World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 204 นี่คือคนหนุนหลังฉัน!
ผู้ฝึกยุทธขั้นเก้า…
หลังเขาออกจากแผนกโลจิสติกส์ ฟางผิงก็ถอนหายใจไม่หยุด
ด้วยสติปัญญาอันล้ำเลิศของเขา เขาย่อมตระหนักอย่างรวดเร็ว ภารกิจส่งจดหมายยากกว่าที่เห็นแน่นอน!
แม้เขาจะกังขา แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำภารกิจให้เสร็จ
หลังรับ 1000 คะแนนมาแล้ว ฟางผิงก็ไม่กล้าละทิ้งภารกิจ ไม่งั้นหลู่เฟิ่งโหรวคงมาแสดงให้เขาเห็นแน่ว่าทำไมดอกไม้ถึงมีสีแดง
ภารกิจที่เกี่ยวกับเจ้าเมืองของเมืองเทียนเหมินขั้นเก้ายังไม่เป็นไร ยังไงเสียหลู่เฟิ่งโหรวก็บอกว่าจะรอจนเขาแข็งแกร่งมากขึ้น
อย่างไรก็ตามส่งจดหมายไม่ควรเป็นภารกิจที่ยากนัก
…
หลังจบคลาสกลางคืน ฟางผิงก็จับตัวฟู่ชางติ่งไว้แล้วเผยรอยยิ้มกว้าง มาเขตใต้กับฉัน
เราไปเขตใต้ทำไม?
ไปส่งจดหมาย
คืนนี้?
ฉันติดต่อกับคนที่อยู่ในถ้ำใต้ดินไม่ได้ นี่เป็นจดหมายด่วน อาจจะวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ก็ได้ นายจะมาไหม?
ตกลง ฉันจะได้ขอคำแนะนำการฝึกฝนกับนายด้วย
ฟู่ชางติ่งตอบตกลงอย่างง่ายดาย ข้างๆพวกเขา จ้าวเหล่ยกำลังฟังอยู่แล้วเหมือนมีท่าทางอยากไปด้วย แต่เขาก็อายเกินกว่าจะขอไปด้วย
ฟางผิงเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เขายิ้มแย้ม จ้าวเหล่ยอยากไปด้วยกันไหม?
จ้าวเหล่ยกำลังจะปฏิเสธ แต่ก็บังคับให้ตัวเองปฏิเสธไม่ออก เขากำลังกังขาว่า ที่ฟางผิงฝึกฝนมาจนถึงขั้นสามในเวลาอันสั้น ฟางผิงไม่ได้ใช้พรสวรรค์เพียงอย่างเดียว เขาต้องมีเคล็ดลับของตัวเองแน่นอน
การยอมรับคำแนะนำจากคนอื่นเป็นวิธีที่ดีเสมอในการพัฒนาตนเอง มันอาจเป็นความคิดที่ดีที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่ฟางผิงทำ
…
ระหว่างทาง
ฟู่ชางติ่งถาม ช่วงนี้ตอนที่ฉันขัดเกลากระดูก ฉันตระหนักว่าความเร็วมันลดลง ฟางผิงตอนที่นายฝึก นายเคยรู้สึกเหมือนติดคอขวดอย่างหนักบ้างไหม?
เคยสิ หลายครั้งด้วย
แล้วนายแก้ยังไง?
ฟางผิงคลี่ยิ้ม ที่จริงมันง่ายมากเลย แม้แต่อาจารย์ก็ทราบ แต่พวกเขามักจะไม่บอกเรา
ทำไมล่ะ? จ้าวเหล่ยดูท่าทางสงสัย อาจารย์ไม่มีเหตุผลที่จะปิดบัง แม้แต่พ่อเขาก็ไม่ได้บอกอะไรมา
จะพูดยังไงดี…พวกอาจารย์หวังว่าเราจะก้าวหน้าไปทีละขั้น นอกจากนี้มันยังมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย
ฟางผิงอธิบายพร้อมกับรอยยิ้ม อันที่จริงเหตุผลที่ฉันฝึกขั้นสองได้เร็วเป็นเพราะฉันขัดเกลากระดูกได้เร็ว
ขัดเกลากระดูก?
ใช่!
ฟางผิงพยักหน้าแล้วอธิบายต่อ เราเรียกการขัดเกลากระดูกในร่างกายมนุษย์ว่าการขัดเกลากระดูก อย่างไรก็ตามในขั้นตอนนี้ เรายังต้องหล่อเลี้ยงร่างกายและเส้นลมปราณอย่างสม่ำเสมอ ฉันมั่นใจว่าทุกคนรู้เรื่องนี้
ทั้งสองพยักหน้า
ฟางผิงพูดต่อ อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ต่างก็ใช้ปราณและเลือดเช่นกัน มันใช้เวลา แถมยังทำให้ความเร็วการขัดเกลากระดูกลดลง
อันที่จริงเราแบ่งแยกขั้นตอนการขัดเกลากระดูกได้
ขัดเกลาร่างกายก่อน แล้วค่อยขัดเกลากระดูก!
ไม่สิ หรือฉันควรบอกว่าให้ทำพร้อมกันดี ขณะที่นายขัดเกลากระดูกด้วยปราณและเลือด นายก็ขัดเกลาร่างกายด้วยเม็ดยา ถ้านายทำแบบนั้น ความเร็วก็จะเพิ่มขึ้น…แน่นอน มันมีจำกัดเช่นกัน
นายหมายความว่ายังไง?
มันผลาญเงินมหาศาล! ฟางผิงยิ้ม มันเป็นการผลาญเงิน ละลายเม็ดยาชำระร่างกายแล้วเอามาอาบน้ำทุกวัน ฉันรับประกันเลยว่าความเร็วของนายจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแน่นอน
ทั้งสองเงียบไปในทันที
พูดเป็นเล่น!
เม็ดยาปราณและเลือดกับเม็ดยาชำระกระดูกที่พวกเขาต้องใช้ตอนนี้ พวกเขาก็ไม่พอใช้แล้ว ให้ขัดเกลาร่างกายแยก พวกเขาต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงทำแบบนั้นได้!
ฟางผิงพูดต่อ ฉันสอบถามอาจารย์หลี่มาเล็กน้อย นอกจากนี้แล้วยังมีอีกวิธีก็คือเข้าสระปราณและเลือด!
ถึงสระปราณและเลือดจะเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางว่ามีผลต่อผู้ฝึกยุทธสามขั้นกลางมากกว่า แต่อันที่จริงผู้ฝึกยุทธสามขั้นต่ำก็ใช้ได้เหมือนกัน เพียงแต่ราคามันสูงเกินไปจนไม่คุ้มกับประสิทธิภาพ
การฝึกฝนอยู่ในสระปราณและเลือดมีประสิทธิภาพมากกว่าห้องพลังงาน
ฟื้นตัวเร็ว ฟื้นฟูปราณและเลือดก็เร็ว ปราณและเลือดแทบจะไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา ถ้านายยินยอม นายก็เพิ่มเม็ดยาขัดเกลาร่างกายในสระปราณและเลือด กินเม็ดยาชำระกระดูก แล้วฝึกฝนสักชั่วโมง ฝึกในนั้นชั่วโมงเดียวดีกว่าฝึกปกติเป็นวันเสียอีก!
ทั้งสองถึงกับพูดไม่ออกอีกครั้ง!
ค่าใช้จ่ายในการใช้สระปราณและเลือดมากกว่าห้องพลังงานอีก มันมีราคาถึง 30 คะแนนต่อชั่วโมง!
เพิ่มเม็ดยาชำระกระดูกเม็ดนึง ขั้นสองก็ต้องใช้ถึง 30 คะแนน
แล้วเม็ดยาขัดเกลาร่างกายล่ะ?
ต้องใช้อีก 30 คะแนน!
ฝึกฝนแต่ละครั้งต้องใช้ 90 คะแนน พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้เม็ดยาปราณและเลือดอีก
ถ้าพวกเขาฝึกฝนแบบนั้น พวกเขามีหวังบรรลุขั้นสองสูงสุดในหนึ่งเดือน
แต่ค่าใช้จ่ายล่ะ?
2700 คะแนน!
81 ล้านหยวน!
เพียงเพื่อให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจากขั้นสองชั้นกลางเป็นขั้นสองสูงสุด เพื่อประหยัดเวลาสองสามเดือน พวกเขาจำเป็นต้องใช้เงินเพิ่มอย่างน้อย 50 ล้าน!
มันคุ้มเหรอ?
อาจารย์ไม่แนะนำวิธีนี้ พ่อแม่บางคนก็ไม่แนะนำ แม้แต่ตอนที่หลู่เฟิ่งโหรวแนะนำจ้าวเสวี่ยเหมย มันก็ไม่ได้ฟังดูฟุ่มเฟือยอย่างที่ฟางผิงอธิบาย ประเด็นหลักคือจ้าวเสวี่ยเหมยไม่ได้ขัดเกลาสองครั้ง ดังนั้นความเร็วการฝึกฝนของเธอจึงเชื่องช้า
ฟู่ชางติ่งคำนวณเล็กน้อย ค่าใช้จ่ายสูงเกินไป นายฝึกแบบนี้เหรอ?
ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น ฟางผิงหัวเราะ มันเกือบจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เขามีค่าทรัพย์สินในระบบมากพอ ดังนั้นผลที่ได้จึงดียิ่งกว่าการใช้สระปราณและเลือด
ไม่แปลกใจเลย…
ฟู่ชางติ่งสีหน้าดูอ่านได้ยาก เขาพูดเบาๆ ครั้งหน้าถ้านายบอกว่ายากจนอีก ฉันจะเชื่อนายแล้ว อันที่จริงนายจนเพราะเหตุผลนี้นี่เอง!
แม้แต่ผู้ฝึกยุทธที่มีทรัพย์สินหลายหมื่นล้านก็ไม่เต็มใจผลาญเงินเช่นนี้
ขั้นสองก็ใช้เงินมหาศาลเกือบร้อยล้านในหนึ่งเดือนแล้ว
งั้นขั้นสามล่ะ?
อย่างน้อยมันต้องเพิ่มเป็นสองเท่า ยิ่งกว่านั้นการฝึกฝนในขั้นสามใช้เวลานานยิ่งกว่า บางทีอาจเป็นสองสามเดือนหรือแม้แต่ครึ่งปี ฝึกฝนจนบรรลุขั้นสามสูงสุดหมดเงินไปเป็นพันล้านก็ไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง
นี่เป็นเพียงค่าใช้จ่ายของสามขั้นต่ำเท่านั้น เว้นแต่จะเป็นคนที่มีเงินมากมายจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ไม่มีใครหรอกที่เลือกใช้เส้นทางนี้
ขณะที่พวกเขาคุยกันอยู่ ทั้งสามก็มาถึงทางเข้าอุโมงค์ที่อยู่ส่วนลึกของเขตใต้
ทั้งสามไม่ได้เข้าไป ตรงทางเข้ามีทหารติดอาวุธอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธประจำการอยู่ข้างในด้วย พวกเขาน่ากลัวยิ่งกว่าทหารที่ถือปืนที่อยู่ข้างนอกเสียอีก
ด้วยความเร็วของทีมฟางผิง ต่อให้อีกฝ่ายใช้ปืนยิงก็ยิงไม่โดนด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามถ้าพวกเขาเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า แม้แต่วิ่งหนีพวกเขาก็ทำไม่ได้
ทางเข้าอุโมงค์เงียบสนิท ฟางผิงไม่เสียเวลาเปล่า เขาเริ่มจัดท่าทางฝึกจวงกงทันที
เขาเอ่ยปากพูดขณะทำท่าจวงกง บรรลุจวงกงขั้นว่างเปล่าเป็นขีดจำกัดของสามขั้นต่ำแล้ว
อาจารย์ฉันเคยบอกว่าจวงกงเป็นแค่พื้นฐาน เมื่อบรรลุสามขั้นกลาง จวงกงจะถูกแบ่งไปอีกสองประเภท
อันที่จริงจวงกงเป็นการผสมผสานกันของเคล็ดฝึกกายกับวิชาก้าวย่าง อย่างไรก็ตามสามขั้นกลางมันจะแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง บางคนก็เลือกฝึกฝนเคล็ดฝึกกาย วางรากฐานเพื่อบ่มเพาะอวัยวะภายใน บางคนก็เลือกฝึกวิชาก้าวย่าง ต่างจากเราตอนนี้ที่หลังสำเร็จขั้นว่างเปล่า มันจะถูกเรียกว่าขั้นเหินนภา
นายเคยเห็นผู้ฝึกยุทธสามขั้นกลางที่เหาะเหินได้ไหม?
ฟู่ชางติ่งระเบิดเสียงหัวเราะ นายนี่กล้าจริงๆ ฉันเคยเจอผู้ฝึกยุทธที่ฝึกถึงขั้นเหินนภา หรืออาจเป็นย่ำนภา แต่นั่นยังไม่ถึงขั้นเหาะเหิน
มันก็เหมือนกับตอนนี้ที่นายเดินเหินบนอากาศได้ ผู้ฝึกยุทธขั้นกลางอยู่บนอากาศได้นานกว่าเล็กน้อย
นอกเหนือจากนั้น ความเร็ว ความยืดหยุ่น และความสูงจะเพิ่มขึ้นมาก
ฉันเคยเจอกับผู้ฝึกยุทธขั้นห้าที่เดินอยู่บนอากาศได้ร้อยเมตร อยู่สูงเกือบสิบเมตร
มันเปิดหูเปิดตามาก!
ผู้ฝึกยุทธเช่นนี้เป็นเหมือนเทพเซียนในร่างมนุษย์…แม้ยอดฝีมือขั้นห้าคนนั้นจะล่วงลงมาจากท้องฟ้าในเวลาต่อมา แต่มันก็ยังน่าประทับใจมาก
อย่างไรก็ตาม ที่จริงแล้วยอดฝีมือหลายคนต่างก็คิดว่า การเปลี่ยนจากฝึกจวงกงเป็นเหินนภาแทนที่จะมุ่งเน้นฝึกฝนเคล็ดฝึกกายเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์มาก มันมีไว้แสดงเท่านั้น
พูดถึงขั้นเหินนภา พอนายบรรลุขั้นปรมาจารย์ ต่อให้ไม่ได้ฝึกมา นายก็บรรลุขั้นเหินนภาได้
สำหรับผู้ฝึกยุทธสามขั้นกลาง คนที่เชื่อว่าตนเองจะบรรลุขั้นปรมาจารย์ได้จะเลือกที่จะฝึกฝนเคล็ดฝึกกาย เร่งความเร็วฝึกฝนเพื่อให้บรรลุขั้นปรมาจารย์…
ฟางผิงพึมพำเบาๆ ฉันเคยถามเรื่องนี้แล้ว อาจารย์บอกว่าอย่าโลภมากเกินไป มีผู้ฝึกยุทธยอดฝีมือสามขั้นกลางคนไหนบ้างล่ะที่เชี่ยวชาญทั้งสองด้าน?
จ้าวเหล่ยพูดขัด ก็ถูก แต่พวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหก ยิ่งกว่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นขั้นหกสูงสุด
ยอดฝีมือมากมายต่างติดอยู่ที่ขั้นหก
ขั้นปรมาจารย์มีคอขวดที่หนักหนาอย่างยิ่ง ยอดฝีมือขั้นหกส่วนใหญ่อาจไม่มีทางบรรลุขั้นปรมาจารย์ไปชั่วชีวิต
ในเวลานี้ เมื่อพวกเขาฝึกฝนไม่คืบหน้า พวกเขาต้องพยายามในด้านอื่น
ผู้ฝึกยุทธขั้นหกสูงสุดบางคนแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ในขั้นหกสูงสุด ขอบเขตนี้ก็มีช่องว่างที่กว้างใหญ่เช่นกัน
ผู้ฝึกยุทธขั้นหกสูงสุดสองคนก็อาจมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ฟางผิงพูดเสียงเบา พวกนายสังเกตไหมว่ามันไม่มีจัดอันดับขั้นหก?
ฟู่ชางติ่งคลี่ยิ้ม ปกติ
หืม?
ขั้นหกสูงสุดสิบคน มีแปดคนอยู่ในถ้ำใต้ดิน…อยู่บนขอบเหวความเป็นความตาย!
ฟู่ชางติ่งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่มีใครอยู่ในถ้ำใต้ดินนานนัก เพราะความเสี่ยงสูงมาก ทุกคนต่างก็ทราบเรื่องนี้ แม้แต่ปรมาจารย์ก็ไม่อยู่ถ้ำใต้ดินนาน
อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกยุทธขั้นหกสูงสุดแสวงหาโอกาสทะลวงคอขวด ดังนั้นพวกเขาส่วนใหญ่จึงอยู่ในถ้ำใต้ดิน
นายไม่มีทางรู้หรอกว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ไหม บางทีไม่กี่นาทีข้างหน้า อาจมีคนออกมาจากถ้ำใต้ดินในฐานะปรมาจารย์ก็ได้
หรือคนๆนั้นก็อาจไม่มีทางก้าวออกจากถ้ำใต้ดินเลยก็ได้!
คนเหล่านี้ล้วนไม่สนใจชื่อเสียงเงินทอง เวลานั้นไม่ว่าเราจะมีชื่อเสียงมากแค่ไหน เงินทองมากแค่ไหน เม็ดยามากแค่ไหนก็ไม่สำคัญ…
ทุกอย่างล้วนไร้ประโยชน์
ระดับปรมาจารย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ แต่อาศัยอย่างอื่น
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ขั้นหกไม่มีการจัดอันดับ เพราะมันไม่มีประโยชน์ นายไม่มีทางรู้เลยว่าผู้ฝึกยุทธขั้นหกสูงสุดยังมีชีวิตอยู่กี่คน
ในสังคมมีผู้ฝึกยุทธขั้นหกสูงสุดอยู่น้อยมาก มันก็เหมือนกับมหาลัยวิชายุทธ
ในโม๋อู่ ผู้ฝึกยุทธขั้นหกที่ฟางผิงรู้จักคือหลู่เฟิ่งโหรว ถังเฟิงและเฒ่าหลี่ ทั้งสามคนเป็นขั้นหกสูงสุด นอกจากนั้นก็มีหลัวอี้ชวน สวี่เจี้ยนโจว และคนอื่นๆที่ยังไม่บรรลุขั้นหกสูงสุด
อาจารย์ของปีอื่นก็ไม่ต่างกัน จำนวนผู้ฝึกยุทธขั้นหกสูงสุดในโม๋อู่มีน้อยกว่าสิบคน
อันที่จริงปีหนึ่งปีนี้มีอาจารย์ถังเฟิงคนเดียวที่เป็นอาจารย์ขั้นหกสูงสุด
หลู่เฟิ่งโหรวมาเข้าร่วมทีหลัง ส่วนเฒ่าหลี่ไม่ได้สอนเลย
บางทีถ้าให้คำนวณอย่างละเอียด จำนวนผู้ฝึกยุทธขั้นหกสูงสุดของโม๋อู่ที่อยู่ในมหาลัยมีไม่ถึงห้าคนด้วยซ้ำ
นี่เป็นเพียงในโม๋อู่เท่านั้น ในมหาลัยวิชายุทธแห่งอื่นนอกจากจิงอู่แล้ว แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบเจอผู้ฝึกยุทธขั้นหกสูงสุด
…
ทั้งสามคนคุยกันจนเลยห้าทุ่มไป ฟางผิงเห็นว่าไม่มีใครออกมา เขาเลยเตรียมตัวจะเดินทางกลับ
ขณะที่เขากำลังเดินจากไป จู่ๆประตูอุโมงค์ก็ค่อยๆแง้มออกมา
ไม่นานก็มีคนก้าวออกมา
หลู่เฟิ่งโหรวตัดสินได้แม่นยำยิ่ง อีกฝ่ายจะออกมาในสองวันนี้ ยิ่งกว่านั้นปกติแล้วทางเข้าอุโมงค์ของโม๋อู่แทบไม่ถูกใช้เลย
เมื่อฟางผิงเห็นคนเดินออกมา เขาก็รีบหยิบจดหมาย เขามองฟู่ชางติ่งกับจ้าวเหล่ยสลับไปมา แล้วนึกขึ้นได้ว่าฟู่ชางติ่งไม่ได้ถูกทุบตีมานานแล้ว แถมฟู่ชางติ่งยังถูกจดชื่อขึ้นบัญชีแค้นของเขาหลายครั้งแล้ว…
เมื่อคิดได้แบบนั้น ฟางผิงก็ยัดจดหมายใส่มือฟู่ชางติ่งแล้วพูดขึ้นมาทันที เป็นพ่อของอาจารย์ฉัน ฉันกลัวนิดหน่อย ช่วยเอาจดหมายกับข้อความไปให้เขาหน่อย บอกเขาว่าลูกสาวเขาคิดถึงเขามากแล้วขอให้เขากลับบ้านไปหาเธอ
ฟู่ชางติ่งสีหน้าดูสับสน พ่อของหลู่เฟิ่งโหรว?
ทำไมฟางผิงถึงฝากเขาทำ…
ฟู่ชางติ่งยังไม่หายสับสน เขามองฟางผิงที่กำลังมองมาด้วยสายตาให้กำลังใจแล้วรู้สึกพูดไม่ออก กระนั้นที่นี่คือโม๋อู่ ฟู่ชางติ่งจึงไม่คิดอะไรมาก
ไม่นานก็มีชายคนหนึ่งเดินมาหาพวกเขา แต่อายุของเขาเป็นอะไรที่คาดเดาได้ยาก
นี่เป็นเพราะเส้นผมเขาเป็นสีขาวหิมะทั้งหัว แต่ใบหน้าเขาไม่แก่ หน้าตาเขาเหมือนคุณลุงที่หาได้ทั่วไปมากกว่า กระนั้นผมขาวหิมะของเขาก็ขับเน้นให้เขาดูดีขึ้น
ฟู่ชางติ่งใช้เวลาคิดเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ย อาจารย์ นี่เป็นจดหมายของอาจารย์
ชายผมขาวเหลือบมองเขา จากนั้นก็รับจดหมายไปโดยไม่ได้พูดอะไร
แล้วก็…อาจารย์หลู่บอกคิดถึงอาจารย์
หืม?
ชายคนนั้นอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วเผยรอยยิ้มทันที นี่เป็นคำพูดของเธอเหรอ?
ฟู่ชางติ่งไม่รู้เหมือนกัน เขาหันไปมองฟางผิง ฟางผิงสังเกตเห็นรอยยิ้มสุภาพของชายผมขาว นอกจากนี้เขายังเห็นว่าฟู่ชางติ่งยังเป็นปกติ เขาจึงก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม มันเป็นคำพูดของอาจารย์ อาจารย์บอกว่าลูกสาวคุณคิดถึงคุณ อาจารย์ขอให้คุณกลับไปหาเธอ ผู้เฒ่า…
เขากำลังจะประจบอีกฝ่าย แต่สีหน้าชายผมขาวเปลี่ยนไปฉับพลัน เขาแค่นเสียงดังฮึ่ม เหยียดขาเตะทันที!
…
ขณะที่ฟู่ชางติ่งกับจ้าวเหล่ยยังคงสับสนงุนงง ฟางผิงก็หายไปไหนไม่รู้แล้ว
ฟู่ชางติ่งกลืนน้ำลาย คอเขาแห้งผาก เขาพูดเสียงแหบแห้ง อา…อาจารย์ เขา…
ไม่เป็นไร เขาเป็นศิษย์ของหลู่เฟิ่งโหรว…ฟางผิงคนนั้นใช่ไหม?
ครับ เขาคือฟางผิง
ชายคนนั้นพยักหน้าเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรนัก เขาหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคนในชั่วพริบตา
เมื่อเขาจากไปแล้ว ฟู่ชางติ่งก็เอ่ยถามทันที เกิดอะไรขึ้น?
เขายังคงสับสนไม่หาย ชายผมขาวที่หล่อเหลายิ้มแย้มเป็นมิตร แต่เขาส่งฟางผิงบินทันทีที่พบกัน เจ้าฟางผิงทำคนอื่นเกลียดไปมากแค่ไหนเนี่ย?
จ้าวเหล่ยพูดเบาๆ ฟางผิงอาจคิดไว้แล้ว เขาเลยให้นายส่งจดหมาย
ฟู่ชางติ่งในที่สุดก็เข้าใจ เขาหัวเราะเยาะ สมควรโดน! เจ้าหมอนี่วางแผนชั่วใส่คนอื่น สุดท้ายเขาก็โดนเอง!
ยิ่งฟู่ชางติ่งคิดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอยากหัวเราะมากเท่านั้น เรื่องนี้มันหมายความว่ายังไง?
ฟางผิงอาจสัมผัสได้ถึงอันตรายมากที่สุด เขาจึงหาแพะมารับบาปแทน ใครจะรู้ล่ะ ผลสุดท้ายก็ยังเหมือนเดิม ฟู่ชางติ่งไร้ซึ่งบาดแผล ส่วนฟางผิงหายลับสายตาไปแล้ว
ทั้งสองสบตากัน จ้าวเหล่ยกระแอมแห้งๆแล้วเอ่ยถาม เราควรไปดูเขาหน่อยไหม?
ดูเพื่อ? ตอนนี้เขานอนทอดกายอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้
…
ทั้งสองคาดเดาได้ถูกต้อง เวลานี้ฟางผิงกำลังนอนทอดกายอยู่บนตึกที่อยู่ไม่ไกล!
ฟางผิงขี้เกียจลุก เขานอนอยู่บนตึก ครุ่นคิดถึงคำถามสำคัญ ประโยคที่เขาพูดมันผิดตรงไหนกัน?
ฟู่ชางติ่งไม่เป็นไรเลย!
‘มันหมายความว่ายังไง?’
‘ชายชราหล่อเหลาเวทนาหนุ่มหล่อ?’
‘ข่มเหงฉันโดยเฉพาะ?’
ไม่ยุติธรรมเลย!
ฟางผิงแผดเสียงอย่างหดหู่ จากนั้นเขาก็บ่นพึมพำอีก ผู้เฒ่าผมขาวคนนี้เป็นใครกัน?
นี่เป็นครั้งที่สองที่ฟางผิงถูกคนส่งบิน
ครั้งก่อนเฒ่าหลี่โบกมือลวกๆ เขาก็กระเด็นออกไป
เฒ่าหลี่ทำเขาบินไป 10-20 เมตรเท่านั้น อย่างไรก็ตามผู้เฒ่าผมขาวคนเมื่อกี้ทำเขาบินกลางอากาศไปหลายร้อยเมตร
อันที่จริงฟางผิงตกมาระยะไกลแบบนี้ เขาไม่รู้สึกเจ็บตรงไหน การควบคุมพลังของอีกฝ่ายไม่ธรรมดาเลย
หรือเขาจะเป็นยอดฝีมือระดับปรมาจารย์?
ฟางผิงพอเดาได้หน่อยแล้ว เขาพึมพำเบาๆ ปรมาจารย์ที่เป็นคนหนุนหลังของอาจารย์? เป็นคนหนุนหลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉัน?
ยอดฝีมือระดับปรมาจารย์…
เมื่อเขาคิดได้เช่นนี้ ฟางผิงก็ลุกขึ้นยืนทันทีแล้วไล่ตามร่างเงาในความมืดอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดเขาก็ได้พบคนหนุนหลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตน เป็นเรื่องยากที่จะเจอคนหนุนหลังของตัวเอง อย่างน้อยเขาต้องไปทำความคุ้นเคยกับอีกฝ่ายสักหน่อย แม้ว่าเขาจะจดชื่ออีกฝ่ายลงบัญชีแค้นแล้วก็ตาม