World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 203 เฒ่าหลี่ผู้เหยียบชายขอบปรมาจารย์
ณ แผนกโลจิสติกส์
ฟางผิงแอบมองอยู่ครู่หนึ่ง เฒ่าหลี่เงยหน้าขึ้นมา ไม่แน่ใจว่ายิ้มอยู่หรือไม่ หมอบกับพื้นแล้วคลานเข้ามา ฉันจะแสร้งทำเป็นไม่เห็นนาย
ฟางผิงยิ้มแห้ง อาจารย์ ครั้งก่อนเป็นเพราะผมต้องการเงิน…
ดังนั้นนายเลยหลอกฉัน?
ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมแค่คิดว่า…
พอแล้ว เลิกพูดจาไร้สาระสักที บอกมา นายมาทำอะไร?
อาจารย์ ผมมีคะแนนแล้ว ผมพึ่งได้มา 1180 คะแนน!
ฟางผิงเผยสีหน้าภาคภูมิใจ นี่เป็นคะแนนสูงที่สุดที่เขาเคยเก็บสะสมได้
ยกเว้นของวันนี้ ฟางผิงถอนคะแนนที่ได้มาตลอด 18 วันมาด้วย
ตอนนี้นายรวยแล้วฮะ? ก็ได้ว่ามา นายอยากซื้ออะไร?
เม็ดยาปราณและเลือดขั้นสอง 60 เม็ด
เฒ่าหลี่มองเขาอย่างแปลกใจ มั่นใจใช่ไหมว่าอยากได้ยาขั้นสอง?
ครับ
ค่าทรัพย์สินที่ได้จากเม็ดยาปราณและเลือดขั้นสองไม่ได้ต่างกันนักเมื่อเทียบกับเม็ดยาปราณและเลือดสามัญ บางทีมันอาจมากกว่าด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามยาขั้นสองไม่เป็นที่นิยม มันขายได้ยาก
แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้มันต่างออกไป เฉินหยุนซี ฟู่ชางติ่ง คนอื่นๆต่างก็เป็นขั้นสองกันแล้ว เมื่อพวกเขาต้องการเม็ดยาปราณและเลือดอย่างเร่งด่วน เม็ดยาขั้นสองก็ขายได้ดี
ก่อนหน้านี้ตอนที่ทุกคนเป็นขั้นหนึ่ง เม็ดยาปราณและเลือดสามัญที่ฟางผิงแลกมาครั้งสุดท้ายแทบขายไม่ออก นี่เป็นข้อพิสูจน์แล้ว
ดังนั้นเขาก็ต้องพัฒนาตามกระแส เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ปรับปรุงให้เข้ากับความต้องการของลูกค้า
59 เม็ด
ฟางผิงพูดไม่ออก เขาร้องโอดครวญ อาจารย์ รอบนี้ผมไม่ได้ขอให้อาจารย์ดูแลผมเป็นพิเศษ ผมแลกเปลี่ยนมากกว่าพันคะแนน ผมขอให้อาจารย์แถมเม็ดยาแค่เม็ดเดียวคงไม่มากเกินไปใช่ไหม?
รอบนี้เขาไม่กล้าพูดจาเหลวไหลหรือพยายามโกหกชายชราอีก
ช่วงนี้ชายชราอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นฟางผิงจึงไม่กล้ายั่วยุเขา
อย่างไรก็ตามเขามีมากกว่าพันคะแนน มันขาดไป 20 คะแนนเท่านั้น เขาไม่เชื่อว่าเฒ่าหลี่จะมองข้ามเรื่องนี้
เฒ่าหลี่แค่นเสียง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบเม็ดยาปราณและเลือด 60 เม็ดแล้วโยนไปให้ฟางผิง ถ้ามีเรื่องแบบนี้อีก ฉันจะหักขานายซะ!
ฟางผิงยิ้มทะเล้น ตาเฒ่าเริ่มแก่แล้ว เขาแค่กำลังหาความบันเทิง
นายบอกว่านายจะมอบให้กับสมาชิกชมรม แต่นายดันกลับลำแล้วเอาไปขายแทน มันไม่ยุติธรรม! ในเมื่อทำอย่างที่พูดไม่ได้ จะมาพูดจาเหลวไหลไปทำไม?!
เฒ่าหลี่ดูโกรธไม่น้อย จากนั้นฟางผิงก็พูดต่ออย่างเขินๆ อาจารย์ ตอนนี้ผมขาดทรัพยากร วางใจได้ รอผมมั่งคั่ง ผมจะให้พวกเขาแน่นอน เมื่อผมแข็งแกร่งขึ้น ผมก็จะหาเงินได้มากขึ้น
ไปให้พ้น!
ฟางผิงรีบวิ่งหนีไป ครั้งก่อนที่เขามา เขาเกือบทำให้ชายชราขุ่นเคือง ตาแก่คนนี้อย่างน้อยก็เป็นขั้นห้าขั้นหก หรืออาจเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในขั้นหกสูงสุดด้วยซ้ำ
เขาควบคุมแผนกโลจิสติกส์ แถมยังไม่ใช่แค่สำนักงานแลกเปลี่ยนเท่านั้น ถ้าฟางผิงทำให้เขาโกรธเคือง งั้นคงเป็นปัญหาใหญ่แล้ว
…
เมื่อแลกเปลี่ยนเม็ดยาเสร็จ ฟางผิงก็ได้ค่าทรัพย์สินถึง 23.8 ล้าน แลกเปลี่ยนเม็ดยารอบนี้เขาได้ส่วนต่างมา 6.2 ล้าน รวมแล้วเป็นค่าทรัพย์สิน 30 ล้านพอดี
เวลานี้ ค่าทรัพย์สินของฟางผิงเพิ่มขึ้นสูงอีกครั้ง
ทรัพย์สิน : 49 ล้าน
ปราณและเลือด : 600แคล (639แคล)
จิตใจ : 440เฮิรตซ์ (459เฮิรตซ์)
ขัดเกลากระดูก : 132 ชิ้น (90%) 74 ชิ้น (30%)
‘จนถึงตอนนี้ฉันขัดเกลากระดูกไป 6 ชิ้นเท่านั้น โดยเฉลี่ยแล้ว มันต้องใช้ค่าทรัพย์สินประมาณ 9 แสนเพื่อขัดเกลาโครงกระดูกหนึ่งชิ้น แต่ตอนนี้ขัดเกลากระดูกชิ้นนึง ปราณและเลือดเพิ่มขึ้นเกือบ 10แคล’
‘กระดูกลำตัวยังเหลืออยู่อีก 45 ชิ้น…’
ฟางผิงคำนวณอย่างรวดเร็ว กระดูกซี่โครงยังเหลืออยู่อีก 19 ชิ้นถึงจะขัดเกลาสมบูรณ์ ถ้าขัดเกลาผ่านระบบทั้งหมดต้องใช้ค่าทรัพย์สิน 34.2 ล้าน
‘หลังขัดเกลากระดูกซี่โครงเสร็จ ฉันก็จะถึงขั้นสามชั้นกลาง ตอนนี้ฉันมีค่าทรัพย์สินพอขัดเกลากระดูกสันหลังแล้ว ในแง่เงินสด ช่วงนี้ฉันไม่ได้ใช้เลย ฉันเลยยังมีเงินอยู่ 14.6 ล้าน หลังขายยาชุดนี้หมด ฉันจะมีเงินราว 50 ล้าน’
‘ฉันจะลองซื้อเม็ดยามาช่วยขัดเกลาร่างกาย ฉันจะได้ไปถึงชั้นกลางได้อย่างรวดเร็ว’
…
ฟางผิงวิ่งกลับไปหอพักอีกครั้งพร้อมกับความคิดเต็มหัว
เดิมทีเขาตั้งใจจะไปหาเฉินหยุนซี แต่หลังจากครุ่นคิดดูสักครู่ เขาก็นึกได้ว่าไป๋รั่วซีพึ่งได้รับบาดเจ็บมา เมื่อเห็นว่าเฉินหยุนซีได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ ไปหาเธอตอนนี้คงไม่เหมาะนัก
เขาตัดสินใจไม่ไปหาเฉินหยุนซี เขาตรงไปหาจ้าวเหล่ยแทน
จ้าวเหล่ยก็เป็นเศรษฐีเช่นกัน
…
นายจะขายให้ฉัน?
จ้าวเหล่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองฟางผิงแล้วเอ่ยถาม นายไม่ใช้เองเหรอ?
ฉันใช้ยาขั้นสาม
แต่นายดันแลกยาขั้นสองมา? จ้าวเหล่ยพูดไม่ออก
ฉันแลกมาขาย นายใช้เม็ดยาขั้นสองไม่ใช่รึไง? ราคาตลาดตกอยู่ 7 แสนต่อเม็ด ชุดนี้ 42 ล้าน ฉันจะให้ส่วนลดนาย 38 ล้านก็พอ
จ้าวเหล่ยคร้านเกินกว่าจะสนใจ เขาอ่านหนังสือต่อพร้อมกับเอ่ยปากพูด ฉันจ่ายไม่ไหว
พ่อนายเป็นขั้นห้า นายบอกว่านายซื้อเม็ดยาไม่กี่เม็ดไม่ไหวงั้นเหรอ?
นายก็รู้พ่อฉันเป็นขั้นห้า ในเมื่อนายรู้แล้ว งั้นก็บอกฉันหน่อยฉันจะซื้อไปทำไม ฉันมีคะแนนพอแลกมาใช้เอง พ่อฉันก็ให้เม็ดยามาสนับสนุนฉันบ้างเหมือนกัน นอกจากฉันแล้ว ในตระกูลก็ไม่มีใครเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสอง สรุปคือไม่มีใครใช้เลยเข้าใจไหม?
ฟางผิงรู้สึกหมดหนทางขึ้นมาฉับพลัน จ้าวเหล่ยพูดไม่ผิด
เขาใช้คะแนนของตัวเองซื้อเม็ดยาได้ แถมตระกูลเขายังช่วยสนับสนุนอยู่บ้าง หากไม่มีผู้ฝึกยุทธขั้นสองคนอื่น เม็ดยาปราณและเลือดขั้นสองก็ไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตามเม็ดยาระดับสามัญ มันนำมาใช้เพื่อฟื้นฟูปราณและเลือดทุกวัน
ถ้าใช้เม็ดยาขั้นสองฟื้นฟูทุกวัน มันคงเป็นการเสียเงินเปล่า
แล้วสัก 20 เม็ดล่ะ?
จ้าวเหล่ยปวดหัวเล็กน้อย เขากล่าว ราคาตลาดของเม็ดยาขั้นสองสูงเกินไป นายคิดว่าฉันโง่เหรอ? 20 คะแนน ฉันใช้เงิน 6 แสนซื้อ 20 คะแนนเองก็ได้ ทำไมฉันต้องซื้อจากนายในราคาที่สูงกว่าด้วย? ฟางผิงนายบ้ารึเปล่า นายคิดว่าเราคำนวณเองไม่เป็นเหรอ? เม็ดยาขั้นหนึ่งยังเอามาคุยได้ แต่นายดันใช้ราคาตลาดของเม็ดยาขั้นสองมาหลอกคน นายไม่ละอายบ้างเหรอ?
ฟางผิงตระหนักทันที เขากลืนน้ำลาย ฉันลืม
เขาเอาแต่คิดว่าราคาตลาดของเม็ดยาขั้นสองอยู่ที่เจ็ดแสน ต่อให้ลดสิบเปอร์เซ็นต์ มันก็ยังมีราคาหกแสน เขาพึ่งมาตระหนักตอนนี้ว่าราคาตลาดของเม็ดยาขั้นสองนั้นสูงเกินไป!
ในโม๋อู่ ต่อให้ไม่มีคะแนน คุณก็แลกเปลี่ยนเม็ดยาได้ด้วยเงิน 6 แสน
ดังนั้นมีเพียงคนโง่เท่านั้นแหละที่ซื้อเม็ดยาในราคาที่สูงกว่า
เรื่องนี้มันต่างกับเม็ดยาสามัญกับเม็ดยาขั้นหนึ่ง
ฉันลืม… ฟางผิงสีหน้าดูน่าเกลียด เพราะเม็ดยาขั้นสอง ระบบได้มอบค่าทรัพย์สินให้เขาแล้วห้าแสน
นี่หมายความว่าถ้าเขาขายเม็ดยาต่ำกว่าห้าแสน ค่าทรัพย์สินแค่แต้มเดียว เขาก็ไม่จำเป็นต้องนึกถึง
อย่างไรก็ตาม เม็ดยามูลค่าหกแสน ถ้าเกินห้าแสนหน่อยคงไม่เป็นไรถูกไหม?
งั้น…ห้าแสนห้าล่ะ?
ฉันให้ห้าแสน ไม่มากกว่านี้
ฝันไปเถอะ!
ฟางผิงแค่นเสียงก่อนจะหันหลังเดินจากไป เจ้าหมอนี่! จะกดราคากันเกินไปแล้ว
…
ฟางผิงใช้เวลาช่วงบ่ายเร่ขายเม็ดยาปราณและเลือดขั้นสอง แม้แต่เหล่าเซิง เขาก็ไปเร่ขายให้
สุดท้ายฟางผิงก็ขายได้เม็ดละ 520,000 อย่างความยากลำบาก เขาถอนหายใจ ครั้งนี้เขาได้ค่าทรัพย์สินเพียง 1.2 ล้านเท่านั้น
ในแง่เงินสด เขามีเพียง 31.2 ล้าน ซึ่งไม่สูงเท่ากับมูลค่าของคะแนน
เขามี 1180 คะแนน หลังรวมเม็ดยาที่เฒ่าหลี่แถมให้ มันก็เป็น 1200 คะแนน ปกติแล้วเขาจะทำเงินได้มากกว่า 36 ล้าน
‘ขาดทุนยับ!’
‘ฉันต้องโง่แน่ๆ! ฉันคิดอะไรอยู่ถึงได้แลกเม็ดยาขั้นสอง?’
ฟางผิงปวดร้าวกับความประมาทของตนเอง เขาขาดทุนไป 5 ล้านในคราวเดียว ที่แย่ไปกว่านั้น เขาขาดทุนค่าทรัพย์สินไปมหาศาล
ถ้าเขาแลกเม็ดยาปราณและเลือดสามัญมา 400 เม็ด เขาจะได้ไม่น้อยกว่า 35 ล้าน
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันขาดทุนครั้งใหญ่แบบนี้ ขาดทุนหนักมาก!
ขาดทุนห้าล้านก็เจ็บปวดพอแล้ว แต่เขาขาดทุนค่าทรัพย์สินไปอีกห้าล้าน
รวมแล้วเขาขาดทุนถึงสิบล้านในคราวเดียว
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฟางผิงขาดทุนมหาศาลจากการขายเม็ดยา
ฉันนี่โง่จริงๆ!
ไม่แปลกใจเลยที่ฉันสังหรณ์ใจไม่ดี ฉันสายตาแคบสั้นเกินไป ทุกอย่างมันราบรื่นไปหมดจนฉันหลงระเริง
ฉันต้องทบทวนตัวเอง!
มันไม่ควรเป็นแบบนี้ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ฝึกยุทธกลุ่มอื่นจะมีสมอง
ที่ฟางผิงเจ็บปวดที่สุดก็คือ ทุกคนมีสมองและคิดคำนวณได้ด้วยตัวเอง
ผู้ฝึกยุทธควรโง่เหมือนสิงโตสิ
เขาไม่คิดเลยว่าคนอื่นจะรู้ว่าใช้เงินหกแสนแลก 20 คะแนนได้ แล้วก็ใช้คะแนนไปแลกเม็ดยาแทนที่จะซื้อเม็ดยาตามราคาตลาด
มันก็เหมือนกับเม็ดยาปราณและเลือดสามัญ 3 คะแนนก็คือเก้าหมื่น ก่อนหน้านี้เมื่อฟู่ชางติ่งกับคนอื่นๆอยากได้ส่วนลด 12% ฟางผิงก็ยังได้กำไรอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามราคาเก้าหมื่น มันไม่ใช่ราคามิตรภาพแล้ว
ไม่น่าแปลกใจ พอฉันขอเม็ดละเก้าหมื่น ไม่มีใครอยากซื้อเลย
ด้วยราคาเก้าหมื่น ถ้าพวกเขาซื้อเม็ดยาที่มหาลัย มันก็มีราคาเท่ากันแล้ว เหตุผลเดียวที่ไม่มีใครบ่นก็เพราะเม็ดยาที่ฟางผิงขายไม่ได้แพงไปกว่านี้
อย่างไรก็ตามด้วยส่วนลด 12% มันถือว่าถูกกว่าซื้อกับมหาลัย
ส่วนที่เขาขายให้กับเฉินหยุนซี…ดูเหมือนมันจะลดน้อยกว่า 10%
แผนการล้มเหลว
ฟางผิงทบทวนตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจเลิกคิดเรื่องนี้ ทุกความผิดพลาดก็คือบทเรียน ครั้งหน้าเขาแค่ระวังให้มากขึ้นก็พอ
ถึงกระนั้น สถานการณ์ก็ไม่ได้เลวร้ายปานนั้น ยังไงเสียมันก็เป็นครั้งแรกที่ค่าทรัพย์สินเขาทะลุ 50 ล้าน แตะ 50.2 ล้าน
‘ถึงเวลาทำภารกิจที่อาจารย์มอบหมายแล้ว ยังไงก็ได้ 1000 คะแนนมาแล้ว’
เมื่อคิดได้แบบนั้น ฟางผิงก็พลันดึงม้วนกระดาษที่ถืออยู่ในอ้อมแขนออกมา
‘แค่ให้รูปถ่ายมาก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องให้ม้วนกระดาษมาแทน?’
ฟางผิงเปิดม้วนกระดาษ ปากก็บ่นพึมพำ
เขาขมวดคิ้ว ‘หล่อปานนั้นเลย?’
‘ไม่สิ ผู้หญิง…?’
เมื่อมองดูรูปวาดชายหนุ่มผมยาวรูปงาม จู่ๆฟางผิงก็ไม่มั่นใจเพศของคนๆนี้
‘ผู้ชายเหรอ?’
‘ผู้ชายไว้ผมยาว…’
จู่ๆฟางผิงก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี เขารีบวิ่งไปแผนกโลจิสติกส์ทันที
…
นายได้คะแนนมาอีกแล้วเหรอ?
เปล่า อาจารย์ผมพึ่งขาดทุนหนักมาก ช่างเถอะ ไว้ค่อยคุยทีหลัง
ฟางผิงไม่พูดอ้อมค้อม เขาคลี่ม้วนกระดาษแสดงภาพวาดให้เฒ่าหลี่เห็น อาจารย์รู้จักคนนี้ไหม?
เฒ่าหลี่มองดูภาพวาด จากนั้นก็มองฟางผิงด้วยสายตาแปลกๆแล้วตอบตามตรง หลู่เฟิ่งโหรวให้นายมาเหรอ?
ครับ
1000 คะแนน แล้วนายก็รับมาทั้งแบบนั้นน่ะนะ?
ฟางผิงพยักหน้าด้วยสีหน้าซีดเผือด ใช่ ผมรับมา
เหอะ เหอะ
อาจารย์รู้จักคนนี้เหรอ?
ถูกต้อง
เฒ่าหลี่หาว มันไม่เพียงแต่เป็นศัตรูของหลู่เฟิ่งโหรวเท่านั้น แต่มันยังเป็นศัตรูของฉันกับอีกหลายๆคนด้วย มันเป็นเจ้าเมืองของเมืองเทียนเหมิน เป็นขั้นเก้า ไม่เป็นไร พอนายบรรลุขั้นเก้า นายก็ฆ่ามันซะก็สิ้นเรื่อง ยังไงนายก็ต้องฆ่ามันไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี
เขาเป็นยอดปรมาจารย์ขั้นเก้า? ฟางผิงหน้าถอดสี
‘ฉันรับภารกิจที่เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ขั้นเก้า แถมฉันยังขอมาแค่ 1000 คะแนน!’
ผิดแล้ว มันเป็นขั้นเก้า แต่ไม่ใช่ยอดปรมาจารย์ เฒ่าหลี่พูดแก้ให้
ยอดปรมาจารย์ของมนุษย์เป็นสมญานาม เพราะพวกเขาได้เสียสละเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อและน้ำตาเพื่อมนุษยชาติไปมากมาย
ส่วนสิ่งมีชีวิตถ้ำใต้ดิน พวกมันถูกเรียกว่าขั้นเก้าเท่านั้น
ขั้นเก้า!
ฟางผิงตระหนักทันที หลู่เฟิ่งโหรวแค่บอกว่าเขาไม่ใช่ปรมาจารย์หรือยอดปรมาจารย์
เจ้าเมืองของเมืองเทียนเหมินเป็นขั้นเก้า?
ถูกต้อง
งั้น…ถ้ำใต้ดินมีคนที่แข็งแกร่งกว่านั้นไหม?
ส่วนใหญ่พวกมันอาจอยู่ประมาณขั้นเก้า ยังไงเสียตอนที่ผู้บัญชาการหลี่สู้กับอีกฝ่ายก็ไม่ได้พ่ายแพ้ ดังนั้นพวกมันอาจอยู่เหนือขั้นเก้าเพียงเล็กน้อย เจ้าเมืองของเมืองเทียนเหมินถูกพิจารณาเป็นขั้นเก้าชั้นล่างเท่านั้น เจ้าหนู ฉันประเมินนายไว้สูง นายยังมีหวัง
เฒ่าหลี่พูดให้กำลังใจ อย่างไรก็ตาม ฟางผิงจะฆ่าอีกฝ่ายได้ไหมนั้น…
เฒ่าหลี่ไม่ได้สนใจ กว่าฟางผิงจะไปถึงขั้นเก้าต้องใช้เวลาอีกกี่ปี?
10 ปี?
20 ปี?
30 ปี?
พูดยากอย่างยิ่ง
ขั้นสามก็ยากแล้ว
การจะไปถึงขั้นสามสูงสุดยากยิ่งกว่า!
ต่อให้เขาไปถึงขั้นเจ็ด มันก็ไม่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน
หลายสิบปีต่อจากนี้ เจ้าเมืองของเมืองเทียนเหมินจะยังมีชีวิตอยู่ไหม?
โลกจะยังอยู่ไหม?
ไม่มีใครทราบได้!
หลู่เฟิ่งโหรวบอกว่าจะดูแลฟางผิง ไม่ใช่ว่าเธอทำไม่ได้ อย่างไรก็ตามบางที…บางทีเขาอาจมีร่องรอยความหวัง
ฟางผิงมีจิตใจแข็งแกร่งเหนือกว่าคนทั่วไป ดังนั้นบางทีเขาอาจกลายเป็นยอดปรมาจารย์อย่างรวดเร็วเลยก็ได้
อย่างไรก็ตามโอกาสเกิดเรื่องแบบนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ ตัวหลู่เฟิ่งโหรวก็คงไม่เชื่อ
ฟางผิงใจลอย ‘ไม่ว่ายังไงฉันก็รับภารกิจแล้ว ฉันคิดว่าฉันไปถึงขั้นเก้าได้ในไม่ช้า! ไม่ใช่ว่าฉันขาดทุนครั้งใหญ่อีกแล้วเหรอ?’
ฟางผิงรู้สึกว่ายังไงมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะบรรลุขั้นเก้า พระเจ้าต้องส่งเขามาเพื่อช่วยโลกนี้เป็นแน่
สิ่งที่เขากำลังพิจารณาอยู่ตอนนี้ต่างจากคนอื่น เขาไม่ได้พิจารณาว่าเขาจะบรรลุขั้นเก้าหรือไม่ แต่เป็นเมื่อเขาบรรลุขั้นเก้าแล้ว หลู่เฟิ่งโหรวจ่ายาแค่ 1000 คะแนนเพื่อผู้ฝึกยุทธขั้นเก้าที่ทรงพลัง ได้กำไรเหลือเกิน!
สายตาเฉียบแหลมมาก! อาจารย์ผมมีสายตาเฉียบแหลมถึงลงทุนกับผม ผมชื่นชมจริงๆ
ฟางผิงรู้สึกชื่นชมหลู่เฟิ่งโหรว อาจารย์เขามีสายตาเฉียบแหลมจริงๆ
อันที่จริงอาจารย์คงเห็นว่าผมคงถึงขั้นเก้าได้ในไม่ช้า!
เฒ่าหลี่หน้ากระตุกชำเลืองมองฟางผิง ‘เจ้าเด็กนี่จะหน้าด้านถึงขั้นไหนเนี่ย?’
‘นายคิดจริงเหรอว่าจะบรรลุขั้นเก้าได้ง่ายอย่างที่พูด?’
ออกไปได้แล้ว เอ้อ ถ้านายเจอมันก่อนขั้นเก้า นายตายแน่นอน ขอให้นายไม่โชคร้ายขนาดนั้นแล้วกัน
ฟางผิงมองเฒ่าหลี่อย่างสับสน อาจารย์บอกว่ามันเป็นศัตรูของอาจารย์…
อาจารย์จัดการมันได้ไหม?
อย่าบอกนะ…
ฟางผิงช็อค เฒ่าหลี่เคยเป็นขั้นเก้าที่ทรงพลังเหรอ? แต่เพราะต่อสู้กับศัตรู เขาเลยบาดเจ็บสาหัส…
มีภาพมากมายแวบเข้ามาในหัว บ้างก็เศร้า บ้างก็ฮึกเหิม เฒ่าหลี่คำรามขึ้นฟ้าหลังพ่ายแพ้ให้กับศัตรู…
เหอะเหอะ นายคิดว่าฉันเป็นขั้นเก้าเหรอ? เฒ่าหลี่ขบคิด ถ้าฉันเป็นขั้นเก้า ต่อให้ฉันไร้พลังมันก็คงไม่สำคัญ อาจารย์ใหญ่และคนอื่นๆก็ยังคงปฏิบัติต่อฉันเหมือนสมบัติ นายคิดว่าพวกเขาจะปล่อยให้ฉันเสียเวลาอยู่ตรงนี้กับเด็กน้อยอย่างนายเหรอ? เจ้าโง่!
เฒ่าหลี่เปลี่ยนน้ำเสียงทันที ราวกับกำลังเยาะเย้ยตัวเอง ว่าก็ว่าเถอะ มันใกล้แล้วเชียว อีกนิดเดียวฉันก็บรรลุขั้นเก้าแล้วเชียว
ขั้นแปดสูงสุด! ฟางผิงอุทานด้วยความตกใจ
ขั้นหกสูงสุด มันใกล้แล้วเชียว เฒ่าหลี่ถอนหายใจ ฉันเกือบเป็นปรมาจารย์แล้ว ถ้าฉันกลายเป็นปรมาจารย์ ฉันคงไปถึงขั้นเก้าในเวลาไม่นาน นายไม่คิดเหรอว่าฉันใกล้แล้ว?
น่าเสียดายที่อาจารย์ไม่ได้เป็นปรมาจารย์…
ครั้งนี้เฒ่าหลี่ไม่ได้ล้อเล่น เขาเสียใจจริงๆ
ที่เขาพูดเมื่อกี้ก็ไม่ได้ล้อเล่นเช่นกัน การเข้าสู่ปรมาจารย์นั้นถือเป็นคอขวด
ถ้าเขาทะลวงคอขวดนั้นได้ มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปถึงขั้นเก้า
น่าเสียดายที่เขาติดอยู่ขั้นหกสูงสุดมานานหลายปีจนหมดไฟไปแล้ว เวลานี้เขากำลังเกษียณ
ขั้นหกสูงสุด… ฟางผิงโล่งอก แต่ก็ค่อนข้างเสียใจเช่นกัน เขาจึงเอ่ยปลอบโยน อาจารย์ บางทีวันหนึ่งพออาจารย์ตื่นขึ้นมา อาจารย์อาจกลายเป็นปรมาจารย์ไปแล้วก็ได้
เหลวไหล!
ชายชราหัวเราะ นายคิดว่าปรมาจารย์เป็นกะหล่ำปลีเหรอ? ถ้าคนแก่อย่างฉันกลายเป็นปรมาจารย์แล้วมีชีวิตอยู่ได้อีกสักสองสามปี ฉันก็คงมีเวลาระเบิดเลือดอันเร่าร้อน สังหารศัตรูทั่วหล้า น่าเสียดายมันไม่ได้เกิดขึ้นตอนฉันยังหนุ่ม! ถ้าตอนนั้นฉันเป็นปรมาจารย์นะ…ฉันคง…
จู่ๆเฒ่าหลี่ก็หงุดหงิด เขาโบกมือไล่ฉับพลัน พูดอย่างไม่ใส่ใจ ไปให้พ้น! อย่ามารบกวนฉัน!
ฟางผิงเห็นเฒ่าหลี่อารมณ์ไม่ดี เขาจึงไม่พูดจาเหลวไหลอีกแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเขาออกไปแล้ว เฒ่าหลี่ก็ถอนหายใจ ฉันแก่แล้ว ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ได้อีกสักสองสามปี ฉันก็ควรเข้าถ้ำใต้ดินด้วย
ในช่วงอายุนี้ ถ้าจู่ๆเขาอยากเข้าถ้ำใต้ดินหลังไม่ได้เข้ามานาน มันย่อมมีความหมายอื่น
ต่อให้ความตายจะใกล้เข้ามา เขาก็จะเข่นฆ่าจนกว่าจะสิ้นแรง ยังไงเสียผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งอย่างเขาจะเสียชีวิตอยู่บนเตียงผู้ป่วยได้อย่างไร?