World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 73
ตอนที่ 73 หงส์เข้าฝูงหงส์
ย่านกวนหูหยวน
เมื่อฟางผิงมาถึงย่านกวนหูหยวน เขาก็เจอฟางหยวนที่หน้าประตูของย่าน
เมื่อนึกถึงตอนที่พวกอู๋จื้อเห่าหัวเราะเยาะ อารมณ์เขาก็เดือดพล่าน เขากระชากเสียง “ฟางหยวน!”
ฟางหยวนรีบหันไปมอง สีหน้าเธอดูกระวนกระวาย เธอรีบหันไปหาเพื่อนที่อยู่ข้างๆแล้วกล่าวอย่างเร่งรีบ “พี่ชายฉันกลับมาแล้ว เธอกลับไปก่อนเลย”
“พี่เธอเท่มาก…”
เมื่อเห็นความโกรธของฟางผิง เธอก็คิดว่ามันเป็นความน่าเกรงขามของผู้ฝึกยุทธ นอกจากความประหม่าแล้ว เธอยังแสดงความชื่นชมด้วย
เธอมองฟางผิงด้วยความปรารถนาเล็กน้อย เธอนึกได้ว่าฟางหยวนเคยบอกว่าพี่ชายเธอดุร้ายมาก หญิงสาวจึงแอบมองฟางผิงอีกครั้งแล้วรีบวิ่งออกไป
ก่อนที่เธอจะไป เธอก็ไม่ลืมธุระของตัวเอง เธอกระซิบเสียงเบา “ฟางหยวน อย่าลืม…”
“ฉันแล้วน่า!”
ฟางหยวนรีบตัดบทและโบกมือไล่ไป
หลังเพื่อนเดินไปไกลพอควรแล้ว ฟางหยวนถึงยิ้มกว้างและโบกมือให้ฟางผิง “พี่ชาย โรงเรียนเลิกแล้วเหรอ?”
ฟางผิงก้าวเข้าไปหา สายตาเหลือบมองดูเด็กสาวที่พึ่งเดินไป สีหน้าเขาดูมืดมน “ตอนนี้น้องทำอะไรอีก?”
“ยังขายรูปพร้อมลายเซ็นอยู่ไหม?”
“เปล่า!”
ฟางหยวนส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “พี่ห้ามหนูขายแล้ว หนูไม่กล้าหรอก”
“จริงๆนะ?”
ฟางผิงไม่ค่อยเชื่อนัก เด็กคนนี้กับเพื่อนเห็นได้ชัดว่าแอบซ่อนอะไรไว้
ปราณและเลือดของฟางผิงมาถึง 170แคล ค่าจิตใจยังมาถึง 200เฮิรตซ์ สายตาและการได้ยินของเขาจึงคมชัดมาก เขาได้ยินสองสาวกระซิบกันอย่างชัดเจน
“จริงๆ!”
ฟางหยวนรีบชูสามนิ้ว หลังคิดเล็กน้อย เธอก็ยื่นนิ้วโป้งออกมาด้วยและกล่าวอย่างหนักแน่น “หนูสาบาน!”
“มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่เชื่อน้อง น้องบอกน้องไม่ได้ทำอะไร แต่น้องกำลังเรียกพี่ว่า’พี่ชาย’เนี่ยนะ?”
“พี่ชาย เลิกกล่าวหาคนบริสุทธิ์ได้แล้ว!” ฟางหยวนทำหน้าเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “พี่เอาใจยากเกินไปแล้ว พอหนูไม่เรียกว่า’พี่ชาย’ พี่ก็บอกว่าหนูไม่เคารพ”
“พอหนูเรียกว่า’พี่ชาย’ พี่ก็บอกหนูกำลังทำอะไรบางอย่าง…”
หลังพูดด้วยท่าทางสลดใจ น้ำเสียงของสาวน้อยก็กลับเป็นปกติและพูดเปลี่ยนเรื่อง “พี่ชาย มอหกปิดเทอมยัง?”
“เริ่มปิดเทอมแล้ว…”
“เยี่ยมเลย! พี่ พรุ่งนี้เราไปเที่ยวกันไหม? ฉลอง…”
“ไว้เราคุยกันทีหลัง!”
ฟางผิงยังรู้สึกว่าเด็กคนนี้กำลังวางแผนทำอะไรบางอย่าง เขามองเธออย่างสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม
ขณะที่ทั้งสองเดินไปตามถนน ฟางผิงก็กล่าว “น้องก็ใกล้ปิดเทอมฤดูร้อนแล้วใช่ไหม?”
“อือฮึ หนูปิดเทอมสิ้นเดือนมิถุนา”
“น้องควรใช้เวลาเรียนบ้าง อย่าเอาแต่เล่น”
“พอพี่สอบเสร็จ พี่จะเริ่มสอนจวงกงให้”
“จวงกง?”
ฟางหยวนรู้สึกตื่นเต้น “จริงนะ?”
ฟางผิงพยักหน้า “จริงสิ จวงกงถือเป็นการทำสมาธิ มันไม่เป็นภาระต่อร่างกายมากนัก ตราบใดที่ปราณและเลือดของน้องตามทัน มันไม่ควรมีปัญหา”
เขาเคยปรึกษาหวังจินหยางและถานเจิ้นผิงแล้วเช่นกัน และทั้งสองก็บอกว่ามันไม่มีปัญหา
การฝึกฝนวิชายุทธตั้งแต่เด็กไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องดีเสมอไป เพราะมันทำร้ายตัวเองได้ง่าย
การฝึกวิชายุทธก่อนร่างกายเติบโตจะผลาญปราณและเลือดมากเกินไปจนฟื้นฟูไม่ทัน มันจะส่งผลให้ร่างกายไม่สมประกอบและถึงขั้นเป็นภาวะแคระ
อย่างไรก็ตามตราบใดที่ปราณและเลือดของร่างกายตามทัน และไม่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้หรือบ่มเพาะ’เคล็ดเสริมสร้าง’ จวงกงก็จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ฟางผิงมียาอย่างยาเติมเต็มเลือดและปราณ และยาปราณและเลือดค่อนข้างมากเลยทีเดียว ซึ่งเขาไม่ได้ใช้
ถ้าเขาเอาไปขาย เขาก็คงหาคนซื้อดีๆได้ยาก
เขาควรใช้โอกาสตอนที่ยังอยู่บ้านช่วยวางพื้นฐานให้ฟางหยวน อย่างน้อยก็ให้เธอได้เรียนจวงกง
ฟางหยวนดีใจมากที่ได้ยินฟางผิงบอกว่าเธอฝึกวิชายุทธได้
ในยุคสมัยนี้ ผู้ฝึกยุทธได้รับความเคารพอย่างสูง มันไม่สำคัญว่าจะเป็นเด็กผู้ชายเด็กผู้หญิง เป็นเด็กหรือคนแก่ ทุกคนต่างก็อยากเป็นผู้ฝึกยุทธ
ฟางหยวนย่อมอยากเป็นเช่นกัน แต่เธอยังอายุน้อยเกินไป นอกจากนี้ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้มั่งมี ฟางผิงก็ไม่ได้เดินบนเส้นทางวิชายุทธ ดังนั้นเธอจึงไม่เคยคิดเลยว่าตัวเธอจะเดินบนเส้นทางวิชายุทธได้
แต่ตอนนี้ฟางผิงบอกจะสอนจวงกง สาวน้อยจึงยิ้มกว้างจนใบหน้ากลมดิ๊ก เธอแทบอดใจรอปิดเทอมฤดูร้อนไม่ไหว
เมื่อเห็นน้องสาวมีความสุข ฟางผิงก็กล่าวอย่างเย็นชา “ก่อนที่พี่จะสอนน้อง บอกพี่มา น้องกำลังวางแผนอะไรกับเพื่อน?”
“พี่ชาย…”
“ก็ได้ ถ้าน้องไม่บอก พี่จะไม่สอน”
“ฟางผิง!”
ฟางหยวนรำคาญและยุ่งเหยิงในเวลาเดียวกัน ผ่านไปครึ่งลมหายใจ เธอก็เปิดปากพูดอย่างไม่เต็มใจ “เราไม่ได้วางแผนอะไร นายมีเสื้อผ้าเก่าๆใช่ไหมล่ะ? หนูเลย…”
เธอไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเพิ่ม
ฟางผิงกัดฟันแน่นจนรู้สึกเจ็บ เขาคำราม “พอ ฟางหยวน!”
“ขายลายเซ็นก็แย่พอแล้ว ตอนนี้น้องอยากขายเสื้อผ้าพี่อีกเหรอ!”
“สุดท้ายน้องจะขายพี่ไปด้วยมั้ย?”
“ยัยเด็กคนนี้ น้องอยากได้เงินไปทำอะไร?”
“ถ้าน้องไม่มีเงิน ก็มาขอพี่! ถ้าน้องทำแบบนี้อีก พี่จะตีน้อง!”
“หนูไม่ได้ขายเสื้อผ้า หนูขายความรู้สึก…”
“หุบปาก!”
ฟางผิงดุเธอ จากนั้นก็กล่าวอย่างขมขื่น “จากนี้ไป น้องไม่ได้รับอนุญาตให้ขายอะไรทั้งนั้น!”
ฟางหยวนย่นปากอย่างไม่เต็มใจ “ถ้าหาเงินได้ทำไมจะไม่หาล่ะ? เห็นมั้ยครั้งก่อนหนูขายรูปพร้อมลายเซ็นไม่กี่รูป หนูก็ได้เงินเท่ากับค่าจ้างของแม่ทั้งเดือน”
“มันเป็นแค่เสื้อผ้าเก่าๆ ถ้านายเซ็นชื่อแล้วเอาไปขาย…”
“น้องจะห่วงเรื่องบ้านไปทำไม?” ฟางผิงพูดด้วยน้ำเสียงโกรธๆ “ไม่ว่าพี่จะบอกยังไง แม่ก็ยืนยันจะทำงาน ปัญหาเป็นที่เงินเหรอ?”
“เลิกห่วงเรื่องนี้ได้แล้ว รอพี่สอบเสร็จ พี่จะจัดการเอง”
“อย่าเพิ่มปัญหา!”
ฟางหมิงหรงยังไม่ได้ไปที่กระทรวงศึกษา แต่พ่อเขาบอกเจ้านายแล้วว่าเขาจะลาออกหลังเดือนนี้เพื่อไปเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของกระทรวงศึกษา
เถ้าแก่โรงงานเซรามิกก็สุภาพมากเช่นกัน เขาให้เงินเดือนพ่อสองสามวันก่อนหมดเดือนด้วยซ้ำ
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่า นอกจากเงินเดือน เจ้านายเขายังยืนกรานจะมอบค่ารักษาพยาบาลให้ด้วย
ฟางหมิงหรงปฏิเสธไม่ได้ เจ้านายเขาเซ้าซี้มากตอนเขาปฏิเสธ สุดท้ายเขาจึงต้องรับมา
ลูกชายของเหล่าฟางมีผลประเมิณปราณและเลือดสูงที่สุดในเมืองรุ่ยหยาง ความเป็นไปได้ที่เขาจะได้เข้ามหาลัยวิชายุทธคือเก้าในสิบ ข่าวนี้แพร่กระจายมานานแล้ว และเถ้าแก่โรงงานเซรามิกก็ไม่อยากล่วงเกินนักศึกษามหาลัยวิชายุทธด้วยเรื่องเล็กน้อยนี้
ส่วนหลี่อวี้อิง ฟางผิงเคยคุยด้วยหลายครั้งแล้ว แต่หลี่อวี้อิงบอกว่างานของเธอไม่ได้เหนื่อย ยิ่งกว่านั้นเธอยังมีฝีมือดี ถ้าเธอหยุดงานกระทันหัน จะไม่มีใครช่วยเจ้านายเธอ และมันจะกลายเป็นปัญหาให้คนอื่น อย่างน้อยที่สุด เธอจะรอจนกว่าหาคนมาแทนที่ได้ เธอถึงจะเลิกทำ
แม่หนักแน่นมาก ฟางผิงจึงโน้มน้าวอะไรไม่ได้ เขาได้แต่รอให้เวลาผ่านไปสักพักก่อนถึงจะยกเรื่องนี้มาคุยอีกครั้ง
สองพี่น้องเดินไปคุยไป เมื่อมาถึงบ้าน หลี่อวี้อิงก็เตรียมอาหารไว้รอแล้ว
พ่อแม่ฟางย้ายเข้ามาอยู่สองวันก่อน ตอนแรกพวกเขามีแผนจะชวนเพื่อนและญาติๆมาเลี้ยงอาหาร
อย่างไรก็ตามหลังจากใคร่ครวญดู พวกเขาก็ตระหนักว่าฟางผิงใกล้สอบเสร็จแล้ว ซึ่งยังไงก็ได้ฉลองอยู่ดี มันไม่เหมาะนักที่จะฉลองสองครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ
ดังนั้นฟางหมิงหรงจึงตัดสินใจยังไม่ฉลองขึ้นบ้านใหม่ตอนนี้ พวกเขาจะฉลองขึ้นบ้านใหม่และสอบเสร็จพร้อมกันไปเลย
…..
เมื่อพวกเขามาถึงบ้าน ฟางผิงก็ทักทายแม่ “แม่ ช่วงนี้จับตาดูฟางหยวนด้วย อย่าปล่อยให้น้องสร้างปัญหา ครั้งก่อนน้องขายรูปผมก็แย่พอแล้ว เมื่อกี้น้องเตรียมจะขายเสื้อผ้าผมอีก”
“ขายเสื้อผ้าผมยังไม่เป็นไรนะ แต่มันคงน่าขายหน้าเกินไปถ้าน้องขายกางเกงในผม…”
“ถ้าแม่อยู่บ้าน ผมฝากจับตาดูน้องด้วย…”
หลี่อวี้อิงอดตกใจไม่ได้เมื่อได้ยินแบบนั้น แต่เธอก็รู้สึกขบขันเช่นกัน “หยวนหยวน อย่าสร้างปัญหาสิ!”
ฟางหยวนโกรธ เธอถลึงตามองพี่ชาย “หนูเข้าใจแล้ว ฟางผิงบอกหนูหลายครั้งแล้ว” เธอพูดเป็นเชิงยอมแพ้
“พี่ชายกำลังจะเข้ามหาลัยวิชายุทธ ลูกไม่ควรสร้างปัญหา…”
หลี่อวี้อิงพูดย้ำ ในสายตาของหลี่อวี้อิง นักศึกษามหาลัยวิชายุทธเป็นอะไรที่มีเกียรติ
ในอดีตเธอไม่กล้าฝันถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ตอนนี้ลูกชายเธอกำลังจะเข้ามหาลัยวิชายุทธ เธอย่อมไม่ยอมปล่อยให้ลูกสาวก่อกวนและทำให้พี่ชายขายหน้า
แม้ฟางผิงจะบอกว่ามัน’ขายหน้า’ แต่ที่จริงเขาไม่ได้จริงจังกับเรื่องเด็กๆแบบนี้
มันแค่ว่าฟางหยวนยังเด็กอยู่ ด้วยวัยเท่านี้ ฟางผิงไม่อยากให้น้องสาวยุ่งเรื่องเงินมากไป
ฟางหยวนยังเด็ก อายุเท่านี้ ตั้งใจเล่นและตั้งใจเรียนสำคัญที่สุด ฟางผิงไม่อยากให้เธอเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นมากนัก
เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้แม่เสร็จ ฟางผิงก็ไม่ได้สนใจสายตาที่ถลึงมองมา เขาเดินขึ้นไปชั้นบน
…..
ห้องยิม
ฟางผิงโทรหาหวังจินหยางอีกครั้ง
เมื่อสายโทรติด ฟางผิงก็ตรงเข้าประเด็น “พี่หวัง ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าจวงกงพัฒนาได้ช้ามาก มันนานพอควรแล้วที่ผมบรรลุขั้นยืนมั่นคง”
“แต่ถึงกระนั้น ผมก็ไม่มีความคืบหน้าขั้นยืนหนักแน่นเลย…”
“…”
เหล่าหวังพูดไม่ออกเล็กน้อย มันนานพอควรแล้วที่นายบรรลุขั้นยืนมั่นคงงั้นเหรอ?
เวรเอ้ย นายพึ่งมีเคล็ดฝึกฝนแค่สองเดือน!
ไม่ถึงสองเดือน จวงกง เคล็ดวิชาต่อสู้ โดยเฉพาะปราณและเลือดก็ทะลุขีดจำกัดแล้ว…
แต่ถึงกระนั้น นายก็ยังกล้าพูดอีกว่ามันนานพอควรแล้วที่บรรลุขั้นยืนมั่นคง?
หวังจินหยางนวดขมับแล้วเอ่ยถาม “ฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ไปถึงไหนแล้ว?”
“ผมฝึกแค่เคล็ดเพลงเตะพื้นฐานเท่านั้น ไม่เป็นไร ผมฝึกฝนและรู้วิธีรวมพลังและปล่อยพลังแล้ว”
“คือแบบนี้ ผมยังไม่มั่นใจว่าจะ’ยึดติด’ยังไง ตอนผมเตะ ลูกเตะผมพุ่งตรงไปและตรงกลับมา ผมทำให้กระสอบทรายเคลื่อนไหวตามจังหวะผมไม่ได้”
‘การยึดติด’กับคู่ต่อสู้ถือเป็นหนึ่งในสัญญาณของการสำเร็จเคล็ดเพลงเตะขั้นพื้นฐาน
เพื่อให้คู่ต่อสู้เคลื่อนไหวตามจังหวะตนเองในพื้นที่ที่จำกัดมาก มันสำเร็จได้ยากอย่างยิ่ง
หวังจินหยางลูบขมับอีกครั้ง จากนั้นสักครู่เขาก็พูดขึ้นมา “ไม่ต้องห่วงเรื่อง’ยึดติด’ รวบรวมพลังและปลดปล่อยพลังได้ก็หมายความว่านายพอมีความสามารถในการต่อสู้บ้างแล้ว”
“‘การยึดติด’มีเป้าหมายกับคู่ต่อสู้ที่มีพลังใกล้เคียงกัน ถ้าคู่ต่อสู้แข็งแกร่งกว่านาย งั้นนายก็จะ’ยึดติด’ไม่ได้ ถ้าคู่ต่อสู้อ่อนแอกว่า งั้นก็ไม่จำเป็นต้อง’ยึดติด’”
“ตอนนายฝึกฝนเอง ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ยาก”
“รากฐานมันลึกเกินไป มันยังเกี่ยวข้องกับจวงกง เมื่อจวงกงนายบรรลุขั้นยืนหนักแน่น นายจะควบคุมร่างกายได้ดียิ่งกว่าเดิม”
“หลังจากนั้นตอนนายพยายาม’ยึดติด’ นายจะพบว่ามันง่ายกว่าตอนนี้อย่างยิ่ง”
“ส่วนถ้านายอยากพัฒนา…”
หวังจินหยางชะงักแล้วพูด “ถ้านายไปมหาลัยวิชายุทธ มันจะมีอุปกรณ์ช่วยให้นายบรรลุได้ง่ายขึ้น”
“แต่ตอนนี้ นายเข้าไม่ถึงอุปกรณ์เหล่านั้นได้…”
“เอาล่ะ ซื้อสเก็ตบอร์ดแล้วขึ้นไปยืน พอนายยืนยืนได้ นายก็จะอยู่ไม่ไกลจากยืนหนักแน่น”
“สิ่งสำคัญที่สุดของจวงกงคือการควบคุม การควบคุมศูนย์แรงโน้มถ่วง การควบคุมกระดูกและกล้ามเนื้อ”
“ปล่อยให้ร่างกายนายเคลื่อนไหวไปพร้อมกับความคิด อย่าปล่อยให้ร่างกายนายกระทำก่อนสมองสั่ง…”
หวังจินหยางให้คำแนะนำรวมถึงภาพรวมง่ายๆของขั้นยืนหนักแน่น
สุดท้ายหวังจินหยางก็อดถามไม่ได้ “ใกล้สอบวัฒนธรรมศึกษาแล้ว หลังจากนั้นจะเป็นวันเปิดรับสมัครของมหาลัย”
“จากผลงานของนาย ถ้าวัฒนธรรมศึกษานายไม่เลว การเข้าสองมหาลัยดังไม่น่าปัญหา”
“นายคิดอย่างไร?”
ฟางผิง เจ้าหมอนี่พัฒนาเร็วเกินไป!
ภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน ปราณและเลือด กระดูกและความแข็งแกร่งของร่างกายล้วนทำลายขีดจำกัดของคนทั่วไป
ตอนนี้ แม้แต่จวงกงของเขาก็กำลังบรรลุขั้นสอง ส่วนเคล็ดวิชาต่อสู้ แม้ว่าหวังจินหยางจะไม่ได้เห็นเคล็ดเพลงเตะของฟางผิงเอง แต่การรวบรวมและปลดปล่อยพลังได้อิสระหมายความว่าฟางผิงมีความสามารถของผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงได้แล้ว
เมื่อเขาลองย้อนกลับไปเมืองหยางเฉิงตอนเดือนเมษา หวังจินหยางไม่เคยคิดเลยว่าฟางผิงจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้
ครั้งนั้นเขาแนะนำอย่างยิ่งว่าให้ฟางผิงเข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียง เขายังมีความคิดดูแลฟางผิงอีกด้วยเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วหวังจินหยางก็มีสถานะอยู่บ้างในมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง
ตอนนี้มันใกล้ถึงเวลาแล้ว หวังจินหยางรู้สึกว่ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดของฟางผิง
อันที่จริงฟางผิงเคยพิจารณาเรื่องนี้เช่นกัน ตอนนี้หวังจินหยางมาถาม ฟางผิงจึงตอบทันที “พี่หวัง ผมยังไม่ได้ตัดสินใจ เพราะยังไงผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องมหาลัยวิชายุทธมากนัก”
“รอผมสอบวัฒนธรรมศึกษาเสร็จและคะแนนสอบเปิดเผย ผมจะรบกวนขอรายละเอียดเพิ่ม…”
“ไม่มีปัญหา ฉันอาจกลับเมืองหยางเฉิงตอนปิดเทอมหน้าร้อน”
“ถ้าฉันกลับไปตอนผลสอบเปิดเผย ฉันจะอธิบายให้นาย พอถึงตอนนั้นค่อยตัดสินใจ อย่าพึ่งรีบสมัคร”
“ถ้าฉันไม่ได้ไป ก็โทรมาหาฉันอีกครั้ง…”
“ตกลง ขอโทษที่รบกวนครับพี่หวัง”
“ไม่เป็นไร…” หวังจินหยางตอบอย่างสุภาพ สุดท้ายเขาก็ระงับความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ เขากระแอม “แล้วฟางผิง ถ้านายไม่คิดมาก นายบอกได้ไหมว่าตอนนี้ปราณและเลือดนายเท่าไหร่แล้ว?”
ยิ่งเด็กคนนี้เข้าใจมากเท่าไหร่ หวังจินหยางก็รู้สึกว่าเขาเก็บซ่อนความลับไว้
เขาค่อนข้างสนใจว่าปัจจุบันฟางผิงมีปราณและเลือดเท่าไหร่
ฟางผิงลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงว่าหวังจินหยางคงจะดูออกหลังพบกันตอนกลับมาเมืองหยางเฉิง ฟางผิงจึงกล่าว “น่าจะใกล้เคียงกับระดับขัดเกลากระดูกสองครั้ง…”
“…”
เหล่าหวังหัวเราะ’ฮ่าๆ’และวางสายโดยไม่ได้พูดอะไร
แม่เจ้า!
ต้นเดือนเมษา มีประมาณ 110แคล
หลังจากนั้นไม่นาน ต้องขอบคุณเม็ดยา มันจึงเป็นประมาณ 120แคล
ต้นเดือนพฤษภา ตอนประเมิณร่างกาย มันเป็น 149แคล
ตอนนี้ยังไม่ถึงมิถุนาเลย มิถุนาจะเริ่มวันพรุ่งนี้
เจ้าเด็กนี่ยังบอกอีกว่าเขาอยากทำท่าจวงกงบรรลุขั้นยืนหนักแน่น ปราณและเลือดเกือบ 180แคล เกือบเชี่ยวชาญเคล็ดเพลงเตะพื้นฐาน แถมยังเตรียมสอบวัฒนธรรมศึกษาด้วย…
เขายังเป็นมนุษย์อยู่ไหม?
เขาใช้เวลาทั้ง 24 ชั่วโมงเพื่อฝึกวรยุทธไม่หยุดรึไง?
ฟางผิงไม่ได้ฝึกวรยุทธแบบไม่หยุด แต่เมื่อปราณและเลือด และจิตใจลดลง เขาจะใช้ค่าทรัพย์สินฟื้นฟู
คนอื่นๆจำเป็นต้องมีเวลาพักฟื้น
ผลของฟางผิงบ่มเพาะหนึ่งชั่วโมงนั้นเทียบได้กับการบ่มเพาะของคนอื่นๆหลายวันเลยทีเดียว
บางครั้งเขาก็ใช้เวลาบ่มเพาะ 5-6 ชั่วโมง ซึ่งไม่ต่างกับคนอื่นบ่มเพาะครึ่งเดือนหรือแม้กระทั่งหนึ่งเดือนเต็ม เขาพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จำนวนวันที่นับตั้งแต่เขาเริ่มฝึกฝนจนถึงตอนนี้คือประมาณ 50 วัน
ผลของ 50 วันเทียบเท่ากับระยะเวลาฝึกฝนหนึ่งหรือสองปีของคนอื่น เพราะงี้การพัฒนาของฟางผิงจึงไม่ถือว่ามากเกินไป
เมื่อหวังจินหยางเริ่มฝึกฝนที่มหาลัยวิชายุทธตอนแรก ผลของเขาไม่ถึงครึ่งปียังดูเกินจริงกว่าของฟางผิงเสียอีก
ขณะที่เหล่าหวังรู้สึกว่าฟางผิงไม่ใช่คน ฟางผิงก็รู้สึกว่าเหล่าหวังน่ากลัว การมาถึงขั้นสามได้ในเวลาไม่ถึงปีเป็นสิ่งที่ฟางผิงรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้แน่นอน
ทั้งสองต่างฝ่ายก็คิดว่าต่างฝ่ายไม่ปกติ พวกเขาจึงต้องขยันขึ้น อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่เคยคิดเรื่องอัตราการเติบโตของตนเองเลย ถ้าคนอื่นรู้ พวกเขาคงสบถคำหยาบออกมาแล้ว