World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 105
ตอนที่ 105 อัจฉริยะไม่เท่ากับเก่งกล้าสามารถ
หอพักอาจารย์เขตหนึ่ง
แม้มันจะถูกเรียกว่าหอพัก แต่จริงๆแล้วที่นี่เป็นวิลล่าระดับไฮเอนด์!
วิลล่าขนาดใหญ่แบบนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคําว่าหอพักเลย
วิลล่าหมายเลข 8
เมื่อฟางผิงเคาะประตู เป็นหลู่เพิ่งโหรวที่มาเปิดประตูด้วยตัวเอง
บางที่บอกว่าหลู่เพิ่งโหรวเป็นคนเดียวที่อยู่ในวิลล่าหลังนี้จะถูกต้องมากกว่า
เมื่อเห็นฟางผิง หลู่เฟิงโหรวก็ไม่มีอาการแปลกใจเลย เธอพูดอย่างใจเย็น ”มาแล้วสินะ”
” ครับอาจารย์ ผมมาเพราะ…”
“จะทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธถูกต้องไหม?”
หลู่เพิ่งโหรวตัดบท หันหลังกลับไปและพูดขึ้น เข้ามา”
จากนั้นเธอก็เลิกสนใจฟางผิงและเดินเข้าไปห้องนั่งเล่น เธอเอนกายพิงโซฟากลับไปดูโทรทัศน์ต่อ
ฟางผิงยืนอยู่หน้าประตูรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาอยากหารองเท้าแตะมาเปลี่ยน แต่บนชั้นวางรองเท้าเขาไม่เห็นรองเท้าแตะซักคู่เลย!
หลู่เฟิงโหรวทําอะไร?
เธอไม่รับแขกหน่อยเหรอ?
“เข้ามา ไม่ต้องเปลี่ยนรองเท้า”
หลู่เพิ่งโหรวตะโกนบอกเหมือนรู้ว่าฟางผิงกําลังหาอะไร
ฟางผิงจึงได้แต่เดินเข้าไปตามคําพูดเธอ
“ปราณและเลือดไม่เพิ่มแล้ว?”
”มาถึงขีดจํากัดขัดเกลาสามครั้งแล้วครับ มันหยุดที่ 209แคล”
”เป็นไปตามคาด ฝึกฝนจนปราณและเลือดถึง 209แคลในขั้นเตรียมผู้ฝึกยุทธไม่ใช่เรื่องง่าย นายน่าจะมีโอกาสไปต่ออีก”
” แต่มันไม่สําคัญแล้ว เพราะไม่ว่าเตรียมผู้ฝึกยุทธจะแข็งแกร่งแค่ไหน มันก็ยังเป็นแค่เตรียมผู้ฝึกยุทธผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดคนไหน นายก็ต่อกรด้วยไม่ได้แล้ว”
“ฉันกําลังพูดถึงผู้ฝึกยุทธจากมหาลัยวิชายุทธ ผู้ฝึกยุทธทั่วไปไม่นับเป็นผู้ฝึกยุทธ พวกเขาเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ที่มีปราณและเลือด!”
หลู่เพิ่งโหรวดูถูกผู้ฝึกยุทธทั่วไปมาก เธอสังเกตว่าฟางผิงยังยืนอยู่ เธอจึงพูดเบาๆ “นั่งลง”
ฟางผิงมองไปรอบๆ ก่อนจะนั่งลงข้างเธอ
“การเลือกทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง”
หลู่เฟิงโหรวกล่าวเบาๆ “คือแบบนี้ กระดูกมนุษย์ในขั้นเตรียมผู้ฝึกยุทธ การขัดเกลากระดูกครั้งนึงเท่ากับขัดเกลาไปหนึ่งจุดนายขัดเกลาสามครั้ง มันก็เท่ากับสามจุด”
“นี่คือทั้งร่างกาย นายน่าจะรู้ดีว่าขัดเกลาทั้งตัวสามครั้งยากแค่ไหน”
“ถ้านายอยากขัดเกลาสี่จุด…มันแทบเป็นไปไม่ได้”
“ต่อให้นายทําได้ มันก็ใช้เวลามาก!”
“มันจะต่างออกไปถ้านายเข้าขั้นหนึ่ง นายจะเลือกขัดเกลากระดูกทีละส่วนได้ ขัดเกลาไปจนถึงเก้าจุด!”
” ตอนนี้นายมีสามจุดแล้ว หลังนายเข้าขั้นหนึ่ง นายจะเติบโตได้ง่ายกว่าคนอื่น นายแค่จําเป็นต้องขัดเกลาอีกหกจุดเท่านั้น”
ฟางผิงเห็นว่าหลู่เพิ่งโหรวมีอารมณ์พูดคุย เขาจึงลังเลชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถาม “ไม่ขัดเกลาให้เสร็จเหรอ?”
” พูดเป็นเล่น!”
หลู่เพิ่งโหรวพูดอย่างอารมณ์เสีย ”กระดูกมนุษย์ไม่ได้เรียบง่ายแบบนั้น! ตอนนี้นายขัดเกลาไข กระดูกได้ไหม? ผู้ฝึกยุทธต่ํากว่าขั้นสามทําได้แค่ขัดเกลากระดูกด้านนอกเท่านั้น เก้าจุดคือขีดจํากัด”
” พอนายขัดเกลากระดูกเสร็จทั้งหมด ไขกระดูกถึงจะถูกเปลี่ยน จุดสุดท้ายไม่ใช่บังคับขัดเกลา แต่เป็นการสร้างใหม่ตามธรรมชาติ”
“แน่นอน นี่เป็นเรื่องหลังเป็นปรมาจารย์”
ฟางผังรู้สึกได้ประโยชน์มากมาย คําพูดไม่คิดอะไรมากของยอดยุทธเป็นประโยชน์ต่อคนอย่างเขามาก
เตรียมผู้ฝึกยุทธที่ขัดเกลากระดูกเสร็จครั้งนึงเท่ากับขัดเกลากระดูกทั้งตัวไปแล้วหนึ่งจุด
สามครั้งก็คือสามจุด!
ผู้ฝึกยุทธต่ํากว่าขั้นสามจะเลือกขัดเกลาเฉพาะส่วนและขัดเกลาได้สูงสุดเก้าจุด ซึ่งถือว่าเป็นการเสร็จสิ้นการขัดเกลากระดูก
การขัดเกลาไขกระดูกขั้นสุดท้ายจําเป็นต้องรอจนกว่าจะถึงขอบเขตปรมาจารย์ พอถึงตอนนั้นกระดูกจะเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ
“นายขัดเกลาสามครั้ง การฝึกฝนนายจะเร็วขึ้น ที่จริงไม่ใช่ทุกคนที่ทนการขัดเกลาสามครั้งได้”
“อย่าไปฟังคําพูดที่ว่า ขอแค่มีทรัพยากร ใครๆก็ขัดเกลาสามครั้งได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติส่วนตัวเช่นกัน”
“ถ้ามันง่ายขนาดนั้น ต่อให้เสียเวลาบ้าง ทุกคนก็คงเลือกขัดเกลาสามครั้งเพื่อประหยัดเวลาช่วงหลัง”
หลู่เฟิงโหรวยิ้ม ” พูดอีกนัยนึง นายถือเป็นอัจฉริยะ นายรู้สึกว่าฉันดูแลอัจฉริยะได้ไม่ เพียงพอรึเปล่า?”
“ไม่ครับ”
ฟางผิงส่ายหน้าแล้วกล่าว “การฝึกฝนเป็นเรื่องของตัวเอง อาจารย์มีหน้าที่แค่ชี้แนะการ ฝึกฝนไม่ใช่พ่อแม่ ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม
“เหอะเหอะ คําพูดนี้เป็นความจริง แต่ก็เป็นเท็จด้วยเช่นกัน”
หลู่เฟิงโหรวเอนกายพิงโซฟา เปลี่ยนช่องทีวี ก่อนจะพูดอย่างเกียจคร้าน ” ที่จริงบ่อยครั้งฉันรู้สึกว่าการเป็นอัจฉริยะไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป”
“อัจฉริยะมีความต้องการมากกว่า กล้าหาญมากกว่า พวกเขาทําตัวเหมือนมีแต่สวรรค์และโลกเท่านั้นที่อยู่เหนือตนเอง”
” คนแบบนี้ส่วนใหญ่จะตายเร็ว!”
”เป็นคนที่เก่งกว่าเฉลี่ยหน่อยนึงดีกว่าอีก ตายเพราะชราหรือเพราะอาการเจ็บปวยยังมีความสุขกับความสงบอยู่บ้าง”
” แต่อัจฉริยะล่ะ?”
“คนอื่นเป็นขั้นหนึ่ง ส่วนอัจฉริยะเป็นขั้นสาม คนอื่นกําลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่อัจฉริยะต้องอยู่ในนรก”
“ทุกคนยังเด็ก แต่ตายโดยไม่สัมผัสกับความสุขหรือไม่เคยปล่อยตัวปล่อยใจ บางครั้งฉันก็รู้สึกเสียใจแทนพวกเขา”
“ส่วนฉัน ที่จริงฉันไม่ได้อยากได้อัจฉริยะ แต่เพราะฉันเป็นขั้นหกสูงสุด ถ้าฉันไม่รับอัจฉริยะ มาบ้างมันคงดูไม่ดี”
” นายรู้ไหมทําไมศิษย์ฉันถึงตายเร็ว?”
ฟางผิงส่ายหน้า ต่อให้เขารู้ เขาก็คงไม่กล้าพูดอะไรออกมา
”เหอะเหอะ เพราะพวกเขาเป็นอัจฉริยะยังไงล่ะ! ที่บอกว่านายจะได้ยามากกว่า มีภารกิจมากกว่าและพัฒนาขึ้นเร็วกว่า ฉันไม่ได้โกหก”
“เพราะงั้นศิษย์ของฉันจึงเติบโตได้เร็วมากเช่นกัน”
“เป็นผลให้ศิษย์ฉันคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะไร้ที่เปรียบที่จะทําอะไรก็ได้”
” พวกเขายอมรับภารกิจที่คนอื่นไม่กล้าทํา!”
“สุดท้าย พวกเขาก็ตาย”
” แต่ฉันก็ไม่ปฏิเสธ ศิษย์ของฉัน ส่วนใหญ่จะมาถึงขั้นสาม”
“ในไม่กี่ปีมานี้ นอกจากนายกับจ้าวเสวี่ยเหมย ฉันรับศิษย์ 12 คน มี 11 คนเป็นขั้นสาม…อีกคนเป็นขั้นสี่”
“ตอนนี้ ขั้นสี่ตายแล้ว ขั้นสามอีก 3 คนก็ตายเหมือนกัน มีอีก 3 คนบาดเจ็บค่อนข้างสาหัสฉันบอกให้พวกเขาดรอปและมีความสุขกับชีวิตแทน แต่พวกเขาไม่ยอมและอยากดิ้นรนต่อไป ฉันจึงไม่สนใจพวกเขาอีก ปล่อยให้พวกเขาทําตามใจตนเองไป”
” มีทั้งหมด 5 คนที่ยังสมบูรณ์แข็งแรง ไม่รวมพวกนายสองคน”
“ทั้งห้าคนเป็นขั้นสาม มีสี่คนที่อยู่ข้างนอก ฉันไม่รู้ว่าจะมีคนตายอีกไหม ส่วนอีกคนอยู่มหาลัย เป็นผู้หญิง”
“ถ้านายมีปัญหาอะไรแล้วฉันไม่อยู่ นายก็ไปปรึกษาเธอ เธอมีความรับผิดชอบมากกว่าอาจารย์ส่วนใหญ่อีก”
” ฉันจะเอาเบอร์เธอให้นาย นายจะได้ติดต่อเธอได้เอง”
หลู่เฟิงโหรวเล่าสถานการณ์ของลูกศิษย์ให้เขาฟัง เธอคงรู้สึกว่าปิดไปก็ไม่มีประโยชน์
จากนั้นเธอก็กล่าวต่อ “ถ้านายอยากมีชีวิตให้นายขึ้นสักหน่อย งั้นนายก็ต้องคิดให้ดี ฉันไม่ใช่ แม่ ฉันได้แต่เตือนนาย แต่ห้ามนายไม่ได้”
“ถ้ากรณีที่แย่ที่สุด นายตาย ฉันจะช่วยให้นายได้สวัสดิการและค่าชดเชยมากขึ้น ครอบครัวนายจะได้ไม่ลําบาก”
” ทุกคนคิดว่าตัวเองเป็นยอดอัจฉริยะ แต่แค่คําพูดไม่กี่คํา พวกเขาก็เสียเหตุผล”
“ฉันเห็นว่านายให้คุณค่ากับชีวิต เมื่อวานตอนแบ่งสรรสาขา การยอมรับความพ่ายแพ้ค่อนข้างมีความหมายไม่เลว”
หลู่เฟิงโหรวเผยรอยยิ้มที่หาได้ยาก “คนฉลาดจะรู้สถานการณ์ บางครั้งคําพูดนี้ก็เหมาะสมมาก”
“แน่นอน ฉันไม่ได้บอกให้นายรักตัวกลัวตาย แต่นายควรดูภาพรวมให้ชัดแจ้ง
“ถึงเวลาสู้เหมือนอย่างวันก่อน งั้นก็ต้องสู้ นั่นเป็นวิธีที่จะทําให้ได้คะแนนมากขึ้น!”
“ถ้ายังไม่ถึงเวลาสู้จะไปสู้กับคนอื่นมีประโยชน์อะไร?”
ฟางผิงพยักหน้า เขาลังเลชั่วครู่ก่อนจะกล่าวออกมา “อาจารย์ ผมได้ยินว่า…”
” พูด!”
“ผมได้ยินว่าเป็นเพราะรุ่นพี่หวังจินหยาง…”
หลู่เฟิงโหรวขัดจังหวะ “ไปได้ยินมาจากไหน? ช่างมันเถอะ ไม่จําเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนี้”
“นายเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธ นายไม่มีค่าพอ ไม่มีใครวางแผนอะไรนาย อย่าสําคัญตัวเองผิดไป!”
“นี่เป็นการแข่งขันระหว่างมหาลัยวิชายุทธธรรมดากับมหาลัยดัง มันไม่เกี่ยวข้องกับนาย!”
“กระนั้น ตอนนี้หวังจินหยางมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก อาจารย์เขาติดอยู่ใต้ดินติดอยู่ที่อันตราย เขาจึงต้องทะลวงขั้นโดยเร็ว”
“เนื่องจากเขาไม่มีครอบครัวสนับสนุน เขาจึงได้แต่ทําตัวโดดเด่นและออกตัว แทนมณฑลหนานเจียงและมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งที่เขาต้องการ!”
” หวังจินหยางอาจตายเร็วหรือเติบโตได้อย่างรวดเร็ว นี่เป็นเส้นทางที่เขาเลือก คนอื่นทําตามเขายาก”
“แต่นายไม่ต้องกังวล หวังจินหยางไม่ได้โง่”
“เขามีปรมาจารย์หนุนหลัง ความปลอดภัยเขารับประกันได้ ถ้าเขาทะลวงเป็นปรมาจารย์ได้เร็ว ปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่สองคนเป็นพลังที่เมินเฉยได้ทุกที่!”
“นายอยู่ห่างไกลจากคําว่าปรมาจารย์ ไม่มีเหตุผลอะไรที่นายจะมาสนใจ”
“ไม่ใช่ว่านายอยากทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธงั้นเหรอ?”
“นายได้ทําเรื่องแลกยาไหม?”
” ผมมีครับ”
ฟางผิงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ แต่ไม่ได้พูดต่อ เป็นอย่างที่หลู่เฟิงโหรวพูด เขายังอ่อนแอเกินไปต่อ ให้เขาอยากเข้าไปเกี่ยวด้วย เขาก็ไม่มีคุณสมบัติ
การแบ่งขันเบื้องหลังเหล่าหวังเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างมหาลัยวิชายุทธกับปรมาจารย์ มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะเข้าไปร่วมได้
ธุระด่วนที่สุดตอนนี้คือการทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ
“มีก็ดี ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ฉันจะไปหอพักนาย เตรียมตัวให้พร้อม”
“ที่จริงนายขัดเกลาสามครั้ง การระเบิดตอนทะลวงไม่ส่งผลกับนายมากนัก ดันนั้นมันไม่ควรอันตรายกับนาย”
“ในฐานะอาจารย์ ฉันหวังว่านายจะทะลวงขั้นได้เร็ว แต่ฉันก็ไม่อยากให้นายพัฒนาได้เร็วเกินไป แล้วมาเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ก่อนเวลาอันควร”
” อย่างไรก็ตาม ฉันปฏิบัติต่อลูกศิษย์ไม่ต่างจากลูก เมื่อผู้อาวุโสกว่าต้องสวดส่งผู้เยาว์ ฉันจึงเข้าใจว่าฉันจะทํามากไป”
“ฉันเป็นแค่อาจารย์ เส้นทางนายเลือกเอง…”
“ถ้าฉันรู้จักกับนายลึกซึ้ง นายตายไปฉันก็จะเศร้าเสียใจ ถ้านายรู้จักกับฉันลึกซึ้ง ถ้าฉันตาย นายก็จะเศร้าเสียใจความรู้สึกแบบนี้ไม่จําเป็น”
“หวังจินหยางเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจางชิงหนานจะเป็นหรือตาย แต่เป็นไปได้ว่าเขาตายหลายปีแล้ว ทว่าหวังจินหยางก็ยังเพ้อเจ้อคิดถึงแต่เรื่องช่วยเหลืออาจารย์”
” เขาไม่จําเป็นต้องเป็นแบบนี้ ทําตัวแบบนี้”
หลู่เพิ่งโหรวทอดถอนใจ เธอไม่ได้ไร้ความรู้สึกหรือไร้เหตุผล เธอแค่ไม่อยากรู้สึกกับลูกศิษย์ของตนเองมากไป
เพราะมันทรมาณเกินไป!
ตอนแรกเธอรับศิษย์สามคนเป็นศิษย์กลุ่มแรกและเลี้ยงดูลูกศิษย์ราวกับลูกในไส้
ผลลัพธ์ล่ะ?
ทั้งสามไม่ฟังคําทักท้วงและพุ่งไปยังถ้ําใต้ดิน สุดท้ายสองตาย หนึ่งพิการ!
หลู่เฟิงโหรวไม่มีที่ให้ร้องไห้ ไม่มีเป้าหมายให้แก้แค้น!
ต่อมาเมื่อศิษย์ของเธอตายไปทีละคน เธอจึงทนรับไม่ไหว
ตอนนี้เธอจะรับศิษย์เพราะงานเท่านั้น
หลังพูดกับฟางผิง เธอก็โบกมือไล่ “เอาล่ะ แค่นี้แหละ ฉันจะไปนอนแล้ว”
ฟางผิงหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ การไล่แขกของเธอตรงไปตรงมาเหลือเกิน
กระนั้นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน คําพูดและการกระทําที่ตรงไปตรงมาของหลู่เพิ่งโหรวช่วยลดปัญหาให้เขาไปมาก
เมื่อฟางผิงลุกขึ้นยืนเดินกลับไป หลู่เพิ่งโหรวก็พลันนึกบางอย่างได้และเอ่ยตัวเลขจํานวนนึ่งออกมา “นี่เป็นเบอร์ศิษย์พี่นาย ถ้าต้องการอะไรก็ติดต่อไปหาเธอได้ แต่อย่าไปรบกวนเธอมั่ วชั่วล่ะ”
“แน่นอน ถ้าผู้ฝึกยุทธขั้นสูงกว่านายมารังควานนาย นายก็โทรหาเธอได้”
“ถ้ามีอาจารย์มาตอแยนาย นายก็รายงานมาที่ฉัน”
“นายตายในภารกิจได้ นายตายข้างนอกได้เช่นกัน แต่ถ้านายเจอปัญหาในมหาลัย ให้มาหาฉัน!”
” ขอบคุณครับอาจารย์”
หลู่เพิ่งโหรวโบกมือไล่ เธอไม่ได้สนใจว่าเขาจะรู้สึกขอบคุณหรือไม่
หลังฟางผิงเดินจากไป หลู่เฟิงโหรวก็คิดสักพักก่อนจะโทรไปเบอร์นึง “จะสู้ก็สู้เอง อย่าลากคนธรรมดาเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกับคนของฉัน!”
“อย่ามายั่วยุฉัน ถ้าแกทําให้ฉันโกรธ ฉันจะฆ่าทั้งตระกูลแก!”
คนที่อยู่ปลายสายอึ้งไปครู่นึงแล้วพูดขึ้นมา “คุณเป็นภรรยาฉัน!”
“เราหย่ากันนานแล้ว!”
” หย่าเหรอ?”
” เหลวไหล!”
” แล้วทําไมคุณถึงยังใช้ชื่อฉันไปขู่คนอื่น?”
“ฉันพอใจ แกจะสนทําไม? รอจนฉันทะลวงเป็นปรมาจารย์ก่อน พอถึงตอนนั้นแกควรไปในที่ๆสมควรไป!”
ปลายสายอยากเถียง หลังเงียบไปพักใหญ่เขาก็พูดขึ้นมาอย่างอิดโรย “ไม่สถานการณ์โดยรวมร้ายแรงมาก ไม่มีใครอยากลากใครเข้ามาเกี่ยวข้องหรอก”
“โม๋อู่จะสู้เพื่อทรัพยากรมากมายให้ฉันได้ยังไง?”
“ลูกสาวฉันตายไปนานแล้ว ภรรยาก็หย่า ฉันอยู่ตัวคนเดียว ฉันจะสู้เพื่อใครกัน?”
“ฉันพยายามรวบรวมทรัพยากร…”
“อย่าพูดเรื่องนี้กับฉัน มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน!”
หลู่เพิ่งโหรวตัดบทและวางสายโดยพลัน
นอกประตู
ฟางผิงพึมพํา ”เราพูดถึงความตาย แต่ที่จริงแล้วผู้ฝึกยุทธตายได้ยังไง?”
“ลัทธิ?”
“ภารกิจ?”
” หรือสิ่งอื่น?”
“อาจารย์ของหวังจินหยางอาจตายไปแล้ว….สาวน้อยครั้งก่อน เธอเป็นลูกสาวของอาจารย์?”
” ที่หวังจินหยางมาเซี่ยงไฮ้และขึ้นเหนืออาจมีปัจจัยอื่นซับซ้อนมาก!”
” ช่างเถอะ ฉันอ่อนแอเกินไป ตอนนี้ฉันต้องรวบรวมความแข็งแกร่งและความมั่งคั่ง”
” หากมีความแข็งแกร่งและความมั่งคั่ง ฉันถึงจะมีคุณสมบัติเข้าร่วม
“ไม่ว่าจะช่วยเหล่าหวังหรือช่วยตัวเอง ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งเป็นรากฐาน”
“ถ้าฉันไม่แข็งแกร่ง ฉันก็อาจปลอดภัย แต่นี่เป็นสิ่งที่ฉันต้องการไหม?”
” หลู่เฟิงโหรว…”
สุดท้ายเขาก็พูดชื่ออาจารย์ออกมา อาจารย์ท่านนี้ไม่ได้บ้าอย่างที่คิด เธอใจเย็นและเป็นคนมีเหตุผลมาก
เหตุผลที่อัตราตายของศิษย์เธอสูงที่จริงเป็นเพราะศิษย์ของเธอพัฒนาได้เร็วเกินไป!
ประเด็นนี้เกินความคาดหมายของฟางผิงอีกครั้ง
“ไม่ว่ายังไง ฉันจะทะลวงขั้นหนึ่งก่อนแล้วพยายามเป็นขั้นสามให้เร็ว ฉันค่อยพิจารณาเพิ่ม หลังไปถึงขั้นสามจากที่ทุกคนพูดกัน ตราบใดที่ฉันไม่แส่หาที่ตาย ฉันก็จะไม่ตายง่ายๆ”
” คนที่ตายล้วนแสหาเรื่องเอง”
“ไม่ใช่ว่าฉินเฟิ่งชิงยังอยู่ดีงั้นเหรอ?”
” ครั้งนี้เหล่าหวังกรนหาที่ตาย แต่เพราะเขาแข็งแกร่งพอ เขาจึงยังอยู่ดีเหมือนกัน”
“สรุปแล้ว ฉันควรมีความแข็งแกร่งเพียงพอและมีความระมัดระวัง ฉันถึงจะปลอดภัย…”
พูดอยู่พักนึ่ง ฟางผิงจึงถอนหายใจและเดินจากไป
ในเวลาเดียวกัน
ณ เมืองหลวง
หวังจินหยางหันหลังกลับ
ด้านหลังเขา ผู้ฝึกยุทธขั้นสามสูงสุดจากมหาลัยวิชายุทธปักกิ่งกระอักเลือดออกมา “หวังจินหยาง ถ้าแกกล้า แกก็ท้าประธานของเราสิวะ! แกเป็นประธานชมรมวิถียุทธมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงไม่ใช่รึไง? หรือแกไม่กล้า?”
หวังจินหยางเดินจากไปโดยไม่สนใจอีกฝ่าย เมื่อเขาออกจากเวทีประลอง ก็มีคนถามเขาเสียงต่ํา ” ทําไมไม่ลองสักรอบล่ะ?”
หวังจินหยางชําเลืองมองและยิ้มอย่างเย็นชา “คุณโง่หรือฉันโง่?”
หวังจินหยางพูดจบก็เดินจากไปทันที ขั้นสามสู้กับขั้นสี่พวกเขาคิดว่าเขาจะส่งตัวเองไปตายเหรอ?
เขาไม่ได้เป็นหนี้คนพวกนี้สักหน่อย ทุกคนแค่ทํางานร่วมกัน คุณคือคุณ ฉันคือฉัน พวกเขาคิดว่าฉันจะสละชีวิตตัวเองด้วยรึไง?”
“หรือพวกเขาคิดว่าฉันหวังจินหยางจะรับเรื่องแค่นี้ไม่ได้?”
บุคคลที่ถูกด่าไม่ใจพอ เขาพูดอย่างโกรธๆ “หวังจินหยางอย่าลืม…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบฉับพลันนั้นก็มีดาบยาวฟันเข้าไปที่ไหล่
ฉับ!
แขนข้างนั้นร่วงหล่น ดาบนี้เร็วมากจนทุกคนตามไม่ทัน!
“ไอ้โง่! พล่ามไร้สาระอีกสิ รอบหน้าจะเป็นหัวแก!”
หวังจินหยางหัวเราะเย็นชาและเดินออกไปทันที!
“อ้าก!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างโหยหวน สีหน้าของผู้ชมที่มองหวังจินหยางเปลี่ยนไปมาก สีหน้าของผู้ฝึกยุทธที่กําลังกระอักเลือดบนเวทีก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เขาดูหวังจินหยางเดินออกไปเงียบๆโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
คนอื่นก็ไม่ส่งเสียงอะไรเช่นกัน หวังจินหยางเกือบเข้าขั้นสี่แล้ว แถมยังมีปรมาจารย์หนุนหลังเขาไม่ใช่ปลาบนเขียง