World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 175 ผู้ที่ใช้สมองจะปกครองผู้คน
ณ หอพักอาจารย์ วิลล่าเบอร์ 8
โม๋อู่ค่อนข้างกว้างใหญ่ ฟางผิงวิ่งไปวิ่งมาก็กินเวลาไปครึ่งค่อนวันแล้ว
เขาเคาะประตูวิลล่าเบอร์ 8
หลังรอได้สักพัก หลู่เฟิ่งโหรวก็เปิดประตูทักทายฟางผิงด้วยการหาวใส่
ที่จริงฟางผิงค่อนข้างสนใจผู้ฝึกยุทธขั้นสูงเหล่านี้ พวกเขาดูง่วงตลอดเวลา เป็นเพราะพวกเขายุ่งหรือพวกเขาไม่มีอะไรทำกันนะ
เมื่อเห็นฟางผิง หลู่เฟิ่งโหรวก็พูด นายมาค่อนข้างเร็ว ไม่ใช่ว่าไปฉลองกับครอบครัวหรอกเหรอ?
ผมกลับมาก่อนเพื่อฝึกฝนและพยายามไม่ให้อาจารย์เสื่อมเสียชื่อเสียง
เหอะเหอะ!
หลู่เฟิ่งโหรวย่อมไม่เชื่อคำพูดสวยหรูของเขาแม้แต่น้อย เธอโบกมือด้วยท่วงท่าเรียบง่าย ถ้วยที่อยู่บนโต๊ะกาแฟก็ลอยเข้ามาในมือ เธอยกจิบเบาๆ พูดมา
ฟางผิงจ้องแก้วเธอตาไม่กระพริบ เขาอดถามไม่ได้ อาจารย์ มันคือเทเลคิเนซิสเหรอ?
มันคือการใช้พลังจิตรูปแบบหนึ่ง อย่าไปสนใจ อีกนานกว่านายจะเรียนวิชานี้ได้
หลู่เฟิ่งโหรวคร้านจะอธิบาย เธอดื่มชาเข้าไปอีกอึก นายมีคำถามอยากให้ฉันชี้แนะเหรอ? หรือเป็นเรื่องอื่น?
นายเป็นขั้นสองแล้ว นายควรเน้นขัดเกลากระดูก หรือนายคิดจะฝึกเคล็ดวิชาอื่น หรือนายมาเพราะเรื่องอื่น?
ไม่ ไม่…
ฟางผิงส่ายหน้า สมองเขายังคิดถึงฝีมือหลู่เฟิ่งโหรวที่โบกมือวูบเดียวบังคับถ้วยลอยเข้ามาในมือ
อาจารย์ ปรมาจารย์ขี่ดาบบินได้เหมือนตำนานไหม?
ขี่ดาบ?
หลู่เฟิ่งโหรวหัวเราะ นายประเมินพวกเขาสูงไปแล้ว ขี่ดาบบินน่ะเป็นไปได้ แต่มันได้ไม่นาน
มันก็เหมือนขั้นว่างเปล่าของนาย นายยืนบนอากาศได้ แต่ได้กี่ก้าวเอง?
ปรมาจารย์ใช้จิตใจเป็นตัวเสริมปราณและเคล็ดวิชา และเพื่อทำความเข้าใจกับร่างกายตนเองให้ลึกซึ้งขึ้น…
มันใช้แบบนั้นหรอกเหรอ?
ฟางผิงเอียงคอ เขาถามคำถามอื่นอย่างอดไม่ได้ อาจารย์เข้าใกล้ระดับปรมาจารย์ยัง?
ถ้าหลู่เฟิ่งโหรวเป็นปรมาจารย์ ฟางผิงจะมีผลประโยชน์มากมายให้เก็บเกี่ยว
อาจารย์ไม่ใช่บิดามารดาของศิษย์ แต่ศิษย์จะได้ประโยชน์มากมายจากการมีอาจารย์เป็นระดับปรมาจารย์
อย่างน้อยอาจารย์ก็มอบคำแนะนำให้ลูกศิษย์ได้จากประสบการณ์ของตนเอง
นอกจากนี้ เศษเล็กเศษน้อยของปรมาจารย์ก็พอให้ฟางผิงอิ่มแล้ว
ยังอีกยาวไกล!
หลู่เฟิ่งโหรวปฏิเสธพร้อมกับส่ายหน้า การบรรลุระดับปรมาจารย์ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่นายคิด ฉันพึ่งเริ่มควบคุมพลังจิตเบื้องต้น ฉันยังต้องใช้เวลาสามปีห้าปีกว่าจะเป็นปรมาจารย์ แถมยังขึ้นอยู่กับดวงด้วย
หลู่เฟิ่งโหรวเปลี่ยนเรื่อง อย่าพึ่งพูดถึงเรื่องนี้ นายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองแล้ว นายจะต้องหาคะแนนให้มากขึ้น
การทะลวงจากขั้นสองเป็นขั้นสามยากยิ่งกว่าขั้นหนึ่งไปขั้นสองมาก
โดยเฉพาะเมื่อนายเป็นขั้นสองสูงสุด เมื่อนายขัดเกลากระดูกแขนขาครบ นายจะต้องเริ่มขัดเกลากระดูกลำตัว
การเชื่อมต่อแขนขากับลำตัวเข้าด้วยกันเพื่อสร้างระบบไหลเวียนจะมีประโยชน์มากมาย
ถ้านายไม่มีคะแนน นายก็ต้องทำทั้งหมดเอง แต่ถ้านายมีคะแนนอยู่ในมือ ทางมหาลัยจะให้ความช่วยเหลือ…
คะแนน…
ฟางผิงเริ่มรู้สึกจนใจ ‘คะแนนฉันกลับมาเป็นศูนย์แล้ว แปลว่าฉันจำเป็นต้องรับภารกิจเพิ่ม’
เอ้อ ตกลงนายมีอะไรจะถามฉันไหม? รีบพูดมา ฉันต้องไปงีบต่อ
ฟางผิงพูดไม่ออก ‘อาจารย์เหนื่อยแค่ไหนถึงต้องงีบหลับทุกวัน?’
เขาไม่อ้อมค้อมอีก เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด อาจารย์ ผมอยากสร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับนักศึกษา แต่มหาลัยกังวลว่าผมรับผิดชอบไม่ไหวเพราะคิดว่าผมแข็งแกร่งไม่พอ
ผมเลยอยากให้อาจารย์เป็นคนค้ำประกันให้…
นายกำลังขอให้อาจารย์ของนายเป็นคนค้ำให้?
หลู่เฟิ่งโหรวเลิกคิ้ว แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอะไรต้องการคนค้ำ?
ฟางผิงอธิบายทุกอย่างให้เธอฟังสั้นเท่าที่จะสั้นได้
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้ขัดจังหวะเขาสักครั้งจนกระทั่งฟางผิงพูดเสร็จ แล้วนายทำทั้งหมดนี้เพียงเพื่อค่าส่งจริงเหรอ?
อาจารย์ ตอนนี้ผมไม่มีเงินแล้ว ผมไม่มีทางอื่น…
เลิกพูดแบบนี้! นายคงไม่ได้คิดขยายธุรกิจนี้ในอนาคตเพื่อทำธุรกรรมกับผู้ฝึกยุทธโดยเฉพาะหรอกใช่ไหม?
เอ่อ…
ฉันแนะนำเลยว่าอย่า เหตุผลแรกเลย รัฐบาลผูกขาดทุกอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธ
สองเลยคือ อุตสาหกรรมนี้มีเงินหมุนเวียนมากกว่าที่นายจินตนาการอีก นายที่เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสอง…
ผมไม่ได้เป็นขั้นสองไปตลอด!
ฟางผิงแย้ง ผมแค่อยากลอง ถ้าไปได้ไม่สวย ผมเต็มใจยอมแพ้
อาจารย์ ผมรู้ว่าที่ผมขอให้อาจารย์ค้ำประกันให้ อาจารย์ต้องรับความเสี่ยงใหญ่หลวง
แต่ผมสัญญาว่าถ้าผมหาเงินได้ ต่อให้ผมขาดทุน ผมก็จะชดใช้…
หลู่เฟิ่งโหรวจ้องมองฟางผิง จากนั้นสักครู่เธอถึงกล่าวขึ้นมา เป็นคนค้ำให้นายไม่ใช่เรื่องใหญ่ ฉันแค่อยากให้นายรู้ความเห็นฉัน แทนที่จะเสียเวลากับอนาคตทีไม่แน่นอน นายไปทำภารกิจดีกว่า…
นั่นเป็นการแก้ปัญหาที่คนธรรมดาเขาคิดกัน
ฟางผิงโพล่งออกมา หลู่เฟิ่งโหรวถลึงตามองเขาแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจ ถ้ามีใครได้ยินเข้า นายตายได้เลยนะ! ถ้านายอยากถูกล่าสังหาร นายไม่ต้องมาหาฉัน!
คนธรรมดา? เฮอะ ปรมาจารย์หลายๆคนก็เริ่มเส้นทางตัวเองด้วยภารกิจ
คนที่ใช้สมองจะปกครองคน แต่คนที่ไม่ใช้สมองจะลงเอยด้วยการเป็นคนใต้ปกครอง…
ฟางผิงพึมพำ เขาไม่อยากเป็นผู้ฝึกยุทธที่ใช้เป็นแต่กำลัง
ผู้ฝึกยุทธที่ใช้ชีวิตแบบนั้นคงเหนื่อยน่าดู
หลู่เฟิ่งโหรวไม่สนใจลูกไม้เขาอีก เธอพิจารณาสักพักก่อนจะพูด ถ้านายยืนยันแบบนั้น ฉันจะค้ำให้นาย
แต่มีข้อแม้ นางต้องฝึกฝนไปพร้อมกันด้วย
แน่นอนอยู่แล้ว แถมผมก็ไม่ได้ทำคนเดียว ผมจะทำแค่ช่วงแรกแล้วมอบโปรเจ็คนี้ให้คนอื่น
นายรู้ก็ดี
หลู่เฟิ่งโหรวแนะนำเขาสักครู่ก่อนจะพูด ได้ จำไว้ด้วย ถ้าไม่มีอะไรแล้วนายก็ไปเถอะ
ฟางผิงไม่ได้เอ้อระเหยอยู่นาน เขาลุกขึ้น แต่ก็นั่งลงฉับพลันก่อนจะกล่าว อาจารย์มาดูผมประลองไหม?
อืม
ผมประลองกับฟางเหวินเสียง ดุเดือดจนน่าตกใจ ผมว่า…
หลู่เฟิ่งโหรว …
หลู่เฟิ่งโหรวจ้องมองเขาก่อนจะพูด ค้ำประกันกับรางวัล เลือกเอาอันไหน
ผู้ฝึกยุทธตกลงกันอย่างเป็นธรรม นายคงไม่หวังให้ฉันทำอะไรให้นายโดยไม่มีค่าตอบแทนหรอกนะ
ฟางผิง นายรู้ใช่ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร?
ฟางผิงสีหน้าจนใจ ‘ฉันว่าแล้ว!’
เมื่อเทียบกับการค้ำประกันของผู้ฝึกยุทธขั้นหก ขั้นหนึ่งอย่างฟางเหวินเสียงไม่มีความสำคัญเลย
เมื่อเอาหลู่เฟิ่งโหรวมาเทียบ มันย่อมเทียบกันไม่ได้เลย
มีผู้ฝึกยุทธขั้นหกมาค้ำประกันให้ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไหนก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงลิ่ว
ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่รบกวน
อืม ไปเถอะ
นอกจากนี้นายต้องขยันขึ้น อีกไม่นานนายอาจได้เข้าถ้ำใต้ดิน
ฝีเท้าฟางผิงชะงักไป แต่เขาก็เดินออกไปโดยไม่ได้ถามอะไร
…
ในสองวันนี้ ฟางผิงใช้ประโยชน์ที่นักศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่กลับมา เข้าเจรจากับมหาลัยและบอกให้หลี่เฉิงเจ๋อเริ่มสร้างแพลตฟอร์ม
สร้างแพลตฟอร์มไม่ได้ยาก
นอกจากนี้ช่วงแรกฟางผิงจะเปิดแค่ในมหาลัยก่อน แพลตฟอร์มจะไม่ขยายออกไปนอกมหาลัย และเขาจะไม่รับคำสั่งซื้อจากข้างนอกจนกว่าเขาจะจ้างผู้ฝึกยุทธได้
ถ้าเขาขยายพื้นที่ให้บริการไปนอกมหาลัยแล้วของสูญหาย เขาย่อมไม่มีปัญญาชดใช้
อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงเรื่องให้คนส่งของจากข้างนอกเข้ามหาลัย ทางมหาลัยไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
ฟางผิงเข้าประชุมนับสิบครั้ง สุดท้ายเฒ่าหลี่ก็ออกความเห็น เธอให้นักศึกษาทำสิ
ฟางผิงขมวดคิ้ว ‘อาจารย์คิดว่าผมไม่เคยคิดเรื่องนี้เหรอ?’
‘ประเด็นคือนักศึกษาโม๋อู่แพงเกินไป!’
‘ไม่มีนักศึกษาคณะอื่นในมหาลัย ทุกคนล้วนเป็นนักศึกษาวิชายุทธ! ราคาที่จ้างพวกเขานั้นมากเกินไป!’
เฒ่าหลี่รู้สึกผิดหวังกับฟางผิง เขากล่าวอย่างไม่ใส่ใจ เธอโง่เหรอ?
เธอเป็นเด็กใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ใช่รึไง?
เธอก็สร้างสมาคมเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เชิงยุทธอะไรพวกนั้นสิ เวลานี้ปีหนึ่งหลายคนยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ
พวกเขาต่างก็จับตามองเธอ ผู้ฝึกยุทธขั้นสองที่เป็นนักศึกษาใหม่ที่เก่งที่สุด ถ้าให้โอกาสพวกเขาเข้าร่วม พวกเขาย่อมกระตือรือร้นที่จะเข้ากัน
ถ้าเธอเริ่มมีรายได้ เธอก็แบ่งปันให้พวกเขาส่วนหนึ่ง ถ้าเธอยังไม่มีรายได้ ก็ให้พวกเขาทำงานให้ฟรี แค่ให้ความหวังพวกเขาไว้
พวกเขาไม่สนใจค่าจ้างเล็กน้อยหรอก เธอก็สร้างระบบมอบรางวัลจากผลงานแล้วมอบรางวัลให้พวกเขา หรือแม้แต่คำแนะนำให้กับคนที่ทำผลงานได้ดีที่สุด
แล้วเธอยังล่อลวงพวกเขาได้ด้วยคำหวาน!
บอกพวกเขาว่าพวกเขาอาจได้คุยกับผู้ฝึกยุทธขั้นสามขั้นสี่ หรือแม้แต่ขั้นห้า
ลองคิดดูสิ เธอจะตกลงไปทำธุระง่ายๆให้ไหมถ้าเธออาจได้คุยกับรุ่นพี่ขั้นสี่หรือขั้นห้าและได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากพวกเขาได้?
ไม่ใช่ทุกคนที่มีอาจารย์ขั้นหก ไม่ใช่ทุกคนที่จะบรรลุขั้นสองได้เหมือนเธอ
นักศึกษาปีหนึ่งมากกว่าครึ่งยังเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธ เธอจะขาดคนที่เต็มใจทำงานให้เธอได้อย่างไร?
ฟางผิงประหลาดใจ ชายชราร้ายกาจกว่าเขาอีก!
เขาตั้งใจจะจ่ายค่าจ้าง แต่ชายชราบอกให้เขาทำตรงกันข้าม!
โม๋อู่ค่อนข้างกว้างใหญ่ แต่หลังสร้างแพลตฟอร์ม เขาก็คงรับคำสั่งซื้อได้ประมาณหลายร้อยครั้งต่อวันเท่านั้น นั่นเป็นขีดจำกัดปัจจุบันของพวกเขา
ถ้าเขาให้นักศึกษาทำงานให้จริงๆ แค่ 10 คนก็พอแล้ว
อาจารย์ มันเหมาะสมเหรอ?
ฟางผิงคล้อยตาม แต่เขาไม่มั่นใจว่ามันเหมาะสมไหม
เฒ่าหลี่มองเขาเหยียดๆ ฉันแค่แนะนำ เธอจะทำตามไหมมันขึ้นอยู่กับเธอ
อ๊ะ…คำแนะนำของอาจารย์ยอดเยี่ยมมาก พวกเราควรช่วยเหลือเพื่อนๆที่ตามไม่ทันจริงๆ เราต้องช่วยเหลือกันเพื่อให้พวกเขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธได้เร็วที่สุด!
ฟางผิงรู้สึกเหมือนเป็นวีรบุรุษ เขารู้สึกจริงๆว่าเขาควรให้ความช่วยเหลือกับนักศึกษาที่ล้าหลังกว่า
ในฐานะที่เป็นนักศึกษาใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุด อนาคตเขากระทั่งอาจแข็งแกร่งที่สุดในโม๋อู่ เขาควรสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการฝึกยุทธให้แก่นักศึกษา!
…
ฟางผิงไปเยือนชมรมวิถียุทธพร้อมกับความคิดเผื่อแผ่ผู้อื่น
นักศึกษาที่อยากสร้างชมรมต้องมาลงทะเบียนที่ชมรมวิถียุทธ
ณ ชมรมวิถียุทธ
เมื่อสมาชิกชมรมข้างเคาน์เตอร์ได้ยินชื่อฟางผิง เขาก็มองฟางผิงด้วยสายตาแปลกใจ
ฟางผิงค่อนข้างดังในชมรม
ควบคู่กับงานประลอง เขาจึงมีชื่อในมหาลัยด้วย
ชื่อชมรม?
สมาคมรักและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน!
มีชื่อนี้อยู่แล้ว
สมาคมรักและเกื้อกูลซึ่งกันและกันโม๋อู่!
มีแล้วเหมือนกัน
สมาคมที่แข็งแกร่งที่สุด!
มีแล้ว!
ฟางผิงพูดไม่ออก หลังคิดอยู่สักครู่ เขาก็กล่าว สมาคมผิงหยวน?
ไม่มีชื่อชมรมนี้ นายอยากใช้ชื่อนี้จริงๆใช่ไหม?
ฟางผิงครุ่นคิดอย่างหนัก จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม ใช่ ฉันจะใช้ชื่อนี้!
นายสร้างชมรมได้ แต่นายขัดคำสั่งมหาลัยไม่ได้ นอกจากนี้ยังห้ามบังคับคนเข้าชมรม ไม่งั้นชมรมวิถียุทธจะเข้าแทรกแซง
ฉันต้องเตือนนายก่อน หลังสร้างชมรม ระวังคนมายื่นคำท้าประลองกับชมรมนายด้วยล่ะ…
ท้าประลองได้ด้วยเหรอ? ฉันไม่ได้เปิดศูนย์วิชายุทธนะ ฉัน…
ไร้สาระ หลังก่อตั้งชมรม ทางมหาลัยจะจัดสรรพื้นที่ทำกิจกรรมและห้องชมรมให้ ชมรมจะได้รับเงินจำนวนหนึ่งจากชมรมวิถียุทธ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทุนสาธารณะของนาย
แน่นอน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะตั้งชมรมได้
เราไม่ได้ตรวจสอบใบสมัครของนาย ไม่ใช่เพราะมันไม่จำเป็น แต่เพราะนายสร้างผลงานให้มหาลัยในงานประลอง เพราะงั้นนายถึงตั้งชมรมได้
ถ้านายถูกท้าประลอง และในเวลานั้นนายมีสมาชิกน้อยกว่าสิบคน ชมรมของนายจะถูกยุบ
ช่วงสามเดือนแรก กฎนี้จะใช้ไม่ได้ หลังผ่านไปสามเดือน ชมรมวิถียุทธจะประเมินผลงานของนาย ถ้าชมรมมีสมาชิกน้อยกว่า 10 คน ชมรมจะถูกยุบ
สามเดือน?
ฟางผิงโล่งอก เขาพยักหน้า เข้าใจแล้ว ฉันเริ่มรับสมาชิกได้เลยไหม?
เดี๋ยว เราจะพานายไปดูพื้นที่ที่เราจัดสรรให้ชมรมนาย นอกจากนี้นายยังมารับเงินทุนของชมรมห้าหมื่นหยวนจากชมรมวิถียุทธทุกเดือน
ฟางผิงสีหน้าเปล่งประกายด้วยความยินดี ห้าหมื่นหยวนต่อเดือนค่อนข้างมากเลยทีเดียว!
แม้โม๋อู่จะร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้มีชมรมมากนัก อย่างมากก็มีประมาณร้อยชมรม
นั่นก็หมายถึงเงินทุนชมรมนับล้าน เป็นจำนวนที่โม๋อู่จ่ายไหว ยังไงเสียชมรมก็หมายถึงการทำงานเป็นทีม
โม๋อู่มักจะสนับสนุนนักศึกษาทำงานเป็นทีมมาเสมอ
สมาชิกชมรมวิถียุทธรีบพาฟางผิงไปที่อาคารหลังหนึ่ง เขากล่าว ห้องชมรมทั้งหมดอยู่ที่นี่แหละ สมาชิกชมรมที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ดังนั้นห้องชมรมจึงไม่ใหญ่นัก
พอนายมีคนมากกว่าร้อย นายจะขอเปลี่ยนสถานที่ได้
ขณะที่พวกเขาคุยกัน สมาชิกชมรมวิถียุทธก็พาฟางผิงไปที่ห้องชมรม เขาเปิดประตูผายมือ นี่จะเป็นห้องของนาย
ใหญ่ไม่เบา!
ฟางผิงพูดไม่ออก มันกว้างยิ่งกว่าออฟฟิศของดิสแทนซ์จำกัดด้วยซ้ำ
มีโต๊ะและเก้าอี้สำนักงานอยู่ข้างใน มีเศษกระดาษเกลื่อนพื้น แต่คราบฝุ่นอะไรไม่ได้มีมากนัก
ถ้าเป็นไปได้ ฉันจะใช้ที่นี่เป็นสาขา
ฟางผิงพูดในใจ ชมรมวิถียุทธไม่ได้สนใจ หลังให้เขาดูห้อง เขาก็กล่าว สามเดือนให้หลัง ชมรมวิถียุทธจะประเมินรายชื่อของชมรม ถ้ามีสมาชิกน้อยกว่าสิบคน ห้องชมรมจะถูกยึดคืน และต้องชดใช้เงินชมรมที่ให้ไปก่อนหน้านั้นด้วย
ตอนนี้นายจะทำอะไรก็ได้ จะรับสมาชิกก็ได้
อืม ขอบคุณ
ไม่เป็นไร
จากนั้นสมาชิกชมรมวิถียุทธก็เดินจากไป
ฟางผิงยังได้ยินคนอื่นที่อยู่ห้องชมรมข้างๆถามสมาชิกชมรมวิถียุทธด้วยว่า ‘มีชมรมใหม่พึ่งก่อตั้งเหรอ?’
ฟางผิงไม่ได้ฟังต่อ เขาเป็นประธานชมรมที่ไม่มีสมาชิก ใครจะว่างจนมายื่นคำท้าเขาหลังก่อตั้งชมรมได้ไม่กี่นาทีกัน?
ตอนนี้ทุกอย่างก็เสร็จแล้ว เหลือแต่ส่วนที่สำคัญที่สุด!
หลังฉันสร้างแพลตฟอร์มแล้วรับนักศึกษาปีหนึ่ง หลอกพวกเขาให้ทำงานให้ฉันฟรี จากนั้นฉันก็จะหาเงินได้!
ฟางผิงไม่คิดหาเงินจากแพลตฟอร์มในช่วงแรก
ถ้านักศึกษามีท่าทีสนับสนุนแพลตฟอร์ม แล้วทางมหาลัยรู้ถึงผลประโยชน์ ฟางผิงก็อาจพยายามทำกำไรจากมันบ้าง
ถ้ามหาลัยให้ส่วนลดฉันสัก 10% ฉันคงดีใจมาก!
ฟางผิงมีความสุขมาก ความเป็นไปได้ที่จะได้รับส่วนลดขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในอนาคต
ถ้าแพลตฟอร์มกลายเป็นช่องทางหลักในการแลกเปลี่ยนทรัพยากร และมียอดฝีมือขั้นสูงหลายคนออกจากงานเดิมได้ ความฝันของเขาก็อาจเป็นไปได้
สร้างตึกระฟ้าจากความว่างเปล่า สักวันทรัพยากรเชิงยุทธทุกอย่างในประเทศ หรือแม้แต่ทั้งโลกจะต้องผ่านมือฉัน!
ฟางผิงเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยาน เขาจะกลายเป็นนายหน้าที่โดดเด่นที่สุดของโลก ไม่สิ เขาจะกลายเป็นผู้จัดจำหน่ายที่โดดเด่นที่สุดในโลก!
เขาพุ่งทะยานไปเขตหอพัก ถึงเวลาที่สมาคมผิงหยวนจะรับสมัครสมาชิกแล้ว!