World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 107 เลือกต่อสู้ต้องมีเหตุผลด้วย
“ฟางหยวน…”
ฟางผิงโทรพึ่งโทรหาเด็กหน้ากลม แต่จากนั้นเขาก็มีสีหน้าเคร่งเครียด “วันนี้ไม่มีเรียนรึไง? น้องเอาโทรศัพท์เข้าห้องเรียนด้วย?”
ก่อนหน้านี้เขาลืมไปเลย จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงดังจากปลายสาย ฟางผิงถึงนึกได้ว่าฟางหยวนเริ่มเรียนแล้ว
“จบคาบแล้ว หนูไม่ได้เล่นโทรศัพท์ตอนเรียนนะ…”
ฟางหยวนอธิบายอย่างร้อนใจ จากนั้นเธอก็ไล่เพื่อนๆสองสามคนที่มาป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวเธอ ‘พี่ชายอยากคุยกับฉัน พวกเธอแอบฟังเพื่อ?’
“พี่ไม่ได้โทรหาหนูหลายวันเลย ที่มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้เริ่มภาคเรียนแล้วเหรอ?”
“อือฮึ เริ่มภาคเรียนแล้ว” ฟางผิงไม่ได้ตำหนิเธอต่อ เพราะยังไงเสียโทรศัพท์ก็ใช้งานอะไรไม่ค่อยได้นักนอกจากโทรเข้าออกและส่งข้อความ
(ผู้แปล : พระเอกอยู่ในยุคที่สมาร์ทโฟนยังไม่เฟื่องฟู)
ฟางผิงยิ้ม “พี่จะบอกข่าวดีน้อง พี่ชายของน้องพึ่งทะลวงขั้นและกลายเป็นผู้ฝึกยุทธอย่างเป็นทางการแล้ว!”
“จริงเหรอ? พี่ทะลวงแล้ว?”
ฟางหยวนอุทานอย่างตื่นเต้น เด็กสาวที่อยู่รอบๆเริ่มซุบซิบกันทันทีและเอ่ยถามขึ้นมา “เขาทะลวงแล้วจริงๆเหรอ?”
“เขาเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว?”
“สุดยอด! พึ่งเปิดภาคเรียน แต่เขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว!”
“เขาอยู่ขั้นไหน? เขาใกล้เป็นปรมาจารย์ยัง?”
“…”
เด็กสาวเหล่านี้ไม่ได้รู้เรื่องวิชายุทธ สิ่งเดียวที่พวกเธอรู้ก็คือผู้ฝึกยุทธสุดยอดมาก แต่พวกเธอไม่ได้เข้าใจรายละเอียดอะไรเท่าไหร่
ฟางผิงได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วผ่านทางโทรศัพท์และรู้สึกพูดไม่ออก ปรมาจารย์ก็บ้าแล้ว เขายังอยู่ห่างไกลจากการเป็นปรมาจารย์อีกหลายพันไมล์!
ฟางผิงพูดกับฟางหยวนอีกไม่กี่คำอย่างรีบร้อน แต่ไม่ได้คุยต่อ เพราะรอบข้างเธอเสียงดังเกินไป
…..
หลังฟางผิงวางสาย เขาก็โทรไปบอกข่าวดีกับพ่อแม่
ผลที่ได้เหมือนกันเป๊ะ มีเสียงเอะอะดังมาจากรอบข้าง
โดยเฉพาะฝั่งฟางหมิงหรง มันอาจเป็นเพราะช่วงเปลี่ยนกะเช้า และมีคนพึ่งเดินผ่านไป ฟางผิงจึงได้ยินคำพูดแสดงความยินดีดังขึ้นมาไม่หยุด ไม่มีเวลาให้พ่อวางสาย ไม่นานโทรศัพท์ก็ไปถึงมือถานเจิ้นผิงโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงถานเจิ้นผิง ฟางผิงก็ช็อคเล็กน้อย คนของกระทรวงศึกษาว่างขนาดนี้เชียว?
“ฟางผิง ยินดีด้วย!”
ถานเจิ้นผิงสุภาพมาก เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันรู้ว่าเธอต้องทะลวงเร็วมาก แต่ฉันไม่คิดเลยว่าจะเร็วขนาดนี้ เธอพึ่งเข้ามหาลัย แต่ก็เป็นขั้นหนึ่งแล้ว อัจฉริยะต่างจากพวกเราจริงๆ!”
ลูกชายทั้งสองของเขาก็เข้ามหาลัยวิชายุทธได้เช่นกัน แต่ตอนนี้ถานเทาถานห่าวมีปราณและเลือดประมาณ 130แคลเท่านั้น
พวกเขายังอยู่ไกลจากการเป็นผู้ฝึกยุทธ
ต่อให้ไม่ขัดเกลาสองครั้ง เทอมนี้พวกเขาก็คงยังทะลวงไม่ได้
แค่ปราณและเลือดจาก 130แคลไป 150แคล พวกเขาก็คงใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีถ้าพวกเขาโชคดี พวกเขาอาจได้ทะลวงขั้นเทอมหน้า
ถ้าพวกเขาโชคร้าย พวกเขาก็ต้องรอจนปีสอง
สองพี่น้องฝึกท่าจวงกงได้ไม่เลว ถ้าพวกเขาไม่รู้จักจวงกง พวกเขาก็จะช้ายิ่งกว่าเดิม
กลับกันฟางผิงทะลวงได้เร็วเกินไป!
เขารู้ว่าฟางผิงเตรียมขัดเกลาสองครั้ง เขาไม่หยุดพักแม้ว่าจะมาถึง 150แคลแล้วก็ตาม ตอนนี้เขาทะลวงแล้ว งั้นมันก็แปลว่าฟางผิงไปถึงขั้นนั้นแล้ว
ส่วนขั้นที่สูงกว่านั้น ถานเจิ้นผิงไม่รู้นัก แม้แต่ขัดเกลาสองครั้งก็เป็นสิ่งที่เขาได้ยินมาจากคนอื่นอีกที
โลกผู้ฝึกยุทธทั่วไปแคบกว่าที่เขาคิด แถมคนเหล่านี้ยังไม่รู้เรื่องทฤษฏีศาสตร์การต่อสู้มากนัก
“ลุงถาน มันไม่เท่าไหร่เลย ในโม๋อู่ ในหมู่นักศึกษาใหม่ก็มีผู้ฝึกยุทธเกือบร้อยคนแล้วผมทะลวงตอนนี้ถือว่ากลางๆ ผมทำให้ลุงถานหัวเราะแล้ว…”
“โม๋อู่…นักศึกษาใหม่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธเกือบร้อยคน…”
ถานเจิ้นผิงพูดไม่ออก!
มหาลัยดังเป็นมหาลัยดังวันยังค่ำ!
มันช่างแตกต่างกันจริงๆ!
เมื่อลูกชายเขาไปลงทะเบียน เขาได้ไปกับพวกเขาด้วย เขาไม่ได้ยินเรื่องนักศึกษาใหม่ที่เป็นผู้ฝึกยุทธเลย อย่างน้อยเขาก็ไม่รู้เลย
นักศึกษาใหม่อันดับหนึ่งของมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงมีปราณและเลือดแค่ 149แคลเช่านั้น ความต่างของมหาลัยชักจะกว้างใหญ่เกินไปแล้ว!
ถานเจิ้นผิงแสดงความยินดีกับฟางผิงอีกครั้งก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้ฟางหมิงหรง
หลังฟางหมิงหรงวางสาย ถานเจิ้นผิงก็กล่าว “น้องฟาง ฟางผิงเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว มันคงไม่เหมาะนักที่คุณจะเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย”
“พรุ่งนี้ ไปรายงานตัวที่ฝ่ายบุคคล สำนักงานกำลังขาดคน…”
ฟางหมิงหรงอึ้ง สำนักงานขาดคน?
สำนักงานเป็นคำเรียกง่ายๆ ที่จริงมันเป็นสำนักงานที่เลขาและผู้ช่วยของเบื้องสูงทำงาน พวกเขาจะขาดคนได้ยังไง!
ยิ่งกว่านั้นเขาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย เขาจะได้เดินตรงเข้าสำนักงาน กลายเป็นเจ้าหน้าที่อย่างเป็นทางการ!
ฟางหมิงหรงยืนอึ้งอยู่กับที่ ถานเจิ้นผิงไม่ได้คิดมาก เขากล่าวแสดงความยินดีอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป
ฟางผิงพึ่งเข้ามหาลัยก็กลายเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ต่างจากเตรียมผู้ฝึกยุทธอย่างยิ่ง
มันคงน่าอายถ้าปล่อยให้พ่อเขาทำงานเฝ้าประตู ต่อให้ฟางผิงจะไม่คิดแบบนั้นก็ตาม ต่อให้ฟางผิงไม่พูดถึง แต่เขาจำเป็นต้องพูด
ส่วนการเปิดตำแหน่งงานใหม่…มันไม่สำคัญเท่าไหร่
ตำแหน่งไม่ได้มีอำนาจ เขาแค่ได้ค่าจ้างและสวัสดิการสูงขึ้น ใครจะมาสนใจกัน?
หลังฟางผิงประสบความสำเร็จในอนาคต เขาก็จะจำบุญคุณครั้งนี้ การลงทุนที่มีแต่ข้อดีไร้ข้อเสียจะมีใครไม่อยากทำกัน
…..
ฟางผิงย่อมไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นที่ฝั่งพ่อ
เมื่อเขาทราบเรื่อง เขาก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน
เมื่อเขาโทรหาครอบครัวเสร็จ ฟางผิงก็คิดอยู่ครู่นึงก่อนจะโทรหาเหล่าหวัง แต่โทรศัพท์เหล่าหวังปิดอยู่ ไม่มีใครรับสาย
ฟางผิงไม่รู้สถานการณ์ปัจจุบันของเหล่าหวัง ดังนั้นเขาจึงฝากข้อความเสียงไว้และไม่ได้โทรไปอีก
ฟางผิงไม่ได้บอกให้พวกอู๋จื้อเห่ารู้
พวกเขายังอยู่ไกลจากผู้ฝึกยุทธ ถ้าเขาบอกให้พวกเขารู้และอวดเรื่องความสำเร็จเขา มันจะเป็นการทำลายความมั่นใจพวกเขาเปล่าๆ ปล่อยให้พวกเขาไม่รู้ต่อไปจะดีกว่า
…..
หลังคุยโทรศัพท์เสร็จ ฟางผิงก็ไปอาบน้ำ
เมื่อเขาเดินออกมาจากห้องน้ำ เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตูแว่วเข้ามา
ทันทีที่เปิดประตู ฟู่ชางติ่งก็เปิดปากพูด “ฟางผิง นายคิดถูกแล้วที่ไม่ไปตอนเช้า ถ้าฉันรู้ ฉันก็ไม่ไปเหมือนกัน…”
ฟู่ชางติ่งจู่ๆก็หยุดพูดและมองไปรอบๆ เขายิ้มกว้าง “ไม่เลว พาสาวเข้าห้องตอนกลางวันแสกๆ กล้าหาญไม่เบาเลยนี่!”
“หืม?”
ฟางผิงสับสนงุนงง “ผู้หญิงอะไร?” “อย่ามาหลอกฉันซะให้ยาก ถ้าไม่มีสาว งั้นนายจะอาบน้ำเพื่อ…”
“ฉันแค่พึ่งฝึกเสร็จ เนื้อตัวฉันเลยสกปรก เลิกคิดบ้าๆบอๆได้แล้ว”
ฟางผิงหมดคำจะพูด ฟู่ชางติ่งหัวเราะเบาๆ จากนั้นเขาก็หรี่ตา “นายทะลวงแล้ว?”
เมื่อกี้เขารู้สึกไม่มาก แต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
“อืม”
“เร็วมาก!”
ฟู่ชางติ่งไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ ฟางผิงขัดเกลาสามครั้ง มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะทะลวงขั้น
เขาแค่ไม่คิดว่าฟางผิงจะเลือกทะลวงขั้นตั้งแต่เปิดภาคเรียน เขาคิดว่าฟางผิงจะรอไปสักพักก่อนเสียอีก
“ฉันพึ่งขัดเกลากระดูกขาขวาชิ้นที่ 30 เสร็จไป ฉันยังไม่ได้ขัดเกลากระดูกสะโพกขวา ตอนนี้นายทะลวงขั้นแล้ว ดูเหมือนไม่นานนายคงตามฉันทัน”
ฟู่ชางติ่งโอดครวญ เขาโยนใบอนุญาตวิชายุทธให้ฟางผิงลวกๆ “พวกเขาออกใบอนุญาตวิชายุทธตอนเช้า ก่อนหน้านี้นายเป็นกึ่งผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง แต่ตอนนี้นายเป็นขั้นหนึ่งแท้จริงแล้ว”
ฟางผิงใช้มือรับใบอนุญาตวิชายุทธและมองดู มันไม่ต่างจากใบอนุญาตวิชายุทธชั่วคราวเท่าไหร่
มันแค่เพิ่มคำว่า’สาขาศัสตราวุธ’ลงไป
“ตอนนี้ปราณและเลือดนายเท่าไหร่?”
“ประมาณ 230แคล!”
“เชี่ย!”
ฟู่ชางติ่งสบถออกมา
ตอนที่เขาทะลวงขั้น เขามากกว่า 200แคลเล็กน้อย แม้แต่ตอนนี้ เขาขัดเกลากระดูกล่างขวาทั้งหมดแล้ว แต่ปราณและเลือดเขาก็พอๆกับฟางผิง
เมื่อเขาขัดเกลากระดูกขาเสร็จหมด เขาอาจไปถึงประมาณ 280แคล
ส่วนฟางผิง จากที่เขาคำนวณ ฟางผิงอาจไปถึง 300แคลเป็นอย่างต่ำ!
พวกเขาอยู่ระดับเดียวกัน แต่ปราณและเลือดและอย่างอื่นต่างกันมาก
พลังปะทุ ความร้ายแรงของการโจมตี ความทนทาน ทั้งหมดนี้ฟางผิงแข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก แถมความเร็วการขัดเกลาก็เร็วกว่ามากเช่นกัน
“ตอนนั้นฉันก็อยากขัดเกลาสามครั้งเหมือนกัน แต่พอปราณและเลือดฉันถึง 189แคล ไม่ว่าจะทำยังไงมันก็ไม่เพิ่ม”
“ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมทะลวงขั้น”
“ถ้าฉันรู้แต่แรก ฉันคงลองอีกที น่าเสียดายมาก…”
ฟู่ชางติ่งไม่ได้เสียใจนานนัก เขาเปลี่ยนเป็นรอยยิ้่มอย่างรวดเร็ว “ไปกันเถอะ นายเลี้ยง วันนี้ไปชั้นสองกินอาหารดีๆกัน!” ฟางผิงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและไม่ได้ปฏิเสธอะไร เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินออกมาจากห้อง
…..
ณ โรงอาหารชั้นสอง
ฟางผิงกับฟู่ชางติ่งเดินตรงขึ้นไปชั้นสอง เมื่อพวกเขาขึ้นมาถึง ฟางผิงก็พบว่าชั้นสองมีคนเยอะมาก!
ฟางผิงเดินทั่วโรงอาหารจนพบที่ว่างอยู่ที่มุมนึง
เมื่อพวกเขาไปสั่งอาหารนั่นเอง ฟางผิงก็รู้สึกปวดตับขึ้นมา
“เห็ดหลินจือสดราดซอสเป๋าฮื้อ : 1888 หยวน”
“ปลิงทะเลตุ๋น : 2888 หยวน”
“ไก่ดำตุ๋นโสม : 3999 หยวน”
“สเต็ก : 1999 หยวน”
“…” “จะปล้นกันรึไง?”
ฟางผิงสบถออกมาอย่างอดไม่ได้ ‘ทำไมถึงแพงแบบนี้! ไก่ เป็ด วัว แกะของคุณฝึกวิชายุทธมารึไง?’
กลับกันฟู่ชางติ่งไม่แปลกใจเลย “ไม่เลว ไม่ได้แพงจนรับไม่ได้ โรงอาหารพิเศษในมหาลัยวิชายุทธเพิ่มส่วนผสมพิเศษลงในอาหารด้วย”
“พวกเขาเพิ่มยาปราณและเลือดลงในน้ำเกรวี่ นายก็รู้ว่ายาปราณและเลือดแพงแค่ไหน”
“แม้อาหารมื้อนึงจะไม่มีประสิทธิภาพเท่ายาปราณและเลือด แต่มันอร่อยกว่าเม็ดยา แถมยังดูดซึมได้ง่ายกว่า ราคาก็ค่อนข้างถูกกว่า…”
“ผู้ฝึกยุทธใช้เงินไม่ต่างน้ำ ถ้านายนับค่าใช้จ่ายต่อเดือน มันไม่เป็นล้านเลยเหรอ?”
ฟางผิงถามอย่างสงสัย ฟู่ชางติ่งยิ้มขม “เป็นไปได้ไง? นายคิดว่าเงินไร้ค่าไปแล้วเหรอ?”
“เราไม่ได้กินอาหารแบบนี้เป็นประจำ”
“ปกติแล้ว ถ้าไม่มีโอกาสสำคัญ เราจะกินยาเติมเต็มเลือด หรือยาเติมเต็มเลือดและลมปราณ จากนั้นก็กินอาหารปกติ เราจะไม่ผลาญเงิน นอกจากใช้ปราณและเลือดมากเกินไปจนฟื้นฟูได้ยาก”
“เราจะกินอาหารแบบนี้ได้อิสระได้ยังไง?”
แม้ว่าจะเป็นฟู่ชางติ่ง เขาก็รักษาปราณและเลือดสูงสุดตลอดเวลาไม่ได้ ขอแค่มันไม่ลดลงมากเกินไปก็พอแล้ว
การฝึกฝนตามปกติ ถ้ามากเกินไป เขาก็จะหยุด
พวกเขายังถือว่าดี ผู้ฝึกยุทธทั่วไปบางคนแค่ฝึกฝนเมื่อจำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้ปราณและเลือดลดลง
นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมผู้ฝึกยุทธทั่วไปหลายคนยังคงอยู่ขั้นหนึ่ง พวกเขาแบกรับค่าใช้จ่ายจำนวนมากไม่ไหว
ขณะที่ทั้งสองคุยกัน ก็มีคนเดินมาข้างๆพวกเขาและมองฟางผิง เขายิ้มบางๆ “ฟางผิง?”
ฟางผิงเงยหน้ามองเขา เขาไม่รู้จักอีกฝ่าย แต่ก็พยักหน้าให้
“นายรู้จักหวังจินหยางเหรอ?”
ฟางผิงถอนหายใจและพูดตรงเข้าประเด็น “ก่อนอื่นเลยฉันรู้จักหวังจินหยาง แต่ถ้าอยากแก้แค้น นายก็ไปหาเขาเอง เขามีศัตรูมากมาย ฉันรับไม่ไหวหรอกนะ”
“สอง อาจารย์ฉันคือ’อู่ไร้พ่าย’ที่มีปรมาจารย์หนุนหลัง ถ้าอยากมีเรื่องก็คิดให้ดีก่อน”
“สาม นายเป็นขั้นสอง ฉันขั้นหนึ่ง ถ้าอยากสร้างปัญหาให้ฉัน ทางมหาลัยจะไม่อนุญาต!”
“สี่ ฉันพึ่งทะลวงขั้นหนึ่ง และยังเป็นนักศึกษาใหม่ ฉันไม่รู้กฏของมหาลัยเท่าไหร่” “ถ้านายต้องการจริงๆ นายก็ไปหาผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งมาสร้างปัญหาให้ฉัน ฉันจะยอมรับไว้ แต่คงต้องรอไปสักพักก่อน ฉันมั่นใจว่านายคงไม่คิดมากใช่ไหม?”
“ห้า ตอนนี้ฉันกำลังกินข้าว อีกอย่างนี่เป็นเขตหอพัก ผู้ฝึกยุทธห้ามลงมือโดยเด็ดขาด แต่จะประฝีปากกันก็ไม่มีประโยชน์ พวกเราต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ ไม่จำเป็นต้องลดตัวลงทำอะไรแบบนั้น”
คนที่ยืนอยู่ข้างๆอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มและพยักหน้า “ไม่เลว มีเหตุผล”
“นายค่อนข้างเปล่งประกาย ไม่แปลกใจเลยที่จะเป็นราชาของนักศึกษาใหม่!”
“สรุป นายยินดีจะแบกรับหนี้ส่วนหนึ่งของหวังจินหยางใช่ไหม?”
ฟางผิงยิ้มเหน็บ “เอาตามที่นายพูด ถ้าฉันไม่ยอมรับ นายก็หาเหตุผลอื่นมามีเรื่องกับฉันอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?”
ชายหนุ่มยิ้มเช่นกัน “อย่าพูดว่าหาเรื่องสิที่จริงมันเป็นธรรมเนียมของมหาลัยอยู่แล้วที่ให้นักศึกษาเก่ามาสั่งสอนนักศึกษาใหม่”
“ในกลุ่มนักศึกษาใหม่ นาย ฟางผิง นายเป็นคนที่มีชื่อที่สุด ต่อให้ไม่มีเรื่องหวังจินหยาง เราก็ยังมาหานายอยู่ดี”
“เพราะยังไงเสีย พอนักศึกษาใหม่โดดเด่นเกินไป มันก็ทำให้นักศึกษาเก่าอย่างเราดูไร้ค่าไปเลย”
“เอาแบบนี้แล้วกัน เพราะนายพึ่งทะลวงใหม่ เราจะไม่เอาเปรียบนาย เราจะให้เวลานายเดือนนึง หลังผ่านไปเดือนนึง ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งจะมาท้านายประลอง นั่นไม่มีปัญหาใช่ไหม?”
ฟางผิงตอบอย่างใจเย็น “ประลองเป็นตาย?”
“ไม่ถึงขั้นนั้น”
ชายหนุ่มยิ้มอีกครั้ง “พวกเราต่างก็เป็นนักศึกษาโม๋อู่ เราจะไม่ลงมือโหดร้ายแบบนั้น ยิ่งกว่านั้นพวกเราไม่อยากล่วงเกินอาจารย์หลู่”
“มันเป็นการประลองแบบปกติ แน่นอนมือเท้าไร้นัยน์ตา การบาดเจ็บยากที่จะหลีกเลี่ยง”
ฟู่ชางติ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฟางผิงพึ่งทะลวงขั้น นักศึกษาเก่าที่นายพูดถึงอาจเป็นขั้นหนึ่งสูงสุดทั้งหมดใช่ไหม?”
“ขั้นหนึ่งขัดเกลาสามครั้งก็อยู่ไม่ไกลจากขั้นหนึ่งสูงสุดทั่วๆไปถูกมั้ย? ราชานักศึกษาใหม่น่าจะมีเกียรติของราชานักศึกษาใหม่ ฟางผิงนายคิดยังไง?”
ฟางผิงยิ้มเยาะ “ฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่! ตกลง มันไม่สำคัญนัก เอาตามที่นายว่าเลย”
“นายไม่กล้าไปล้างแค้นหวังจินหยาง นายเลยมาตอแยฉัน นายคิดว่าฉันรังแกได้ง่ายเหรอ?”
“คนดีถูกเอาเปรียบ นี่เป็นหลักการที่ฉันเข้าใจตั้งแต่ยังเด็ก พอพวกนายถูกทุบตีจนถึงขั้นหวาดกลัวและยอมจำนน งั้นมันก็ไม่ควรมีปัญหาถูกไหม?”
“ฉันไม่ใช่หวังจินหยาง ฉันเป็นนักศึกษาโม๋อู่เช่นกัน ถ้าขั้นสองมาข่มเหงขั้นหนึ่งอย่างฉัน งั้นก็เตรียมรับผลที่ตามมาเอง ถ้านายโอเค นายก็พาขั้นสองมาด้วยก็ได้!”
ชายหนุ่มหัวเราะ “ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น ไม่มีผู้ฝึกยุทธขั้นสองเข้าร่วมต่อสู้ เรารับผิดชอบไม่ไหว เว้นแต่ว่านายจะเป็นคนท้าเอง”
เมื่อเขาพูดจบ ชายหนุ่มก็กล่าว “อีกเรื่อง ในฐานะนักศึกษาโม๋อู่ ไม่จำเป็นต้องใกล้ชิดกับหวังจินหยางเกินไป”
“นายควรรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร ฉันไม่คิดว่าคนโง่จะเป็นราชานักศึกษาใหม่ของโม๋อู่ได้หรอกนะ!”
ฟางผิงยิ้มเยาะ “ฉันไม่อยากให้นายมากังวลเรื่องของฉันหรอกนะรุ่นพี่ ฉันอยากกินข้าวแล้ว นาย…” “เอาล่ะ พวกนายกินข้าวต่อเถอะ ฉันไม่รบกวนแล้ว”
ชายหนุ่มก็มีศักดิ์ศรี เขายิ้มและเดินจากไป
หลังจากเขาจากไป ฟู่ชางติ่งก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าว “นายรับทำไม? ถ้านายเมินไปซะ พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรนาย!”
ฟางผิงเป็นนักศึกษาใหม่โม๋อู่ แถมยังมีอาจารย์ที่แข็งแกร่งมาก
ต่อให้เขาไม่รับคำท้า พวกเขาก็ไม่กล้าตอแยฟางผิงโดยไม่มีเหตุผล
อย่างไรก็ตามตอนนี้ฟางผิงยอมรับเอง แม้แต่หลู่เฟิ่งโหรวก็แทรกแซงไม่ได้ นอกจากนี้พวกเขายังเป็นขั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามกฏของมหาลัย
ฟางผิงส่ายหน้า เขาคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นมา “ฉันอยากสัมผัสสักหน่อย”
“หือ?” สีหน้าของฟู่ชางติ่งแลดูสับสน
“ฉันอยากสัมผัสว่าผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงเป็นยังไง ต่อสู้นองเลือดเป็นยังไง ฉันอยากรู้ว่านักศึกษาโม๋อู่จะต่างออกไปจริงๆ…”
ฟู่ชางติ่งกล่าวอย่างร้อนรน “นายไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้! นักศึกษาขั้นหนึ่งสูงสุดของโม๋อู่แข็งแกร่งกว่าที่นายคิดมาก!”
“บอกฉันหน่อย ถ้าฉันสู้พวกเขาไม่ได้และยอมรับความพ่ายแพ้ นายคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”
ฟู่ชางติ่งอึ้งเล็กน้อย เจ้านี่ยังไม่ได้เริ่มสู้ด้วยซ้ำ แต่เขาก็คิดถึงเรื่องยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว?
ฟางผิงยิ้ม “ฉันล้อเล่น แต่ที่จริงมันก็ไม่ได้เลวร้ายนะ พวกเราต่างก็มีเหตุผล ถ้าครั้งนี้ฉันแสดงพลังตนเองและเอาชนะขั้นหนึ่งพวกนั้นได้ หลังจากนี้ฉันน่าจะไม่มีปัญหาเพิ่มอีก”
“พูดตามตรง ถ้าพวกเขาไม่มาหาฉัน ฉันก็พยายามหาเรื่องแสดงพลังอยู่ดี”
“ไม่งั้นคนพวกนั้นก็จะหาเหตุผลมาหาเรื่องฉันไม่หยุด มันน่ารำคาญ” “ฉันแค่กลัวว่านายจะแสดงพลังไม่ได้ แต่กลายเป็นเป้าให้คนอื่นแสดงพลังแทน…” ฟู่ชางติ่งพึมพำ
ไม่ว่าผลงานของฟางผิงจะดีแค่ไหน แต่เขาก็พึ่งเข้าขั้นหนึ่ง เมื่อเขาพบขั้นหนึ่งสูงสุด เขาอาจไม่มีเปรียบเลย
หลังครุ่นคิดเล็กน้อย ฟู่ชางติ่งก็พลันพูดเสียงต่ำ “ในการประลองระหว่างนักศึกษาใหม่กับนักศึกษาเก่า นักศึกษาใหม่มีข้อเรียกร้องได้ตราบเท่าที่ไม่เรียกร้องมากเกินไป นายขอให้นักศึกษาเก่าใช้แต่เพลงหมัดมวย ห้ามใช้อาวุธก็ได้ ต่อให้นายได้รับบาดเจ็บ มันก็ไม่ร้ายแรงเกินไป”
ฟางผิงเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้นมา “มีเหตุผล พอถึงเวลา ฉันจะควงดาบอัลลอยฆ่าพวกเขาซะ พวกเขาตำหนิฉันโหดเหี้ยมไม่ได้ เพราะพวกเขาหาเรื่องเอง!”
ฟู่ชางติ่งหัวเราะแห้งๆ เจ้าหมอนี่ดันยอมรับจริงๆ ไม่คิดว่าฟางผิงจะปฏิเสธเสียอีก
ฟางผิงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจแล้ว เขาเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง แม้ว่าเขาจะขัดเกลากระดูกแล้ว แต่ปราณและเลือดเขาก็ไม่ได้สูง ระเบิดพลังได้จำกัด
ด้วยพื้นฐานขัดเกลาสามครั้งของฟางผิง ต่อให้เขาถูกมือเท้าโจมตีใส่ เว้นแต่สมองจะได้รับบาดเจ็บ มันไม่ง่ายที่เขาจะได้รับความเสียหายร้ายแรง
อย่างไรก็ตามอาวุธอัลลอยนั้นต่างออกไป ดาบกระบี่ไร้ปราณี ถ้าเขาปะทะเข้าอย่างจัง แขนขาหักก็เป็นเรื่องปกติ
ถ้าเขาถูกโจมตีจุดที่ไม่ได้ขัดเกลากระดูก เขาอาจหลั่งเลือดจนตาย!
ฟางผิงคิดมานานแล้วว่าต้องมีเรื่องอย่างวันนี้เกิดขึ้น
นับตั้งแต่หลู่เฟิ่งโหรวเปิดเผยความสัมพันธ์ของเขากับเหล่าหวัง และฉินเฟิ่งชิงพูดเตือนเขา เขาก็รู้แล้วว่าวันนี้จะมาถึงไม่ช้าก็เร็ว
“บางทีเหล่าหวังอาจตอบแทนฉันด้วยเม็ดยา เพราะคนพวกนี้เป็นศัตรูเขา”
ฟางผิงพึมพำกับตัวเองก่อนจะกินข้าวต่อ อาหารมื้อเกือบหมื่น ถ้าเขาไม่กินจนเกลี้ยงจาน เขาคงปวดใจตาย
…..
เมื่อเห็นฟางผิงมีความสุขกับอาหาร ฟู่ชางติ่งก็ตัดสินใจปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน
มันเป็นขั้นหนึ่งประมือกับขั้นหนึ่ง ฟางผิงขัดเกลาสามครั้งคงไม่แพ้ใคร เนื่องจากเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ การได้พบเจอปัญหาแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติมาก ไม่จำเป็นต้องพูดห้ามปรามมากเกินไปนัก