World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 75
ตอนที่ 75 เติบโต
วันที่ 7 พวกเขานั่งสอบภาษาจีนตอนเช้าและสอบคณิตศาสตร์ตอนบ่าย
วันที่ 8…
พวกเขาสอบศิลปศาสตร์ตอนเช้าและสอบวิทยาศาสตร์ตอนบ่าย
ใช่แล้ว มันไม่มีสอบภาษาอังกฤษ!
ฟางผิงและคนอื่นๆก็เรียนภาษาอังกฤษเช่นกัน แต่วิชานี้อยู่ในหมวดดนตรีและศิลปะ
จำเป็นต้องมีความเข้าใจพื้นฐานเท่านั้น มันไม่มีการสอบที่ทดสอบความรู้ความเข้าใจ
สอบภาษาจีน คณิตศาสตร์ ศิลปศาสตร์มีคะแนนเต็ม 150 คะแนน ส่วนสอบวิทยาศาสตร์มีคะแนนเต็ม 300 คะแนน
ตัดสินจากคะแนน เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับวิชาวิทยาศาสตร์
สังคมศาสตร์กับวิชายุทธเป็นหมวดทั่วไปศึกษา
สังคมศาสตร์ที่ทุกคนเรียกกันเทียบเท่ากับมนุษยศาสตร์รวมกับวิทยาศาสตร์ของชีวิตก่อน อาจพูดได้ว่ามันไม่มีการแบ่งแยกกัน
มันเป็นเรื่องปกติ สังคมกับวิชายุทธถูกแบ่งแยกกันแล้ว มันจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องแยกสังคมศาสตร์เป็นวิชาย่อยๆ
…..
ฟางผิงค่อนข้างผ่อนคลายกับสอบสังคมศาสตร์
ค่าจิตใจเขาเกือบ 200 เฮิรตซ์แล้ว มันเกือบเป็นสองเท่าของคนทั่วไป
ค่าจิตใจสองเท่าไม่ได้หมายความว่าความจำและความเข้าใจของเขาจะมากกว่าคนทั่วไปสองเท่า มันไม่ได้มีการคำนวณเช่นนั้น
ยกตัวอย่าง ฟางผิงสามารถเอาชนะวัยรุ่นธรรมดาสองคนอย่างง่ายดายหรือกระทั่งฆ่าคนได้ด้วยเพลงเตะเดียว แม้ว่าปราณและเลือดของเขาจะไม่ได้มีมากไปกว่าปราณและเลือดของสองคนรวมกันก็ตาม
ฟางผิงรู้สึกว่าการสอบไม่ได้ยากอะไรนัก เพราะความจำและความเข้าใจที่แข็งแกร่งกว่าคนปกติมาก เขาสามารถจำโจทย์ที่เคยทำได้ แม้ว่าโจทย์จะเปลี่ยนไปบ้างก็ตาม
…..
ในที่สุดเกาเข่าก็จบลงตอนบ่ายวันที่ 8 มิถุนายน
ฟางผิงรับสายอู๋จื้อเห่าทันทีเมื่อกลับบ้าน
“นายอยู่ไหน?”
“ฉันพึ่งถึงบ้าน…”
“โอ้ คุณพระ!”
น้ำเสียงของอู๋จื้อเห่าฟังดูไม่อยากจะเชื่อ เขาพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “นายกลับบ้านหลังสอบเกาเข่าเสร็จเนี่ยนะ?”
ราวกับว่าการที่ฟางผิงกลับบ้านเป็นอาชญากรที่ไม่อาจอภัยได้
เขาไม่ได้รอให้ฟางผิงพูด “พวกเราอยู่ใกล้โรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่ง ไปเที่ยวกัน ฉันเลี้ยงเอง!”
พวกนักเรียนต่างก็อดกลั้นมาหลายปี
นักเรียนวิชายุทธยิ่งน่าสงสาร พวกเขาต้องเสียสละมากมายเพื่อให้ผ่านสอบวิชายุทธ
ไม่ใช่ทุกคนที่เหมือนฟางผิงที่สามารถเพิ่มปราณและเลือดมากมายในเวลาอันสั้น
เพื่อเพิ่มปราณและเลือด และรักษาอัตราการดูดซึมยา อู๋จื้อเห่ากับพวกแทบไม่แตะต้องขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลมและแผงอาหารริมถนน พวกเขาต้องไม่สูบและไม่ดื่มด้วยเช่นกัน
พูดสั้นๆ ทุกๆวันของพวกเขาช่างน่าเบื่อและน่าสังเวช
ตอนนี้พวกเขาสอบเสร็จแล้ว เหลืออย่างเดียวคือรอฟังผลสอบ ทุกคนจึงอยากปลดปล่อย
ฟางผิงไม่ได้มีประสบการณ์ความยากลำบากแบบนั้นด้วยตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธคำเชิญของอู๋จื้อเห่า เขาหัวเราะ “ก็ได้ เดี๋ยวฉันไป”
“รีบมาล่ะ ทุกคนรออยู่ วันนี้เราจะโต้รุ่ง!”
อู๋จื้อเห่าแหกปากคำรามอย่างไม่อดกลั้น ฟางผิงได้ยินเสียงคนที่อยู่ข้างเขาคำรามอย่างบ้าคลั่ง ปลดปล่อยตัวเองเช่นกัน
…..
15 นาทีต่อมา
ฟางผิงเห็นอู๋จื้อเห่ากับเพื่อนๆอยู่หน้าประตูโรงเรียน
ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นนักเรียนวิชายุทธ มีนักเรียนสังคมศาสตร์ประมาณ 10 คนเช่นกัน
นอกจากนักเรียนห้องสี่ นักเรียนห้องอื่นก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ พวกเขากำลังรอเพื่อนไม่ก็กำลังคุยกันเรื่อยเปื่อย
เมื่อเห็นฟางผิง จื้อเห่าก็หัวเราะเสียงดัง “ฟางผิง แทนที่จะออกไปปลดปล่อยตัวเองหลังสอบ แต่นายดันจะกลับบ้านเป็นเด็กดีของแม่ นายเอาจริงดิ?”
ฟางผิงหัวเราะ “ปลดปล่อย? ฉันต้องปลดปล่อยด้วยเหรอ?”
“นายพาจางหนานไปด้วย นายจะไปหาสาวระบายอีกเหรอ?”
“เงียบไปเลย!”
จางฮ่าวหน้าแดงแป๋ เขาชำเลืองมองจางหนานที่อยู่ข้างๆอย่างระมัดระวัง
พวกเขาหน้าด้านเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตามพวกเขายังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่
สังคมสมัยนี้ไม่ได้รุนแรงเท่าอนาคต นักเรียนก็ต่างจากนักศึกษาวิชายุทธ พวกเขาไม่มีประสบการณ์และไร้เดียงสามากกว่า
เมื่อได้ยินคำพูดของฟางผิง จางฮ่าวก็หน้าแดงทันที คนอื่นๆก็มีสีหน้าไม่ดีเช่นกัน
อู๋จื้อเห่าทำหน้าเหวอ หลิวรั่วฉีที่เงียบๆหันไปมองฟางผิงราวกับเขาเป็นอันธพาล พวกเขาไม่คิดเลยว่าฟางผิงที่เงียบๆจะหยาบคายแบบนี้
ใช่แล้ว หยาบคาย!
ปลดปล่อยที่พวกเขาพูดถึงคือกินข้าว แหกกฏ กินเหล้าและไปร้องคาราโอเกะ
ฟางผิงกำลังคิดเรื่องซื้อผู้หญิงกิน ถ้าไม่หยาบคายแล้วมันคืออะไร?
เมื่อเห็นทุกคนจ้องมองมา ฟางผิงก็ครุ่นคิด ช่างเป็นหนุ่มสาวที่ไร้เดียงสาเหลือเกิน!
หลังผ่านไปสองสามปี แม้แต่นักเรียนมัธยมต้นก็เปิดกว้างกว่าพวกเขาอีก
ทุกคนกำลังเตรียมพูดหยอกฟางผิง แต่พวกเขาก็พูดไม่ออก นอกจากนี้ยังมีสาวๆอยู่ด้วย พวกเขาไม่หน้าด้านพอจะพูดหัวข้อแบบนี้กับคนหยาบคายอย่างฟางผิง
อู๋จื้อเห่าโบกมือพูดเสียงดัง “ไปกินบาร์บีคิวกันเถอะ! เราจะไม่ดื่มอย่างอื่นนอกจากเหล้า!”
“หลังกินบาร์บีคิว เราไปร้องคาราโอเกะกัน!”
“มันเป็นเวลาเดียวที่เราจะกินเหล้าได้โดยไม่มีใครรู้ ดื่มเต็มที่ ฉันเลี้ยงเอง!”
คนอื่นก็ไม่ได้ทำตัวกระดากอาย ทุกคนเห็นด้วยทันทีและเดินไปถนนคนเดินที่มีแผงลอยบาร์บีคิวมากมาย คุยกันไปพลางหัวเราะไปพลาง
…..
กลุ่มวัยรุ่นไม่มีประสบการณ์กับเหล้าสั่งเบียร์มาห้าลังและเหล้าสองขวดทันทีที่นั่งลง
ก่อนที่บาร์บีคิวจะมาเสิร์ฟ เด็กหนุ่มหลายคนอยากเป็นผู้กล้า กระดกเหล้าเข้าปากก่อนใครเพื่อน
ฟางผิงมองจางฮ่าวที่ยกเหล้าดื่มประมาณ 50 มล. เขาเริ่มกังวลเรื่องขากลับ
วัยรุ่นโง่เขลากลุ่มนี้กระดกเหล้าอย่างอวดดี ทั้งๆที่ท้องว่างและไม่เคยมีประสบการณ์ดื่มเหล้ามาก่อน
ฟางผิงเดิมพันเลยว่าตอนท้ายคงเหลือคนน้อยกว่าสามคนเสียอีก
ฟางผิงวิเคราะห์ทางเลือก เขาควรส่งพวกเขากลับบ้านหรือเขาควรจองห้องคาราโอเกะ ปล่อยให้พวกเขาหลับจนดวงอาทิตย์ขึ้นดี?
จางฮ่าวไม่ได้สนใจเรื่องอะไรแบบนั้น ขณะที่แอลกอฮอล์ยังไม่ได้ออกฤทธิ์ เขาก็ดื่มอย่างตื่นเต้นและตะโกนสุดเสียง “เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาสามปี แต่เรายังไม่เคยร้องเพลงด้วยกันมาก่อน!”
“เรายุ่งอยู่กับธุระตัวเองมาตลอด”
“วันนี้พวกเราสอบเสร็จกันแล้ว ทุกคนจะแยกย้ายไปตามเส้นทางของตนเอง บางคนก็เรียนมหาลัยวิชายุทธ บางคนก็เข้าเรียนมหาลัยสังคมศาสตร์ชื่อดัง บางคนก็เข้ามหาลัยธรรมดา”
“หลังเรียนจบในไม่กี่ปีข้างหน้า พวกเราจะอยู่ต่างที่กันโดยสิ้นเชิง”
“เราไม่มั่นใจว่าเวลานั้นเราจะได้พบกันอีกไหม ดังนั้นวันนี้เราจะดื่มกินกันเต็มที่! เราจะไม่หยุดจนกว่าทุกคนจะเมา!”
คำพูดนี้จุดประกายอารมณ์ในใจของหลายคน
ทุกคนยังเด็กอ่ะใช่ แต่พวกเขาไม่ได้โง่
ในกลุ่ม ฟางผิงกับอู๋จื้อเห่าเป็นนักศึกษามหาลัยวิชายุทธในอนาคตแน่นอน พวกเขาจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ เป็นจุดสูงสุดของพีระมิด
ในทางกลับกัน หลิวรั่วฉีกับเฉินฝานคงเข้ามหาลัยวิชายุทธไม่ได้ แต่คงไม่ยากที่พวกเขาจะเข้ามหาลัยสังคมศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ต่อให้พวกเขาเป็นคนธรรมดา แต่พวกเขาก็มีอนาคตที่สดใสอยู่ตรงหน้า
คนที่มีผลสอบน้อยลงหน่อยอย่างจางฮ่าวและจางหนานก็มีหวังเข้ามหาลัยมีชื่อเช่นกัน
คนที่มีคะแนนแย่ๆเข้าได้แต่มหาลัยธรรมดาหรือมหาลัยขยะเท่านั้น
ในอนาคตทุกคนจะเหมือนกันงั้นเหรอ?
แน่นอนว่าไม่!
หลังจางฮ่าวพูดจบ นอกจากหลิวรั่วฉีก็ไม่มีใครพูดเลย
หลิวรั่วฉียกแก้วเบียร์ เธอค่อยๆสูญเสียความสงบไป “ฉันจะดื่มกับทุกคน!”
“หกปี นับตั้งแต่มัธยมต้น ครอบครัวฉันอยากให้ฉันสอบวิชายุทธผ่าน พวกท่านถึงกับขายบ้าน กู้เงินมาสนับสนุนฉัน”
“สุดท้าย ฉันก็ทำให้พวกท่านผิดหวัง ไม่เป็นไร ต่อให้ฉันเข้ามหาลัยวิชายุทธไม่ได้ แต่ฉันเชื่อว่าคนธรรมดาก็ก้าวหน้าได้!”
เด็กสาวคนนี้ดูเงียบๆและเย็นชา เธอเปิดใจให้กับทุกคน
เธอไม่ได้เงียบหรือทำตัวเย็นชา เธอแค่เครียดเกินไป
เธอรู้สึกกดดันหนักมากจนไม่กล้าหาเพื่อน
เธอต้องเรียนและฝึกฝน ภายใต้ใบหน้าคาดหวังของครอบครัว เธอไม่กล้าเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
ด้วยปราณและเลือด 115แคล ความหวังของเธอมีน้อยมาก
เมื่อเธอคิดว่า แม้เธอจะพยายามอย่างหนัก แบกรับความคาดหวังจากครอบครัว แต่เธอก็ยังล้มเหลว ดวงตาของเธอก็เริ่มแดง
“รั่วฉี…”
จางหนานยิ้มมั่นใจ “ฉันเชื่อในตัวเธอ เธอทำได้แน่นอน!”
จางหนานชนแก้วกับเธอ และทั้งสองก็ดื่มด้วยกัน
หลังทั้งสองยกแก้วดื่ม เด็กหนุ่มคนอื่นก็ยกแก้วขึ้นดื่ม พวกเขาดื่มหมดแก้วโดยไม่สนใจว่าจะเป็นเหล้าหรือเบียร์
ฟางผิงไม่ได้แกล้งโง่ต่อ ขนาดผู้หญิงยังดื่มเลย ถ้าเขาไม่ดื่มมันคงน่าอายมาก
หลังบาร์บีคิวมาเสิร์ฟ ทุกคนก็เร่าร้อนยิ่งขึ้น พวกเขาชนแก้วกันไม่หยุด
เฉินฝานนั่งอยู่ข้างฟางผิง เขาเป็นคู่หูคนสามัญ เด็กเนิร์ดในสายตาทุกคนทิ้งภาระทุกอย่างแล้วดื่มเต็มที่
หลังดื่มไปอีกสองสามแก้ว วัยรุ่นที่ไม่มีประสบการณ์บางคนก็เริ่มทรุดแล้ว พวกเขาเมาหนัก
แว่นตาของเฉินฝานเอียง เขายกแก้วยิ้มอย่างโง่งมให้ฟางผิง “ฟางผิง ฉันอิจฉามาก!”
“นายลงสมัครสอบวิชายุทธด้วยความตั้งใจ…แต่นายก็ผ่านจริงๆ!”
“นายบอกว่า ถ้านายกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ ฉันจะเสียใจไปทั้งชีวิตใช่ไหม?”
“บางครั้งฉันก็ลองมาคิดดู ฉันคิดว่าทำไมฉันถึงไม่สมัครเหมือนนาย ฉันไม่ได้อ่อนด้อยกว่านาย ถ้านายทำได้ ทำไมฉันถึงทำไม่ได้ล่ะ?”
“ฟางผิง นายไม่คิดงั้นเหรอ?”
“…”
ฟางผิงปลอบโยน เขายิ้มและพยักหน้า “ใช่ ฉันเห็นด้วย นายฉลาดกว่าฉัน ถ้านายสอบ นายจะผ่านแน่นอน”
“นายก็คิดเหมือนกันเหรอ?”
“อืม ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่านายจะเป็นผู้ฝึกยุทธหลังเข้ามหาลัยไม่ได้สักหน่อย”
“ถ้านายทำไม่ได้จริงๆ นายก็แต่งงานมีลูก จากนั้นก็ให้ลูกสอบวิชายุทธ!”
“พวกเราพลาดโอกาสกันเพราะปัญหาการเงิน ถ้าเรามีเงิน เราจะเข้ามหาลัยวิชายุทธได้แน่นอน! มันก็เหมือนกัน ถ้านายมีเงิน นายก็ทำให้ลูกชายนายเป็นผู้ฝึกยุทธได้!”
“นาย…นายพูดถูก!” เฉินฝานสะอึกแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ทุกอย่างเป็นเพราะฉันไม่มีเงิน ไม่มีเงินซื้อยา ซื้ออาหารเสริม…”
“ไม่งั้น ฉันก็สอบได้เหมือนกัน!”
“ฉันทำไม่ได้ แต่ลูกชายฉันจะไม่เป็นแบบนี้!”
“ฮ่าๆๆ เฉินฝาน นายคิดถึงเรื่องมีลูกแล้วเหรอ? นายคิดไปไกลแล้ว!”
คนที่นั่งอยู่ข้างเขาหัวเราะและส่ายหัวพูด “ฉันว่าเข้าไม่ได้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยเราก็ไม่ตกอยู่ในอันตรายนัก!”
“ฉันได้ยินว่าการฝึกฝนในมหาลัยถึงตายได้เลย มีนักศึกษาที่เสียชีวิตตอนฝึกฝนทุกปี”
“เสียชีวิตจริง!”
“ที่บ้านปู่ มีนักศึกษามหาลัยวิชายุทธปีสามคนนึง ข่าวลือบอกว่าเขาเก่งด้านวิชาการ เขาได้ทุนการศึกษาและรางวัลทุกปี มันมากจนเขาใช้ไม่หมด…”
“เขายังไม่จบมหาลัยด้วยซ้ำ แต่เขามีคฤหาสน์ พ่อแม่ขับรถหรู มีผู้มีอำนาจของเมืองไปเยี่ยมครอบครัวเขาทุกปีใหม่…”
“เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น?”
“เขาตาย!”
“ข่าวลือบอกว่าการฝึกฝนตอนสิ้นเทอมร้ายแรงมากจนเขาตาย มหาลัยและรัฐบาลให้เงินอุดหนุนครอบครัวหลายล้าน แต่เขาตายไปแล้ว เงินพวกนั้นจะมีประโยชน์อะไร?”
นี่เป็นคำพูดของนักเรียนห้องสี่ เขาเป็นหนึ่งในแปดผู้สมัครสอบ แต่เขาไม่ได้โดดเด่นนัก เขามักจะถูกมองข้ามด้วยเหตุผลนี้
ฟางผิงบอกได้ว่าเขาพูดโดยไม่ได้เจตนาให้คนกลัว ยิ่งกว่านั้นเขาไม่ได้พูดเพราะอิจฉาฟางผิงและอู๋จื้อเห่าที่เข้ามหาลัยวิชายุทธได้
แต่เขาพูดเพราะเขากลัว!
เขารู้สึกกลัว เขาปากสั่นเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
คนมีชีวิตก็ตายไปแบบนั้น! ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นคนที่เขารู้จัก แถมเขายังเคยไปบ้านอีกฝ่ายตอนยังเด็กด้วย
หลังพบว่าเพื่อนตาย เขาก็เก็บงำความกลัวต่อมหาลัยวิชายุทธไว้
ตอนแรกเขาทำได้ไม่เลวเลย ปราณและเลือดก็ไม่ได้ต่ำนัก อย่างไรก็ตามความกลัวทำให้ความใฝ่ฝันลดน้อยลง ช่วงไม่กี่ปีมานี้ เขาเริ่มทำตัวแบบขอไปที
คนอื่นรู้สึกเศร้าใจเมื่อไม่ผ่านเกณฑ์ปราณและเลือด แต่เขารู้สึกโล่งอก
อย่างไรก็ตามหลังดื่มเหล้าไปสองสามแก้ว เขาก็เปิดเผยทุกอย่างออกมา
เป็นคนธรรมดาไม่ดีงั้นเหรอ?
ไม่!
เป็นคนธรรมดาไม่ได้หมายความว่าจะเป็นทาส คนธรรมดาเปิดบริษัทเล็กๆได้ ทำงานในบริษัทได้ เป็นข้าราชการได้ มันไม่มีปัญหาเลย
มีพูดกันว่าคนธรรมดาดำรงตำแหน่งข้าราชการเกินระดับเมืองไม่ได้ แต่ก็มีคนทำได้อยู่หลายคน
ถ้ามีโอกาส พวกเขาก็จะพัฒนาตัวเองได้ด้วยการเข้าเรียนคอสวิชายุทธ มันก็เหมือนกัน
มันก็เหมือนกับภาคเอกชน ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จขยายธุรกิจไปนอกเมืองได้ล้วนฉลาดและมีความสามารถ ถูกต้องไหม?
คนฉลาดมีความสามารถจะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ไม่เป็นเลยเหรอ?
พวกเขาอาจเป็นได้ทั้งผู้ฝึกยุทธเองหรือมีเส้นสายกับผู้ฝึกยุทธที่มีความสามารถ ทั้งสองเส้นทางนี้ทำได้โดยง่ายด้วยการใช้เงิน
ชีวิตมั่นคงได้ด้วยเส้นทางนี้ มันแย่นักเหรอเมื่อเทียบกับการเข้ามหาลัยวิชายุทธ?
เรื่องแบบนี้ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะงั้นเขาจึงไม่ได้ผิดหวังมากนักเมื่อรู้ว่าตัวเองสอบตก
คนอื่นก็อารมณ์ดีขึ้นหลังได้ยินคำพูดเขา
เฉินฝานตบบ่าฟางผิงแล้วยิ้ม “ฟางผิง อย่าทำอะไรโง่ๆ ถ้าเกิดมีอะไรเลวร้าย นายก็ออกจากมหาลัยเลย อย่าเอาชีวิตไปเสี่ยง!”
“แน่นอน ฉันจะเอาตัวเองไปเสี่ยงได้ยังไง?”
ฟางผิงหัวเราะแล้วยกแก้วชนกับทุกคน
…..
หลังกินบาร์บีคิวกับเหล้า กลุ่มคนเมาก็ไปร้องคาราโอเกะกันอย่างกึ่งหลับกึ่งตื่น
ฟางผิงค่อนข้างมีสติเมื่อเทียบกับคนอื่น
เขาปฏิเสธการตัดสินใจของกลุ่มไม่ได้ กว่าจะลากคนทั้งกลุ่มไปคาราโอเกะได้ เขาต้องเรียกแท็กซี่ถึงสามคัน
คืนนี้ร้านคาราโอเกะมีคนเต็มไปหมด ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนมัธยมปลายปีสาม
ที่ทางเข้าห้องส่วนตัว ชายสองสามคนที่เมาเละบ้าคลั่งไปแล้ว พวกเขาแหกปากใส่ไมโครโฟนอย่างเมามัน
พวกเขาร้องเพลง เต้น หัวเราะและร้องไห้
หลังปลดปล่อยตัวเองเสร็จ ทุกคนก็จะกลับเป็นเด็กดีในสายตาพ่อแม่ เป็นความหวังในอนาคตของครอบครัว
อย่างไรก็ตามขณะเมา วัยรุ่นเหล่านี้ต่างก็ระบายความคับข้องใจออกมา
ความรู้สึกของฟางผิงก็ซับซ้อนเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าเขาต้องปลอบหรือพูดอะไรกับพวกเขาหน่อยไหม
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรและคอยเก็บกวาดพวกเขาแทน
ทุกคนเครียดและมีปัญหาชีวิต ไม่มีใครหรอกที่ไม่เครียดเลย
ชีวิตของฟางผิงไม่มีความท้าทายงั้นเหรอ?
ย่อมไม่
อู๋จื้อเห่าที่เข้ามหาลัยวิชายุทธได้แน่นอน ใช้ชีวิตสบายๆงั้นเหรอ?
ถ้าเป็นแบบนั้น เขาคงไม่เมาเละจนนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นหรอก
ทุกคนเปิดอกคุยกัน เพราะพวกเขารู้ว่ามันเป็นครั้งเดียวที่ทุกคนจะคุยกันได้อย่างเท่าเทียมกัน และปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียม
อนาคตพวกเขาจะเป็นแบบนี้กันอยู่ไหม?
ไม่มีใครรู้ และฟางผิงก็ไม่รู้เช่นกัน
…..
ความวุ่นวายจบลงตอนกลางดึก
นอกร้านคาราโอเกะ ผู้ปกครองของนักเรียนหลายคนกำลังรออยู่ใต้แสงไฟ
บางคนก็มาช่วยประคองลูกชายลูกสาวกลับบ้าน บางคนก็แบกลูกขึ้นหลัง พูดจาพึมพำด้วยกลิ่นเหล้าคละคลุ้งเดินทางกลับบ้าน
พวกเขาก็มีปัญหาของตัวเองเช่นกัน
ฟางหมิงหรงยืนอยู่ริมถนนด้วยสีหน้ากังวล เขายิ้มและไม่ได้พูดอะไรเมื่อสังเกตเห็นว่าลูกชายเขายังมีสติอยู่
พ่อและลูกชายเดินกลับบ้านด้วยกันเงียบๆ คนนึงอยู่หน้าคนนึงอยู่หลัง
ขณะที่พวกเขาเดินกลับบ้าน จู่ๆฟางผิงก็ยิ้ม “พ่อ พวกเขาบอกว่าเด็กไม่รู้รสชาติของความโศกเศร้า แต่ตอนนี้ผมพบว่าเด็กก็รู้สึกเศร้าเหมือนกัน มันหมายความว่าพวกเราเติบโตขึ้นแล้วเหรอ?”
ฟางหมิงหรงเผยรอยยิ้มออกมา “ใช่ พวกลูกโตแล้ว”
“หลังเข้ามหาลัย อยู่ไกลกัน ผมจะไม่พึ่งพ่อแม่อีก”
“ดี พ่อเชื่อในตัวลูก”
‘พ่อเชื่อในตัวลูก’ทำให้อารมณ์ปั่นป่วนของฟางผิงสงบลง
หลังจบมัธยมปลาย พวกเขาก็จะไปจากพ่อแม่ นักเรียนมัธยมปลายปีสามทุกคน รวมทั้งเขาด้วย ก็จะพูดได้ว่าตนเองเติบโตขึ้นแล้ว
โลกใหม่กำลังเปิดอ้าให้เขา
แม้ว่าเขาจะเคยผ่านอะไรมาคล้ายๆกันในชีวิตก่อน แต่ชีวิตนี้ ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ มันจะอัศจรรย์และแตกต่างกันแค่ไหนนะ?
เวลานี้ ฟางผิงเฝ้ารออย่างคาดหวัง