World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 100.2
ตอนที่ 100 เหล่าซึ่งก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน (2)
ณ ชั้นเก้า
อาจารย์ทุกคนช็อคกันมาก
การแบ่งสรรสาขาไม่กี่ปีมานี้ก็มีบางครั้งที่วุ่นวายกันบ้าง แต่มันไม่เคยวุ่นวายขนาดนี้มาก่อน!
นักศึกษาสองคนแทบพลิกคว่ำไปทั้งอาคาร!
บวกกับแรงจูงใจของคณบดีและรางวัล เหล่านักศึกษาจึงบ้าคลั่ง ภายใต้สถานการณ์ปกติ การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธจะไม่ส่งผลต่อเตรียมผู้ฝึกยุทธ
แม้ว่าฟางผิงจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ แต่เขามีพลังต่อสู้ระดับผู้ฝึกยุทธ
ตอนนี้เขากําลังข่มเหงคนธรรมดาเพื่อจุดประสงค์หาคะแนน!
อาจารย์ทนดูต่อไปไม่ได้ พวกเขากล่าวอย่างโกรธๆ ” คณบดี กฏนับเตรียมผู้ฝึกยุทธเท่ากับหนึ่งคะแนนควรยกเลิกเดี๋ยวนี้!”
หวงจึงหันไปมองเขา หลังหยุดคิดชั่วขณะ เขาก็พูดขึ้นมา ”เขาก็เป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธเหมือนกัน…”
“เอ่อ…”
“ฟูชางติ่งเป็นผู้ฝึกยุทธไม่ใช่รึไง?”
“เขาถูกผู้ฝึกยุทธล้อมกรอบไว้หลบหนีไม่ได้ เวลานี้เขาไม่สําคัญ”
เหล่าอาจารย์ไม่รู้จะพูดอะไร มีคนนึ่งพูดออกมาอย่างจนใจ ” ช่างเถอะ ปล่อยให้มันวุ่นวายไป ปล่อยให้เด็กใหม่พวกนี้ทุกข์ทรมาณบ้างก็ดีเหมือนกัน”
” แค่เข้าโม๋อู่ได้ พวกเขาก็คิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะแล้ว ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้ยอมรับความจริงเลยว่าที่โม๋อู่ ทุกอย่างเริ่มจากศูนย์”
“กลุ่มผู้ฝึกยุทธเกือบ 70 คนและเตรียมผู้ฝึกยุทธกว่าพันคนถูกผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งคนนึงและเตรียมผู้ฝึกยุทธคนนึงข่มเหงรังแก…”
“มัน”
“เอิ่ม…”
อาจารย์คนนี้ไม่รู้จะพูดอะไร มันน่าอับอายมาก! โม๋อู่ขายหน้าหมด!
เฉินเจิ้นฮวาจากสาขาสังคมศาสตร์อธิบายอย่างยุติธรรม “เด็กฟางผิงคนนี้ไม่ได้แค่ขัดเกลาสามครั้งเท่านั้น ปราณและเลือดเขาเกิน 200แคลแล้ว”
” จวงกงเขาอยู่ขั้นสอง คนที่มีท่ายืนหนักแน่นจะเปลี่ยนศูนย์ถ่วงได้ จวงกงขั้นนี้ล้มได้ยากเหมือนตุ๊กตาล้มลุก”
“ส่วนวรยุทธ…เพลงเตะเขาเฉียบคม เขาเชี่ยวชาญการรวมพลังและปลดปล่อยพลัง ประยุกต์ใช้เคล็ดวิชาได้ค่อนข้างดี สามารถสร้างความเสียหายมากสุดด้วยกําลังน้อยสุด”
“เคล็ดวิชานี้ดูเหมือนจะมีต้นกําเนิดจากมหาลัยวิชายุทธ!”
ทุกคนพยักหน้า พวกเขามีประสบการณ์มากมายจึงมีความรู้มากไปด้วย มีคนพูดขึ้นมาทันที “มันมาจากมหาลัยวิชายุทธ เพราะมันต่างจากที่สอนในกองทัพ นอกจากนี้มันยังไม่ใช่เคล็ดวิชาเน้นสวยงามที่สอนกันข้างนอก มันเป็นเพลงเตะจากมหาลัยวิชายุทธ เขาเข้าใจพื้นฐานเป็นอย่างดี อาจารย์ถ่ายทอดวิชาอาจศึกษาเคล็ดวิชานี้มาอย่างโชกโชน”
“เขาเป็นลูกหลานของอาจารย์มหาลัยวิชายุทธงั้นเหรอ?”
มีคนถามอย่างสงสัย หญิงสาวที่หาข้อมูลของฟางผิงมาเมื่อวานยิ้มและกล่าว ” อาจไม่เป็นแบบนั้น เขามาจากครอบครัวธรรมดาในหยางเฉิง มณฑลหนานเจียง”
“เด็กคนนี้บอกว่าถ้าเข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียง เขาจะได้รางวัลมูลค่าสิบล้าน ตอนแรกฉันไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ฉันเชื่อแล้ว”
” ครอบครัวธรรมดา?” อีกคนเอ่ยถาม ”เป็นไปได้ยังไง? ฉันไม่ได้แปลกใจถ้านักศึกษาที่มีปราณและเลือดสูงจะมาจากครอบครัวธรรมดา แต่สําหรับคนที่ไม่มีอาจารย์ ความคืบหน้าในเคล็ดวิชายุทธและจวงกงมันเร็วเกินไป นอกจากนี้เขายังขัดเกลาสามครั้งอีก ใครเป็นคนให้ทรัพยากรกัน?”
หวงจิ่งที่นิ่งเงียบมาตลอดพูดเบาๆ “คุณไม่ได้ยินที่เขาพูดเหรอ? เขาบอกว่ารู้จักนักศึกษาจากมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงที่เก่งกาจมีความสามารถ ฟังจากน้ำเสียงเขา เขาน่าจะเคารพอีกฝ่ายมาก…”
” ฟางผิงจบมาจากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งหยางเฉิง โรงเรียนเดียวกับนักศึกษาหวังจินหยางแห่งมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง”
“ข่าวลือบอกว่าหวังจินหยางสนิทกับฟางผิง พวกเขาเคยทํางานร่วมกันที่หยางเฉิง จับกุมและฆ่าผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุด ตั้งแต่นั้นมาฟางผิงก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว”
” ฟางผิงเสียใจที่ไม่ได้เลือกมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง มีคนเสนอรางวัลให้สิบล้าน ฉันขอถามหน่อย ด้วยคะแนนประเมิณร่างกาย 149แคล จะมีใครในมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงที่ทําแบบนั้นได้?”
” หวังจินหยาง!”
อาจารย์คนนั้นนึกถึงหวังจินหยางทันที หลายคนอุทานและทอดถอนใจ
มีคนที่มีความสามารถไม่มากนักที่มาจากหนานเจียง จากไม่กี่ปีที่ผ่านมา หวังจินหยางถือเป็นหนึ่งในนั้น แม้เขาจะอยู่แค่ขั้นสามอยู่ห่างไกลจากพวกเขาก็ตาม
หวงจึงถอนหายใจเบาๆ “ถ้าฉันคิดไม่ผิด เคล็ดเพลงเตะที่ฟางผิงใช้น่าจะมาจากหวังจินหยาง มันมีร่องรอยรูปแบบของจางชิงหนาน”
“แม้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงจะอ่อนแอ แต่ก็มีคนที่มีความสามารถสูงอยู่บ้าง”
“จางชิงหนานไม่ถือว่าอ่อนแอแม้แต่ในหมู่ผู้ฝึกยุทธขั้นห้า เขาสามารถสร้างชื่อให้กับตัวเองแม้แต่ในโม๋อู่”
“เสียดายที่เขาไม่ได้กลับจากถ้ำใต้ดิน…”
ถังเฟิง อาจารย์ขั้นหกสาขาศัสตราวุธที่เงียบมาตลอด กล่าวด้วยความรู้สึกค่อนข้างเสียใจ ”น่าเสียดาย ฉันเคยพบจางชิงหนานครั้งนึง เขาแข็งแกร่งและค่อนข้างผ่าเผย”
” เขามีความสามารถและมีวิสัยทัศน์ อีกไม่กี่ปีเขาคงทะลวงสู่ขั้นหก”
” รองอธิการบดีคนเก่าของมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงบ่มเพาะให้เขาเป็นผู้สืบทอด น่าเสียดาย…”
ทุกคนรู้สึกเสียใจเล็กๆ หวงจึงกระแอมเบาๆ “เราหยุดพูดเรื่องนี้เถอะ มีคนติดอยู่ถ้ำใต้ดินทุกปีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“เราจะสังเกตต่อ ไม่ว่าฟางผิงจะมีสถานะอะไร แต่ถ้าพันกว่าคนแพ้ให้กับเด็กทั้งสอง เด็กใหม่ปีนี้จะถูกหักคะแนนครึ่งนึง!”
” คณบดี!”
หวงจิ่งแค่นเสียง ” เด็กใหม่ที่ได้รับแนะนําจากนักศึกษาปีสองมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเอาชนะเด็กใหม่ทั้งชั้นปี โม๋อู่รับความอับอายนี้ไม่ได้ ฉันกับรองอธิการบดีก็รับไม่ได้”
“ถ้าไม่ใช่เพราะข้อจํากัด ฉันจะไล่ออกทุกคน!”
” หักคะแนนครึ่งนึ่งเป็นสิ่งจําเป็น!”
เฉินเจิ้นฮวากับคนอื่นๆเข้าใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจของเขา ถ้ารองอธิการบดีอยู่ด้วย เขาก็ไม่คัดค้านเช่นกัน
หลังพิจารณาสักพัก เฉินเจิ้นฮวาก็เปิดไมค์ เขากระแอมเล็กน้อยแล้วพูด “เหลือเวลาสิบนาที ถ้าฟางผิงกับฟูชางติ่งไม่ล้ม คะแนนของทุกคนจะถูกหักครึ่งนึง!”
บนชั้นสี่ แววตาของทุกคนแดง!!
หักคะแนนครึ่งนึง!
วันก่อนทุกคนยังไม่รู้ว่าคะแนนสําคัญแค่ไหน แต่ตอนนี้พวกเขาทราบแล้วว่าสามคะแนนเท่ากับเม็ดยาปราณและเลือดธรรมดาเม็ดนึ่ง
คนที่มีปราณและเลือดต่ำๆก็โกรธเช่นกัน
“เราไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย!”
“มันไม่ใช่เรื่องของเรา! ทําไมทุกคนถูกลากมาเอี่ยวด้วย?”
“จัดการมัน! เร็วเข้า เราเหลือเวลาน้อยแล้ว! เราต้องจัดการมัน เราแค่ถุยน้ำลายคนละที มันก็จมน้ำตายแล้ว!”
“เร็ว ลงไปเอาอาวุธยาวและโจมตีมันจากระยะไกล!”
ขณะที่นักศึกษากําลังบ้าคลั่ง ฟางผิงกําลังเสียหลัก เวลานี้เขากําลังหลบหนีการไล่ล่า
เนื่องจากจวงกงระดับสูง เขาจึงหลบหลีกได้ค่อนข้างดี
เขามีรอยเลือดทั่วตัวหลังทนรับการโจมตีหลายครั้ง ปราณและเลือดไม่ได้ลดความเจ็บปวด ฟางผิงมองกลุ่มนักศึกษาที่ตาแดงก่ำแล้วรู้สึกกังวล เขาจะถูกทุบตีจนตายไหม?
ขณะที่เขารู้สึกกังวล ฟูชางติ่งก็ตะโกนด้วยความเจ็บปวดตลอดเวลา “ฉันยอมแพ้! ฉันยอมแล้ว! พี่ใหญ่ฉันยอมแล้วได้ไหม?”
“ฉันไม่ใช่คนอยู่เบื้องหลัง มันเป็นฟางผิง!”
“อย่าต่อยหน้าฉัน ฉันขอร้อง ฟางผิง นายมันเลว…”
“อ้าก!”
“อย่าแทงตรงนั้น!”
” อย่าเตะน้องชายฉัน! สหาย ฉันยอมแพ้แล้ว…”
ฟูชางติ่งหลังถูกล้อมกรอบหลายครั้ง เขาก็แทบไม่มีแรงร้อง เขาไม่ไหวแล้วจริงๆ แม้ว่าเขาจะกินยาปราณและเลือดทั้งสามเม็ดไปแล้วก็ตาม!
พวกเขาไม่ได้หล่อหลอมมาจากเหล็ก หลังถูกทุบตีก็รู้สึกเจ็บ ถ้าพวกเขาสู้กับคนอื่นตัวต่อตัว มันยังไม่เป็นไร แม้แต่หนึ่งต่อสิบก็ยังไหว แต่สู้กับคนเป็นร้อยไม่ได้พักมันก็มากเกินไป!
เสียงของฟูชางติ่งขาดหายไปแทบจะในทันที ฟางผิงก็ได้ยินเสียงคนตะโกน “อย่าเหยียบเขา! จะทํายังไงถ้าเขาโดนเหยียบจนตาย!”
“เจ้าหมอนี่เสร็จแล้ว! เหลือเวลาอีกไม่มาก! รีบเปลี่ยนไปจัดการอีกคน!”
ฟางผิงตัวสั่น เขากวาดสายตามองรอบห้องที่เต็มไปด้วยผู้คน เขาพลันกระโดดขึ้นไปจับตะแกรงช่องแอร์และร้องตะโกน “ฉันยอมแพ้! ถือว่าฉันแพ้แล้ว! ฉันยอมรับว่าเด็กใหม่โม๋อู่แข็งแกร่งมาก!”
” ฝันไปเถอะ!”
จ้าวเหล่ยปิดเบ้าตาซ้ำและคํารามอย่างโกรธแค้น
หยางเสี่ยวม่านนวดหน้าอกอย่างโกรธๆ เธอแค่นเสียง “ลงมาเดี๋ยวนี้ นายอยู่สูงขนาดนั้น นายอยากเป็นเป้าของเราเหรอ?”
”มา…ลงมา เราสัญญาว่าจะไม่ฆ่าแก…”
ในฝูงชน เด็กหนุ่มร่างอ้วนกําลังลูบหัว มันบวมเป่ง!
“ฉันไปล่วงเกินใครเข้า?”
เขาแค่ดูจากไกลๆ แต่สุดท้ายเขาก็ถูกหมัดฟางผิงต่อยเข้าที่หัว เขายังรู้สึกวิงเวียนไม่หาย
“ฉันไม่ลง! อย่าเข้ามา! ใครเข้ามาฉันจะลากไปตายด้วย!”
”เวลาจะหมดแล้ว พวกคนชั้นสี่ ทําไมไม่จัดการมันซะ? พวกนายอยากโดนหักคะแนนรึไง?”
“ฉันยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว! อีกอย่างฉันจําได้ว่าฉันจัดการเตรียมผู้ฝึกยุทธไปห้าสิบกว่าคน และผู้ฝึกยุทธยี่สิบคนเท่านั้น ฉันไม่ได้โจมตีพวกนายมากขนาดนี้ อย่าจ้องฉันแบบนั้นนะ!”
” ฉันก็บาดเจ็บเหมือนกัน! บาดแผลภายในร้ายแรงมาก! ถอยออกไปให้พ้น!”
เมื่อเห็นสีหน้าของคนที่แหกปากอยากแหกอกเขา ฟางผิงก็รู้สึกหวาดกลัว มีมากเกินไป! ถ้าทุกคนบุกเข้ามาพร้อมกัน เขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
สายตาเขาเหลือบไปมองฟูชางติ่งที่คลานอยู่บนพื้นไม่ไกลจากตรงนั้น เขาตัวสั่นเทา สภาพฟูชางติ่งแย่มาก!
เสื้อผ้าของฟูชางติ่งขาดหลุดรุ่ย แผนหลังเขาเป็นรอยขีดข่วนเปื้อนเลือด มันเป็นฝีมือของผู้หญิงอย่างไม่ต้องสงสัย
ฟางผิงจับช่องแอร์แน่น ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ลงไป คนอื่นอยากใช้อาวุธยาวที่มแทงเขา แต่เวลาหมดแล้ว สุดท้ายจ้าวเหล่ยก็ถามอย่างไม่เต็มใจ ” คณบดี ถ้าเขายอมแพ้ คะแนนเราจะถูกหักไหม?”
หวงจึงเงียบไปครู่นึงก่อนจะกล่าว “ไม่!”
“นับว่าแกโชคดีไป!”
จ้าวเหล่ยแค่นเสียงในลําคอ จากนั้นเขาก็หันหน้าไปและออกคําสั่งอย่างอารมณ์เสีย ” เคลียร์พื้นที่!”
เขาอยากไล่ต่อ แต่เวลาหมดแล้ว แถมฟางผิงยังอยู่ในสภาพเต็มร้อย แม้ว่าอีกฝ่ายจะยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขายังสู้ต่อได้
เจ้าบ้านี่ไม่รู้กินยาล่วงหน้าไปเท่าไหร่ ไม่กลัวร่างกายระเบิดตายรึไง?
ถ้าพวกเขาล้อมกรอบเขาอีก ฟางผิงจะเป็นคนที่โชคร้ายที่สุด แต่ฟางผิงอาจเลือกโจมตีเป้าหมายเดียว และเป้าหมายคนนั้นจะได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
ส่วนคําถามว่าใครจะเป็นเป้าหมายระหว่างหยางเสี่ยวม่านกับตัวเขา จ้าวเหลยรู้สึกว่าเขามีโอกาสถูกเลือกมากกว่า
เขาถลึงตามองฟางผิงอย่างโกรธแค้น ฝูงชนค่อยๆบางตาลง จ้าวเหล่ยไม่ลืมเหยียบฟูชางติ่งอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป แม่งเอ้ย! เจ้าสองตัวนี้ทําให้ทุกคนเสียหน้า!
ฟางผิงตัวสั่น ฟูชางติ่งสภาพแย่มากถึงมากที่สุด
“ฟางผิง…”
ฟูชางติ่งครวญครางอย่างเจ็บปวด ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยรองเท้าหันไปมองฟางผิง เผยให้เห็นความโกรธและความขมขื่น
“สู้ตัวต่อตัวที่เราพูดถึงไปอยู่ไหนแล้ว?
“เราถูกล้อมกรอบยังไม่เท่าไหร่ แต่สภาพนายยังดีเพราะทุกคนระบายความโกรธใส่ฉัน! มันยุติธรรมบ้างไหม?”