไกลเกินกว่าทุกคนจะคาดหวังไว้
เว่ยตงซานพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ!
…
เมื่อฟางผิงจากไป หลี่เฉิงเจ๋อก็ไม่กล้าโรยเกลือบนบาดแผล เขาจากไปอย่างเร่งรีบ
ถ้าฟางผิงต้องการให้มีการส่งมอบให้ทันทีหลังจัดการเว่ยตงเซิงซะจนเขาต้องยอมจำนนด้วยความเต็มใจ มันคงไม่แปลกใจถ้าเว่ยตงเซิงเกลียดความกล้าเขา
เมื่อคนจากดิสแทนซ์จำกัดเดินจากไป บรรยากาศในตงเซิงทั้งเงียบและแปลก ทุกอย่างดูสับสน
ทุกคนบอกไม่ได้ว่าการส่งมอบบริษัทให้ดิสแทนซ์จำกัดเป็นเรื่องดีหรือไม่ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็คิดว่าเถ้าแก่ของดิสแทนซ์จำกัดแข็งแกร่งกว่าและมีอนาคตมากกว่าเถ้าแก่คนเก่า
ในสำนักงาน
เว่ยตงเซิงลูบแก้มที่บวมเป่ง เขาลังเลอยู่ครู่นึงก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทร
เมื่ออีกฝ่ายรับสาย เว่ยตงเซิงก็กล่าวด้วยความเคารพ อาจารย์
ตงเซิง มีอะไรรึเปล่า?
ผม…ผมพึ่งดวลกับเด็กใหม่โม๋อู่มา…
โอ้? ไหนเล่าซิ
อาจารย์ของเว่ยตงเซิงพูดด้วยน้ำเสียงสนใจ กลุ่มของเว่ยตงเซิงจบการศึกษาไปแล้วและตอนนี้อาจารย์เขากำลังชี้แนะนักศึกษากลุ่มใหม่ ปัจจุบันเขาเป็นอาจารย์สอนคลาสเรียนนักศึกษาใหม่
แม้ว่าความแข็งแกร่งของเว่ยตงเซิงจะอยู่ระดับกลางๆ แต่ความจริงที่ว่าเขาจบการศึกษาด้วยขั้นสองก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ
แม้แต่เด็กใหม่ของโม๋อู่ ตอนนี้ก็ควรเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง อาจารย์ของเว่ยตงเซิงอยากรู้ว่าศิษย์เขาอยากพูดอะไรเกี่ยวกับเด็กใหม่โม๋อู่
ผะ…ผมเกือบถูกฆ่าในดาบเดียว…เขาแข็งแกร่งมาก!
หืม? ในดาบเดียว?
ครับ ทักษะดาบเขารวดเร็ว ปราณและเลือดสูง ผมหลบไม่ได้เลย เขาระเบิดปราณและเลือดอย่างน้อย 30แคล…
เธอ!
อาจารย์ของเว่ยตงเซิงประหลาดใจกับคำพูดของเขาน้อยกว่าความผิดหวังเสียอีก ถ้าเธอควบคุมการระเบิดปราณและเลือดได้ เธอจะไม่แพ้ในดาบเดียวเด็ดขาด!
ถ้าขั้นสองอย่างเว่ยตงเซิงควบคุมความแข็งแกร่งของตนได้เป็นอย่างดี ระเบิดปราณและเลือด 30แคลก็ไม่ใช่เรื่องยาก
อย่างไรก็ตามดูเหมือนเว่ยตงเซิงจะทำไม่ได้ ดาบเดียวของฟางผิงแข็งแกร่งมากพอที่ทำให้เขาไม่สามารถแม้แต่จะเงื้อดาบขึ้น
หลังตำหนิอดีตลูกศิษย์ อาจารย์ที่อยู่ปลายสายก็ครุ่นคิด ขอบใจที่มาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง บอกฉันหน่อย อีกฝ่ายชื่ออะไร?
ฟางผิง
ฟางผิง…ที่ระเบิดปราณและเลือดได้ 30แคล…หรือมากกว่า…
หลังพึมพำไม่กี่คำ อาจารย์ของเว่ยตงเซิงก็กล่าว ต่อให้เธอจบการศึกษาแล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะละทิ้งวิชายุทธได้ เรียนรู้บทเรียนครั้งนี้และเอาไปพิจารณาด้วย ฟางผิงที่เธอพูดถึงอาจเป็นผู้ร่วมประลองของโม๋อู่ อย่าท้อไป ไม่ใช่ทุกคนในโม๋อู่จะแข็งแกร่งเท่าเขา
ขอบคุณที่แนะนำครับอาจารย์
…
หลังวางสาย เว่ยตงเซิงก็รู้สึกผิดหวังเมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาจบการศึกษาปีสี่ด้วยขั้นสอง
แม้ว่าเขาจะเทียบไม่ได้กับอัจฉริยะในมหาลัย แต่เว่ยตงเซิงไม่เคยคิดว่าตนเองอ่อนแอ มีไม่มากนักที่จบการศึกษาด้วยขั้นสอง อย่างน้อยก็แข็งแกร่งในหมู่มหาลัยวิชายุทธทั่วไป
แม้ว่าโม๋อู่จะเป็นที่รู้จักกันว่าเหนือกว่ามหาลัยครุศาสตร์หัวตง แต่เว่ยตงเซิงคิดว่านักศึกษาโม๋อู่นอกจากปีสามปีสี่คงไม่เท่าไหร่
ใครจะรู้ล่ะว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะน่าผิดหวัง
เมื่อเขาลูบแก้มเบาๆและมองดูสำนักงานของตน เว่ยตงเซิงก็ถอนหายใจอีกครั้ง
…
ณ สวนอวี้หยวน
ฟางผิงมาพบกับพวกฟู่ชางติ่ง
เมื่อพวกเขาพบกัน ฟู่ชางติ่งก็ถามด้วยความสงสัย ทำไมเร็วจังล่ะ? เสร็จแล้วเหรอ?
ใช่
ผู้ชายหรือผู้หญิง?
ชาย
โอ้ ชาย เป็นแบบนั้นเองสินะ…
ทุกคนหัวเราะเยาะ ฟางผิงถลึงตามองพวกเขาด้วยสีหน้ามืดมนก่อนจะถามเชิงรำคาญ เสียดายฉันไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ นายอยากลองบ้างไหม?
อะแฮ่ม ฉันขอผ่าน ฉันว่าเชาเชาก็ไม่เลวนะ ทำไมนายไม่ถามเขาล่ะ?
ถังซ่งถิงหัวเราะแดกดัน ฟู่ชางติ่ง นายคิดว่าฉันกลัวนายจริงดิ?
ทำไม? ไม่พอใจไง?
…
ทั้งสองโต้เถียงกันอยู่พักนึง ฟู่ชางติ่งมองฟางผิงอีกครั้งและหัวเราะออกมา ฉันเห็นหน้านายแทบไม่แดง หอบก็ไม่หอบ อีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดไหน?
แค่กลางๆ
ฟางผิงส่ายหน้าและตอบ ผู้ฝึกยุทธมหาลัยวิชายุทธที่ต่ำกว่าขั้นสามขาดการฝึกฝีมือกันทุกคน ฉันว่าผู้ฝึกยุทธต่ำกว่าขั้นสามกับผู้ฝึกยุทธทั่วไปคงไม่มีความแตกต่างอะไรมาก นั่นเป็นความเห็นฉันต่อคนที่ต่ำกว่าขั้นสาม
ผู้ฝึกยุทธขั้นสามส่วนใหญ่จำเป็นต้องเข้าถ้ำใต้ดิน ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งมั่นพัฒนาตนเอง
กลับกันขั้นหนึ่งขั้นสองไม่ได้มีโอกาสแบบนั้น ความแข็งแกร่งของพวกเขาจึงอยู่แค่ระดับกลางๆ
ฟู่ชางติ่งตอบไม่เห็นด้วย นายไม่ควรเหมารวม แน่นอนถ้านายอยากเทียบจริงๆ ผู้ฝึกยุทธต่ำกว่าขั้นสามของมหาลัยวิชายุทธจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธทั่วไป แต่อ่อนแอกว่าผู้ฝึกยุทธจากกองทัพ
ฉันว่าในอนาคตมันจะมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน อย่างน้อยก็เริ่มจากรุ่นเรา ทุกอย่างจะต่างจากเมื่อก่อนมาก
ขณะที่พวกเขาคุยกัน พวกเขาก็เดินเตร็ดเตร่มาจนถึงถนนโบราณ
และที่นี่ยังมีโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่อยู่ทุกที่!
งานประลองนักศึกษาใหม่มหาลัยวิชายุทธระดับประเทศจะเริ่มวันที่ 10 มกราคม ได้โปรดอดใจรอ!
ดูเหมือนเซี่ยงไฮ้เริ่มสร้างกระแสงานประลองระดับประเทศแล้ว ตามถนนมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากมายกำลังคุยกันเรื่องงานประลองระดับประเทศของมหาลัยวิชายุทธ
ฟู่ชางติ่งดูโปสเตอร์และกล่าวอย่างตื่นเต้น ฉันตื่นเต้นมาก ไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนจะบอกกันว่าโลกนี้ไม่อาจหลบหนีชื่อเสียงและความมั่งคั่ง พอฉันคิดถึงฉากกวาดทั้งสี่ทิศในงานประลองแล้วมัน…
เพ้อเจ้อ ถังซ่งถิงตอกกลับ
ฟู่ชางติ่งเหมือนไม่สนใจ เขายิ้มกว้าง ฉันไม่ได้เพ้อเจ้อ ฉันไม่คิดว่าฉันจะอ่อนแอกว่าใคร!
งั้นทำไมนายไม่ท้าทายตำแหน่งหัวหน้าคลาส?
เหอะเหอะ นายจะไปรู้อะไร!
เหอะเหอะ…
ทั้งสองเถียงกันต่อ ส่วนฟางผิงก็กำลังเหม่อลอย
ถ้านักศึกษามหาลัยวิชายุทธเป็นเหมือนเว่ยตงเซิงกันหมด งั้นก็ไม่มีอะไรที่เขาต้องกังวล
จะมีผู้ฝึกยุทธเหมือนหวังจินหยางโผล่มาในงานประลองรอบนี้ไหมนะ?
หวังว่าจะมีนะ…
ฟางผิงพึมพำ ถ้าคู่ต่อสู้อ่อนแอและน่าสงสาร งั้นความกระตือรือร้นของเขาที่มีต่องานประลองคงลดน้อยลงหลายส่วน