World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 197.1 เริ่มหยิ่งยโส (1)
ณ ทางเข้าหลักของอาคารเรียน
ฟางผิงยืนขวางอยู่หน้าทางเข้าคนเดียว ร้องตะโกนเสียงดัง รุ่นพี่หยูซ่างฮวา จางจื่อเวย เฉินเผิงเฟย ออกมาทำความรู้จักกันหน่อยไหม?
ฝูงชนที่กำลังแยกย้ายกันจากไปส่งเสียงฮือฮากันเล็กน้อย
เจ้าหนูนี่ทำอะไร?
เห็นๆกันอยู่ เขาคงอยากท้าประลองเพิ่มอันดับตัวเอง หรือไม่ก็อยากให้พวกเขาสนับสนุนเพิ่มคะแนนโหวตให้
หยูซ่างฮวาเป็นอันดับสาม จางจื่อเวยอันดับห้า เฉินเผิงเฟยอันดับแปด นายแน่ใจเหรอว่าเขาไม่ได้รนหาที่ตาย?
ไม่แน่ ถ้าเขาไม่มั่นใจเขาคงไม่ทำ ยังไงเสียเขาก็อยู่ยี่สิบอันดับแรก ใครแพ้ใครชนะเรายังระบุไม่ได้หรอก
…
ทุกคนถกกันเงียบๆ
ไม่นาน ชายหนุ่มผมแหวกข้างก็เดินผ่านฝูงชนออกมา เขาดูท่าทางดื้อดึงหัวแข็ง
เขาก้าวออกมาพร้อมกับจ้องมองฟางผิง จากนั้นชายหนุ่มก็พูดเสียงเย็น ฉันหยูซ่างฮวา
ขณะที่ฟางผิงกำลังจะพูด ก็มีอีกคนเดินออกมาอยู่ข้างๆ เธอเป็นหญิงสาว มีใบหน้ารูปไข่ปกติ ผมยาวมัดเป็นทรงหางม้าทำให้เธอดูมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา
หญิงสาวยิ้มบางๆให้ฟางผิงขณะเดินออกมา
จางจื่อเวย!
เฉินเผิงเฟย
คนสุดท้ายเป็นชายหนุ่มตัวใหญ่รูปร่างกำยำ เขาเดินออกมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม รุ่นน้องฟางเล่นใหญ่ขนาดนี้ มีอะไรอยากชี้แนะงั้นเหรอ?
ฟางผิงฉีกยิ้มเมื่อเห็นทั้งสาม รุ่นพี่ อย่าเข้าใจเจตนาฉันผิด ฉันอ่านรายชื่อคะแนนโหวต พวกรุ่นพี่ทั้งสามรวมกันได้ 32 คะแนน
ต่อให้ไม่ดู ฉันก็บอกได้ว่ารุ่นพี่ไม่มีใครธรรมดาเลย
แต่รุ่นพี่ทั้งสามหากไม่เป็นปีสองก็เป็นปีสาม ฉันคิดว่ารุ่นพี่คงไม่ขาดแคลนคะแนน ฉันเลยหวังว่ารุ่นพี่ทั้งสามจะสนับสนุนน้องใหม่อย่างเรา…
น้องใหม่ลำบากมาก…
หยูซ่างฮวาพูดขัด เรื่องไร้สาระไม่จำเป็นต้องพูด นายอยากได้คะแนน เราก็อยากได้เหมือนกัน
เมื่อกี้เรายังคุยกันอยู่ว่าจะคุยตกลงกัน
แต่นายโผล่มา ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาก็ง่ายเลย สู้กับเรา ถ้าเราแพ้ ฉันกับเพื่อนจะโหวตให้นาย
ถ้าฉันชนะ พวกนายน้องใหม่ต้องโหวตให้ฉัน ง่ายๆแค่นี้แหละ!
หลังพูดจบ หยูซ่างฮวาก็พูดต่อ นายพูดแทนทุกคนได้ไหม?
ฟางผิงหันไปมองพวกฟู่ชางติ่ง ฟู่ชางติ่งก็ยิ้มแล้วพูด ฉันไม่มีความเห็น สำหรับฉัน จะโหวตให้ใครก็ไม่ต่างกัน
คนอื่นก็พยักหน้า ฟางผิงเป็นน้องใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุด ถ้าเขาแพ้ คนอื่นๆก็คงไม่มีโอกาสชนะได้ ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ต่างกัน
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฟางผิงก็ยิ้ม ตกลง ฉันเห็นด้วย
เขาหันไปมองรุ่นพี่อีกสองคน แล้วพวกรุ่นพี่ล่ะ?
เฉินเผิงเฟยกอดอก พูดอย่างไม่แยแส ถ้านายชนะหยูซ่างฮวาได้ ฉันจะโหวตให้นาย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่ถ้านายแพ้ นายจะโหวตให้หยูซ่างฮวา สรุปคือฉันจะไม่ได้อะไรเลย เอาแบบนี้ไหม ถ้านายแพ้ นายต้องให้ฉัน 30 คะแนน
ชัดเจนว่าเฉินเผิงเฟยคิดว่าตนเองไม่จำเป็นต้องออกไปสู้ ถ้าฟางผิงชนะหยูซ่างฮวาได้ เฉินเผิงเฟยก็ไม่ใช่คู่มือฟางผิงเช่นกัน
แต่ถ้าฟางผิงแพ้หยูซ่างฮวา สู้กับเขาไปก็ไร้ความหมาย เพราะเขาเสียคะแนนโหวตให้คนอื่นแล้ว
30 คะแนน? ฟางผิงหัวเราะ ตกลง แต่รุ่นพี่เฉิน แค่รุ่นพี่ยังไม่พอ เอาแบบนี้ไหม? ถ้าฉันชนะ รุ่นพี่ต้องวิ่งเต้นหาคะแนนโหวตให้ฉันสิบคะแนน ตกลงไหม?
ตกลง
รุ่นพี่ต้องทำตั้งแต่พรุ่งนี้จนสิ้นสุดคลาสฝึกพิเศษ พวกเราเป็นผู้ฝึกยุทธ จะให้คิดเล็กคิดน้อยมันก็น่าเบื่อ
ฮ่าๆ รุ่นน้องฟางคงคิดมาดีแล้ว ฉันไม่ได้คิดปัญหานี้เลย เฉินเผิงเฟยหัวเราะเยาะ
ฟู่ชางติ่งที่อยู่ข้างๆรู้สึกผิดหวัง สรุปทั้งสองจะไม่ประมือกันเหรอ? ฟางผิงประลองกับหยูซ่างฮวาจะมีประโยชน์อะไร? เขาควรประลองกับเฉินเผิงเฟยต่างหาก!
หลังเขาจัดการปัญหากับเฉินเผิงเฟยเสร็จ ฟางผิงก็หันไปทางจางจื่อเวย เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในสามคนนี้
เธอยังเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ติดยี่สิบอันดับแรกอีกด้วย
จางจื่อเวยพูดเบาๆ นายอยากให้ฉันโหวตให้นายใช่ไหม? ง่ายมาก ชนะฉันได้เมื่อไหร่ค่อยคุยกัน เรื่องของคนอื่นไม่เกี่ยวข้องกับฉัน!
ชัดเจนว่าจางจื่อเวยไม่คิดว่าหยูซ่างฮวาจะเป็นตัวแทนเธอได้
หยูซ่างฮวาไม่สนใจ เขามองฟางผิงแล้วกล่าว ฉันไม่ใช่กู้เสียงจากหนานอู่ รุ่นน้องฟาง คิดให้ดี ถ้านายบาดเจ็บจนเสียเวลาฝึกยุทธ ก็อย่าตำหนิละกันว่ารุ่นพี่ข่มเหงนาย
ฉันจะตำหนิทำไม? ฟางผิงยิ้มมุมปาก แต่รุ่นพี่ ฉันอยากพูดอะไรหน่อย ฉันพึ่งบรรลุขั้นสาม รุ่นพี่หยูเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสอง ส่วนฉันเป็นขั้นสาม รุ่นพี่คงไม่รังเกียจที่จะประลองกับฉันใช่ไหม?
ขั้นสาม?
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป ความวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้นในฝูงชน
หยูซ่างฮวากับอีกสองคนไม่ได้สนใจคำพูดของฟางผิงเป็นพิเศษ จางจื่อเวยกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน ขั้นสาม แต่ไม่ได้เป็นขั้นสามชั้นสูงก็ไม่ได้แตกต่างกับผู้ฝึกยุทธขั้นสองเท่าไหร่ นอกจากนี้ขั้นสามแสดงถึงความสามารถของนาย แต่ผู้ฝึกยุทธตัดสินจากฝีมือ จะให้เราละทิ้งโอกาสก้าวหน้าแล้วปฏิเสธไม่ประลองกับนายเหรอ?
น้ำเสียงของเธอไร้ซึ่งร่องรอยความไม่พอใจหรือความหวาดกลัว
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังเป็นนักศึกษา ฟางผิงทะลวงสู่ขั้นสามแสดงให้เห็นถึงความสามารถของเขา
นอกจากนี้เขายังเป็นรุ่นน้องพวกเขาอีกด้วย
สำหรับผู้ฝึกยุทธขั้นสามที่ยังไม่บรรลุขั้นสามชั้นสูงแล้ว ความแตกต่างระหว่างขั้นสามกับขั้นสองเป็นแค่เรื่องของปราณและเลือดกับจำนวนขัดเกลากระดูกที่สูงกว่า มันแทบไม่มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัด
เวลานี้วิชาระเบิดพลังของฟางผิงมีระดับใกล้เคียงกับรุ่นพี่ทั้งสาม
จะไม่มีสถานการณ์อย่างเอาชนะพวกเขาได้ด้วยกระบวนท่าเดียว
นอกจากนี้ฟางผิงทะลวงขั้นสามก็แปลว่าเขาใช้เวลาขัดเกลาวิชาต่อสู้ของตนเองน้อย ถ้าฟางผิงยังอยู่ขั้นสองสูงสุด พวกเขาน่าจะแข็งแกร่งกว่า
มันก็เหมือนกับผู้ฝึกยุทธขั้นสองในงานประลองที่ไม่น่ากลัวเท่าผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดอย่างหานซวี่หรือฟางเหวินเสียง
รุ่นพี่เปิดกว้างมาก ฟางผิงชื่นชมจางจื่อเวย จากนั้นเขาก็เอ่ยถาม รุ่นพี่ทั้งสอง ใครจะเริ่มก่อน?
คนในฝูงชนพูดติดตลก รุ่นน้องฟางเป็นขั้นสามแล้ว ทำไมพวกนายสองคนไม่สู้กับเขาพร้อมกันเลยล่ะ?
สีหน้าของฟางผิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในฝูงชนมีคนหัวเราะเยาะ ขั้นสามประลองกับขั้นสอง หนึ่งสู้สองย่อมเป็นเรื่องปกติ ไม่งั้นเราคงไม่ยินยอมโหวตให้รุ่นน้องหรอก
นี่เป็นคนละเรื่องกันเลย หยูซ่างฮวากับจางจื่อเวยเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุด คนนึงเป็นอันดับสาม อีกคนเป็นอันดับห้า ไม่ว่าจะเป็นคนไหนก็แข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธขั้นสามชั้นกลางทั่วๆไป
ถ้าทั้งสองร่วมมือกัน ผู้ฝึกยุทธขั้นสามชั้นสูงอาจไม่มีพลังโต้กลับได้ด้วยซ้ำ
แม้ฟางผิงจะบรรลุขั้นสามแล้ว แต่ความแตกต่างก็ยังไม่เด่นชัดนัก แค่ตัวต่อตัวเขาก็อาจรับมือไม่ไหวด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับหนึ่งต่อสอง
ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดที่ไม่ติดอันดับ ฟางผิงสู้หนึ่งต่อสามได้สบายๆ เขาอาจรับมือหนึ่งต่อห้าได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยซ้ำ
แต่สองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา…
จางจื่อเวยกับหยูซ่างฮวาไม่ได้พูดอะไร พวกเขามองฟางผิงอย่างขบขัน
คนในฝูงชนหัวเราะ รุ่นน้องฟาง ก่อนหน้านี้นายบอกว่าอยากประลองกับประธานไม่ใช่เหรอ?
ประธานเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสี่! อย่าบอกฉันนะว่าที่นายพูดจาใหญ่โตนั่นเป็นเรื่องเหลวไหล นายต้องมั่นใจแค่ไหนกัน?
พอคู่ต่อสู้เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขั้นสอง นายคิดมาดีเชียว แล้วเมื่อคู่ต่อสู้เป็นขั้นสี่ล่ะ? เหอะๆๆ
คนจากชมรมวิถียุทธไม่ชอบความอวดดีของฟางผิงมาตั้งแต่แรกแล้ว
เขาเป็นแค่น้องใหม่ เขาคิดว่าโม๋อู่เป็นมหาลัยวิชายุทธดาษๆรึไง?
เขาพึ่งเข้ามหาลัยได้ไม่นาน เขาก็คุยโว ยื่นคำท้าประลองแก่ประธานชมรมวิถียุทธแล้ว เขาจะเอาชมรมไปทำไม?
พวกเขาไม่ได้คุ้นเคยหรือรู้จักกับฟางผิง พวกเขาจึงไม่ได้สนใจความอวดดีของเขา สำหรับพวกเขาแล้ว มาจับผิดคนที่ตนเองไม่รู้จักมันเสียเวลา
อย่างไรก็ตามตอนนี้ฟางผิงเป็นคนเริ่ม เขาไม่ได้แข็งแกร่งถึงขนาดที่ทุกคนจะไม่กล้าประลองกับเขา ดังนั้นทุกคนจึงพูดจาทิ่มแทงเขาสักสองสามคำ
ผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุดที่อยู่ที่นี่มั่นใจว่าตนเองไม่เสียเปรียบหากประมือกับฟางผิง
จากบรรดาผู้ฝึกยุทธขั้นสองยี่สิบอันดับแรก หกคนมาจากโม๋อู่ นอกจากฟางผิงกับคนอื่น ก็ยังมีอีกสองคนที่อยู่ที่นี่เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธขั้นสองอีกหลายคนที่ติดอันดับรายชื่อ พวกเขาล้วนไม่เกรงกลัวฟางผิง
ฟางผิง! หยางเสี่ยวม่านตะโกน เธอส่ายหัวไปทางฟางผิง รุ่นพี่พวกนี้เห็นได้ชัดว่าอยากทำให้ฟางผิงขายหน้า และอยากแสดงให้น้องใหม่เห็นว่าใครกันแน่ที่ใหญ่กว่ากัน
หลังงานประลองระดับประเทศก่อนหน้านี้ น้องใหม่ที่ได้รับเลือกหลายคนโด่งดังกว่ารุ่นพี่ ผู้ฝึกยุทธไม่ใช่นักบุญ พวกเขาย่อมรู้สึกอิจฉารู้สึกไม่พอใจ
น้องใหม่มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับความสนใจมากกว่ารุ่นพี่?
…
ตอนแรกฟางผิงตั้งใจประลองกับใครสักคนเพียงเพื่อแสดงฝีมือ ซึ่งหยูซ่างฮวาที่เป็นอันดับสามเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามตอนนี้มีคนฉวยโอกาสขยายความเกินจริง ทำให้มันมีหนักหนามากกว่าเผินเดิมที่ตั้งใจไว้
หยูซ่างฮวากับจางจื่อเวยยังคงเงียบ ตอนแรกพวกเขาอาจไม่อยากผนึกกำลังสู้ฟางผิง แต่เมื่อเห็นฟางผิงขี่อยู่บนหลังเสือ ทั้งสองเหมือนดูมีความสุขกับภาพที่เห็น
เวลานั้นเองจ้าวเหล่ยก็พลันพูดขึ้นมา ฟางผิงรวมฉันไปด้วย สองต่อสอง ตอนนี้ฉันเป็นแค่ขั้นสองชั้นล่าง มันไม่นับว่าเป็นการข่มเหงอีกฝ่าย!
ฟางผิงชำเลืองมองแล้วส่ายหน้า ไม่จำเป็น เนื่องจากทุกคนอยากเห็นฉันฟางผิงท่าดีทีเหลว ฉันย่อมไม่ปฏิเสธ
รุ่นพี่หยูกับรุ่นพี่จางคิดยังไง?
จางจื่อเวยยิ้ม รุ่นน้องฟาง นายมั่นใจเหรอ?
ต่อให้แพ้ก็ไม่ขายหน้า ถ้าฉันชนะ…ฉันก็จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าฉันฟางผิงไม่ได้คุยโวโดยไม่มีเหตุผล
หยูซ่างฮวา นายเอายังไง? จางจื่อเวยหันไปมองหยูซ่างฮวา
หยูซ่างฮวาขมวดคิ้ว แต่ไม่ช้าก็สงบลง เขาพูดอย่างราบเรียบ งั้นก็ได้ รุ่นน้องฟางมีประสบการณ์น้อย เราไปแลกเปลี่ยนวรยุทธกับเขากันเถอะ
รุ่นพี่ทั้งสองบรรลุความเข้าใจกัน
คนอื่นก้าวถอยหลังไป บางคนก็เริ่มโทรหามิตรสหายมาชมเรื่องสนุก
น้องใหม่สมัยนี้ไม่รู้ว่าฟ้าสูงเท่าไหร่แผ่นดินหนาเท่าไหร่
ขั้นสามฟังดูน่าประทับใจ แต่เด็กที่พึ่งบรรลุขั้นสามกำลังประมือกับผู้ฝึกยุทธขั้นสองที่ติดสิบอันดับแรกถึงสองคน? เขาคิดจริงๆเหรอว่าพวกเขาไม่เคยจัดการผู้ฝึกยุทธขั้นสามมาก่อน?
หยูซ่างฮวาแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธขั้นสามชั้นกลางทั่วๆไปเสียอีก จางจื่อเวยก็ไม่ได้ด้อยกว่าไปเท่าไหร่
โม๋อู่เป็นสถานที่รวมตัวกันของอัจฉริยะ แถมรุ่นพี่ทั้งสองนี้ก็ยังเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ
เมื่อทุกคนก้าวถอยไป ฟางผิงก็ถอนหายใจเบาๆ เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง มือเปล่าหรือใช้อาวุธ?
ยังไงก็ได้ การต่อสู้จริงไม่ได้กำหนดเรื่องแบบนี้ หยูซ่างฮวากล่าวพลางรับกระบองสั้นฉีเหมยมาจากคนอื่น
จางจื่อเวยชักกระบี่ยาวออกมาแล้วโยนฝักกระบี่ให้กับคนที่อยู่ใกล้ๆ
ฟางผิงไม่รอช้า รีบเตรียมดาบยาวของตนอย่างรวดเร็ว