World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 171.2 ค่อยๆเปลี่ยนแปลง (2)
ฟางผิงได้ยินที่เขาพูด แต่เขาไม่ทันตั้งตัวเลย
ก่อนหน้านี้คำพูดฟังดูเลื่อนลอย
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะเรียกทุกคนมาชุมนุมและให้ผู้นำท้องถิ่นอธิบายทุกอย่าง
ฟางผิงคิดว่ามันไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตามหลังจากลองมาคิดๆดู เขาก็เห้นข้อดีเช่นกัน การยอมให้ทุกคนมีเวลาผ่อนผันและไม่ออกเอกสารบังคับใช้ทันทีก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง
แต่ถึงฟางผิงจะเข้าใจ แต่เขาก็ยังไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของรัฐบาล
‘เวลาผ่อนผัน?’
‘มันไม่ควรเลย!’
อย่างไรก็ตาม ไป๋จิ่นซานยังพูดไม่จบ
เหตุผลที่เขานัดทุกคนมาไม่ใช่แค่เพื่อประกาศข่าวนี้เท่านั้น มันยังมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่มีต่อผู้ฝึกยุทธที่อาศัยแค่ปราณและเลือด เรื่องทั้งหมดนี้เบื้องบนได้หารือกันมายาวนานก่อนจะตัดสินใจขั้นสุดท้าย
ดังนั้นเขาจึงนัดทุกคนมาด้วยเหตุผลอื่น
นอกจากแจ้งเรื่องประเมินสิ้นปี ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำไมผมถึงเชิญทุกคนมา มันเกี่ยวกับการก่อตั้งทีม
จากปีนี้เป็นต้นไป ผู้ฝึกยุทธทุกคนต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนต่อหนึ่งปีเพื่อเข้าร่วมค่ายฝึกฝนที่จัดขึ้นในท้องถิ่น! มันจะถูกจัดขึ้นทุกปี!
แน่นอน นักศึกษามหาลัยวิชายุทธได้รับการยกเว้น ผู้ฝึกยุทธของกองทัพก็เช่นเดียวกัน รวมถึงผู้ฝึกยุทธที่ร่วมโปรเจ็ควิจัยวิทยาศาสตร์ระดับชาติด้วย…
ทุกคนตะลึงไปชั่วขณะ ‘เรายังต้องเข้าค่ายฝึกฝนอีกเหรอ?’
พวกเขาส่วนใหญ่อายุประมาณ 50-60 ปี พวกเขารู้สึกสงสัย ‘เราต้องเข้าค่ายฝึกฝนด้วยอายุปูนนี้น่ะเหรอ?’
‘หนึ่งเดือนในทุกปี นั่นไม่ใช่เวลาสั้นๆเลย’
เวลาแทบจะในทันทีก็มีคนพูดแย้ง ผู้บัญชาการไป๋ แค่เรื่องประเมินสิ้นปี เบื้องบนบอกต้องมีการประเมิน พวกเรายอมรับได้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ถูกมั้ย? พวกเราฝึกปรือฝีมือกันได้จากที่บ้าน แม้ว่าจะใช้เวลามากก็ตาม
ตอนนี้คุณขอให้เราสละเวลาหนึ่งเดือนเพื่อเข้าค่ายฝึกฝน มันจำเป็นจริงๆน่ะหรือ?
พวกเราไม่ใช่นักเรียน พวกเราอายุมากกันแล้ว ทุกคนมีเรื่องต้องทำ
ใช่แล้ว…
ไป๋จิ่นซานหัวเราะ สรุปคุณไม่อยากเข้าร่วมสินะ?
ง่ายมาก งั้นก็แค่ละทิ้งตัวตนผู้ฝึกยุทธทิ้งไป คุณก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมแล้ว!
ผมแค่มาแจ้งนโยบายเหล่านี้ให้ทุกท่านทราบ ผมไม่ใช่คนกำหนดนโยบาย
ระหว่างประเมินสิ้นปี ถ้าใครไม่มาค่ายฝึกฝน จะถูกพิจารณาในการประเมินด้วย ผู้ที่ไม่มาฝึกปรือหนึ่งเดือนจะเป็นผลให้เพิกถอนตัวตนผู้ฝึกยุทธ!
นี่ไม่ใช่กฎที่ผมไป๋จิ่นซานกำหนดขึ้นเพื่อสร้างความลำบากให้ทุกท่าน ทั้งหมดนี้เป็นการตัดสินใจจากเบื้องบน
มันเป็นเวลาเพียงหนึ่งเดือน ซึ่งก็คือสี่สัปดาห์
จะแบ่งมาฝึกเป็นสี่ช่วงได้ ขอแค่มาสมัครล่วงหน้า
เว้นแต่หนึ่งปีพวกคุณจะสละเวลาสี่สัปดาห์ไม่ได้…?
ถ้าพวกคุณมีเวลาไปเที่ยว มีเวลาไปทำอย่างอื่น ทำไมพวกคุณจะไม่มีเวลาฝึกล่ะ?
เนื่องจากผู้ฝึกยุทธเสวยสุขมามากแล้ว สละเวลานิดหน่อยคงไม่ใช่ปัญหาใช่ไหม?
เราแค่ขอให้พวกคุณเข้าร่วมฝึกยุทธ ไม่ได้ขอให้พวกคุณไปตาย ทำไมทุกคนไม่เห็นด้วยล่ะ? ทำไมทุกคนถึงมีปฏิกิริยารุนแรงแบบนี้? ถ้าเราบังคับให้พวกคุณเข้าร่วมสงคราม พวกคุณไม่คิดเรื่องกบฏเลยหรือ!
ประกาศส่วนท้าย น้ำเสียงของไป๋จิ่นซานไม่ได้เป็นกันเองอีก เขากล่าวเสียงเย็น ผมขอพูดอีกครั้ง นี่เป็นคำสั่งจากเบื้องบน!
ทุกท่านต้องปฏิบัติตาม!
นอกจากทุกท่านที่มากันในวันนี้ คนอื่นๆจะไม่รับแจ้ง
ใครอยากแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องหรือทำเหมือนไม่ทราบข่าวก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะประกาศข่าวสู่สาธารณะ
ใครที่ไม่เข้าร่วมการฝึกหรือไม่เข้าประเมินสิ้นปีจะถูกเพิกถอนตัวตนผู้ฝึกยุทธทันที สิทธิพิเศษและสถานะที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธจะถูกเพิกถอนไปด้วย!
ยิ่งกว่านั้น การลดหย่อนภาษีหรือยกเว้นภาษีทั้งหมดต้องถูกจ่ายคืน!
เรื่องนี้มุ่งเป้าไปที่คนที่ทำธุรกิจ ส่วนคนที่อยู่ในการเมืองหรือแวดวงอื่น ผลที่ตามมาก็เป็นเช่นเดียวกัน
เนื่องจากคุณไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธอีก งั้นคุณก็จะถูกปฏิบัติเหมือนคนธรรมดา กฎหมายเป็นอย่างไรคุณก็ต้องทำอย่างนั้น!
นอกจากนี้ผู้ฝึกยุทธบางคนยังใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษ คุณควรรู้ว่าคุณทำอะไรไปบ้าง!
ที่ผ่านมาเราไม่มีการตรวจสอบ
แต่ตอนนี้ต้องมีการตรวจสอบสืบสวน!
ทุกคน ผมจะพูดอีกครั้ง มันไม่ใช่ผมไป๋จิ่นซานที่อยากสร้างความลำบากให้ แต่ทุกท่านล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ!
ถ้าคุณไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ งั้นคุณจะไปเอาความมั่งคั่งร่ำรวยมาจากไหน? ทำไมคนธรรมดาที่ไม่ด้อยไปกว่าคุณถึงเป็นได้แค่ผู้ช่วยคุณ คอยช่วยเหลือคุณ?
ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ให้สิทธิพิเศษพวกคุณโดยหวังว่าทุกคนจะมีส่วนช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติ!
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ปัจจุบันแสดงให้เห็นแล้วว่าทุกท่านไม่ได้รู้สึกเฉกเช่นเดียวกัน…
พวกคุณคิดว่าการได้รับผลประโยชน์มาโดยตลอดโดยไม่ต้องตอบแทนเป็นเรื่องปกติอย่างนั้นเหรอ?
คนส่วนใหญ่พูดอะไรไม่ออก แต่ก็มีบางคนพูดแย้งขึ้นมา ผู้บัญชาการไป๋ จู่ๆรัฐบาลทำแบบนี้ก็งี่เง่าเกินไปแล้ว!
ค่ายฝึกฝนจำเป็นจริงเหรอ?
แต่เรื่องก่อตั้งทีมล่ะ?
มันไม่ใช่ปัญหาเลย ถ้าพวกเราช่วยกันบริจากเงินสักเล็กน้อยเพื่อให้ผู้ฝึกยุทธของทีมไปฝึกปรือฝีมือ มันจะไม่มีประโยชน์มากกว่าให้คนกระดูกผุๆอย่างเราเข้าร่วมหรือ?
ไป๋จิ่นซานหัวเราะ ผมเห็นด้วยนะ แต่…มันก็ไม่มีประโยชน์ เว้นแต่พวกคุณอยากให้ผมไปขอคำแนะนำจากผู้สำเร็จราชการจาง?
ผู้บริหารระดับสูงบรรลุข้อตกลงกันแล้ว ส่วนเรา…สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือปฏิบัติตาม!
ผมจะพูดตรงๆ พวกเรามีทางให้เลือกสองทาง หนึ่งคือปฏิบัติตามคำสั่ง สองคือละทิ้งตัวตนของผู้ฝึกยุทธ
แน่นอน…พวกคุณใช้เส้นทางที่สามก็ได้ อยากลองก่อกบฏไหม?
ทุกคนหน้าซีดเผือด ‘ก่อกบฏบ้านคุณสิ!’
ทั้งกลุ่มประกอบด้วยผู้ฝึกยุทธต่ำกว่าขั้นสาม หรือไม่ก็ผู้ฝึกยุทธปราณและเลือด พูดตามตรงระหว่างพวกเขากับคนธรรมดาต่างกันตรงไหน?
ไม่มีผู้ฝึกยุทธปราณและเลือดคนไหนเลยที่ใกล้เคียงขั้นสามชั้นกลาง
ผู้ฝึกยุทธปราณและเลือดส่วนใหญ่จะอยู่ต่ำกว่าขั้นสาม ตอนนี้ผู้บริหารระดับสูงบรรลุข้อตกลงกันแล้ว แถมองค์กรที่มีผู้ฝึกยุทธคับคั่งอย่างมหาลัยวิชายุทธ กองทัพหรือกรมสืบสวนก็ไม่มีใครคัดค้าน
คนธรรมดาต่างก็หวังให้ผู้ฝึกยุทธปราณและเลือดเหล่านี้โชคร้าย!
กล่าวได้ว่าผู้ฝึกยุทธที่ไม่พอใจจริงๆมีอยู่ไม่มากนัก
ทั้งประเทศมีผู้ฝึกยุทธหลายล้านคน ไม่รวมคนจากกองทัพและมหาลัยวิชายุทธ ก็ยังมีผู้ฝึกยุทธทั้งหมดราวสองแสนคน
มันไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆเช่นกัน มันถือเป็น 1 ใน 5 ของจำนวนทั้งหมด
ในสองแสนคน มีอย่างน้อยครึ่งนึงที่ไม่สนใจเรื่องนี้ เนื่องจากมีการประเมิน พวกเขาก็จะทำการประเมินโดยไม่สร้างปัญหานัก
กลับกันที่เหลืออีกครึ่งนึงไม่เต็มใจละทิ้งสิทธิพิเศษที่พวกเขาเสวยสุขมานานปี แต่ต่อให้พวกเขาไม่พอใจ ส่วนใหญ่ก็ยังปฏิบัติตาม
ที่เหลือที่ไม่พอใจจริงๆก็มีอยู่น้อยนิดแล้ว
ต่อให้มีหลายพันคน แต่ก็ไม่น่าถึงห้าหลัก
เว้นแต่หลายพันคนนี้จะติดต่อหากันเป็นอย่างดี ไม่งั้นพวกเขาก็ได้แต่ทำตามนโยบาย หรือไม่ก็ละทิ้งตัวตนของผู้ฝึกยุทธไปซะ
จากหลายพันล้านคนของประเทศจีน มีผู้ฝึกยุทธปราณและเลือดไม่พอใจเพียงน้อยนิด ดังนั้นจึงมีผลกระทบไม่มากนัก
ฝูงชนเริ่มส่งเสียงแซ่เซ็ง แต่ท่ามกลางฝูงชน ฟางผิงพยักหน้าเบาๆ เห็นด้วยว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง
เขาแค่คาดไม่ถึงว่ามันจะง่ายดายปานนี้ พวกเขาเริ่มบังคับใช้ทั้งแบบนี้เลย เห็นได้ชัดว่าไป๋จิ่นซานกำลังบังคับให้ทุกคนยอมรับทุกอย่างในทันที
ต่อให้คนที่เหลือไม่เห็นด้วย แต่พวกเขาทำอะไรได้ล่ะ?
ถ้าพวกเขากล้าไม่เข้าร่วมการฝึก เบื้องบนก็จะเพิกถอนตัวตนผู้ฝึกยุทธของคุณ มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม
เมื่อนโยบายแพร่หลาย คนธรรมดาจะเข้าข้างนโยบายใหม่ทันที
แบบนั้น ต่อให้อยากก่อกบฏก็เป็นไปไม่ได้!
นอกจากนี้…
ไป๋จิ่นซานพูดขึ้นมาฉับพลัน นอกจากนี้รัฐบาลยังจะมอบรางวัลให้ผู้ฝึกยุทธที่ทำผลงานได้โดดเด่น!
ในอนาคต รัฐบาลท้องถิ่นจะมีนโยบายที่ช่วยเหลือนักศึกษาจากมหาลัยวิชายุทธหรือผู้ฝึกยุทธที่เข้าร่วมกองทัพ
นโยบายรวมถึงแผนงานของครอบครัว เงินอุดหนุนสำหรับธุรกิจของครอบครัว หรือใครขาดทรัพยาการฝึกฝน รัฐบาลท้องถิ่นจะมอบเงินอุดหนุนให้บางส่วน ทั้งยังมีเปิดไฟเขียวกู้ยืมเงินด้วย!
ยกตัวอย่าง นักศึกษาที่โดดเด่นอย่างนักศึกษาฟางผิง หรือบุคลากรทางกองทัพจะได้รับรางวัลมากมาย!
ก่อนหน้านี้นักศึกษาฟางผิงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในงานประลองระดับประเทศ รัฐบาลเมืองหยางเฉิงตัดสินใจมอบรางวัลให้แก่นักศึกษาฟางผิงเป็นเงินห้าแสนหยวน
หวังหว่านักศึกษาฟางผิงจะพยายามต่อไป! เขาอาจกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นกลางได้ในเร็ววัน และก้าวไปจนถึงผู้ฝึกยุทธระดับปรมาจารย์!
ฟางผิงงุนงงเล็กน้อย ‘ฉันได้เงินห้าแสนทั้งแบบนี้น่ะเหรอ?’
‘ฉันมาชุมนุมรอบเดียวก็ได้เงินแล้วเหรอ?’
ฟางผิงไม่สนใจเงินห้าแสนนัก
ที่สำคัญคือท่าทีของรัฐบาลที่เปลี่ยนไป!
เมื่อเทียบกับการปล่อยปละละเลยเมื่อก่อน มันเป็นเรื่องดีที่พวกเขาเริ่มดำเนินการตามแผนการใหม่ในทันที
ด้วยการรวมผู้ฝึกยุทธทั่วไปมาฝึกปรือฝีมือและฝึกฝนวิชาต่อสู้ ภายในเวลาไม่กี่ปี จะเกิดผู้ฝึกยุทธที่มีความสามารถถึงหลายแสนคน นับตั้งแต่จบการประลองระดับประเทศ ฟางผิงก็เริ่มตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
มันมากเสียจนแม้แต่เมืองเล็กๆอย่างเมืองหยางเฉิงก็เริ่มเปลี่ยนไป
แม้ว่าจะไม่เห็นผลลัพธ์ในทันที แต่การบังคับให้ผู้ฝึกยุทธทั่วไปใช้เวลาหนึ่งเดือนต่อหนึ่งปีมาฝึกปรือฝีมือ เป็นนโยบายที่โอนอ่อนที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างอย่างพลิกคว่ำ
เมื่อไป๋จิ่นซานพูดจบและเห็นบรรยากาศตึงเครียด เขาก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ทุกท่านใจเย็น อันที่จริงมันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น
การฝึกฝนไม่ได้ยากเย็นเหมือนที่ทุกท่านคิด มันง่ายมาก
ทุกท่านทำเหมือนกำลังร่วมหลักสูตรฝึกอบรมซีอีโอก็พอ มันไม่ได้เคร่งครัด จะจัดการธุรกิจ เอาโทรศัพท์ไปด้วย ทำได้หมด
ตอนแรกใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง คราวนี้เป็นการปลอบโยน
…
หลังไป๋จิ่นซานปลอบโยน ทุกคนก็เริ่มดีขึ้น
แม้ว่าเดือนนึงจะนาน แต่พวกเขาแบ่งเป็นสี่ช่วงได้ ดังนั้นในที่สุดทุกคนก็ยอมรับ พวกเขาไม่ได้มาเข้าอยู่ในคุกเสียหน่อย แค่มาฝึกปรือฝีมือ พวกเขาก็จะดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ใครจะไปรู้ ด้วยจำนวนผู้ฝึกยุทธที่มารวมตัวกันมากมาย บางทีพวกเขาอาจเพิ่มเส้นสาย เปิดตลาดใหม่ๆได้
มันเป็นความจริงอย่างที่ไป๋จิ่นซานพูด มันไม่ได้ต่างจากหลักสูตรฝึกอบรมซีอีโอที่พวกเขาเคยเข้าร่วม
ฝูงชนเริ่มปลอบตัวเอง เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ หมัดของพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอที่จะสู้ สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือการปลอบใจตัวเอง แน่นอนเว้นแต่ว่าพวกเขาจะเลือกละทิ้งตัวตนผู้ฝึกยุทธ ไม่งั้นพวกเขาก็ไม่มีทางอื่นแล้ว
ฟางผิงทำตัวเหมือนกำลังไปซื้อซีอิ้วตั้งแต่ต้นจนจบ สุดท้ายเขายังได้เงินอีกห้าแสนหยวนซึ่งเป็นผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึง
การชุมนุมวันนี้เน้นเรื่องนี้เป็นหลัก
ไป๋จิ่นซานไม่ได้กล่าวถึงเรื่องรับคนเข้าทีม ก่อตั้งทีม หรือขาดเงินทุน ดูเหมือนเวลานี้เมืองหยางเฉิงจะยังจัดการเรื่องนี้ไหว
เมื่อฟางผิงซื้อซีอิ้วเสร็จกำลังจะกลับ ไป๋จิ่นซานก็รั้งฟางผิงไว้
ฟางผิงแปลกใจเล็กน้อย ไม่มั่นใจว่าไป๋จิ่นซานรั้งตัวไว้ทำไม กระนั้นเขาก็ทำได้แต่หยุดฝีเท้าลง