World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 109.1 ใครอีก! (1)
วันถัดมา ณ ร้านกาแฟนอกมหาลัย
โม๋อู่มีวันหยุดในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เหมือนกัน อย่างไรก็ตามมันแล้วแต่นักศึกษาว่าจะอยากหยุดไหม
…..
หลี่เฉิงเจ๋อกำลังรอฟางผิง
เมื่อฟางผิงมาถึง หลี่เฉิงเจ๋อก็รีบลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม “ซีอีโอฟาง”
ฟางผิงจับมือและยิ้ม “อย่าเรียกผมแบบนั้นเลย มันน่าอึดอัด คราวหน้าเรียกผมคุณฟางก็พอ”
บริษัทเขาเป็นเพียงบริษัทเล็กๆ เขารู้สึกอายที่ถูกเรียกว่าซีอีโอนั่นซีอีโอนี่
บริษัทที่มีมูลค่าหลายล้านอาจถือว่าเป็นบริษัทเล็กๆในเมืองหยางเฉิง อย่างไรก็ตามในเซี่ยงไฮ้ บริษัทแบบนี้ไม่มีความหมายอะไรเลย
ตลอดไม่กี่วันมานี้ ฟางผิงยุ่งอยู่กับการลงทะเบียน เลือกสาขา ทะลวงขั้นและฝึกฝน เขาจึงไม่มีเวลามาสนใจบริษัทของตัวเองเลย ดังนั้นช่วงนั้นหลี่เฉิงเจ๋อจึงเป็นคนดูแลบริษัท
เนื่องจากมันเป็นวันสุดสัปดาห์ และหลี่เฉิงเจ๋อมีเรื่องต้องรายงาน ฟางผิงจึงตัดสินใจชวนเขามาร้านกาแฟ
หลังฟางผิงนั่งและสั่งกาแฟ หลี่เฉิงเจ๋อก็พูดเบาๆ
“แพล็ตฟอร์มของบริษัทถูกสร้างขึ้นแล้ว ผมยังมอบหมายให้คนทำเว็บไซต์ตามที่คุณแนะนำด้วย”
“ส่วนการขาย…”
“เว็บไซต์อาหารฟาสต์ฟู้ดและร้านอาหารบางแห่งบรรลุข้อตกลงแล้ว อย่างไรก็ตามสำหรับบริการจัดส่ง มีบริษัทจัดส่งหลายแห่งถูกสร้างขึ้นในเมืองมหาลัยก่อนเรา”
“ดิสแทนซ์จำกัดยังไม่มีชื่อเสียง ดังนั้นต่อให้นักศึกษาอยากส่งของ พวกเขาก็ไม่นึกถึงเรา” “ส่วนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เราได้รับข้อเสนอไม่กี่บริษัทเท่านั้น เพราะยังไงเราก็ทำธุรกิจแค่ในเมือง ไม่ได้ทำที่อื่น”
บริษัทจัดส่ง จัดส่งแค่ในเมืองเท่านั้น โดยเฉพาะเมืองมหาลัย ดังนั้นจำนวนงานที่พวกเขาได้จึงมีจำกัด
พวกเขาไม่เหมือนบริษัทขนส่งเฟรนไชส์อย่างแห่งอื่น เพราะบริษัทเฟรนไชส์เหล่านั้นใช้ช่องทางร่วมกันของบริษัทหลักได้
ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย เขาไม่แปลกใจ
“มาเริ่มธุรกิจฟาสต์ฟู้ดก่อน ส่วนโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซค่อยๆทำไป ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน”
ฟางผิงกล่าวอีกครั้ง “เงินทุนขาดมือไหม?”
“ครับ นิดหน่อย”
หลี่เฉิงเจ๋อไม่ปฏิเสธ ฟางผิงให้เงินเขาไม่พอ ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่หมดหลังสร้างเว็บแล้ว
“คุณมีช่องทางขายยาไหม? มีอยู่ไม่มากเท่าไหร่…” ฟางผิงครุ่นคิดเล็กน้อย “ผมมียาปราณและเลือดสามัญ 10 เม็ดอยู่ในมือ ผมไม่จำเป็นต้องใช้ เราเอาไปขายเป็นเงินทุนได้”
เมื่อหลี่เฉิงเจ๋อได้ยินแบบนั้น เขาก็พูดทันที “เม็ดยาขาดตลาดมาตลอด ขายได้ไม่ยาก”
“อย่างไรก็ตาม ถ้าเราขายเองโดยไม่ผ่านช่องทางทางการ ราคามันจะถูกลง”
“ในเซี่ยงไฮ้ ยาปราณและเลือดมีราคาสูงสุด 90,000 หยวน…”
“ถ้า 90,000 หยวนก็ไม่เป็นไร เงินทุน 900,000 หยวนน่าจะพอใช้ไปสักพัก”
หลี่เฉิงเจ๋อลังเล “คุณฟาง ถ้าเป็นธุรกิจกับวิชายุทธ วิชายุทธควรมาก่อน ธุรกิจเป็นส่วนเสริม ไม่ใช่กลับกันสิ”
“ถ้าทรัพยากรฝึกยุทธลดลงเพราะธุรกิจ…”
มันไม่ใช่กลับกันเหรอ?
เมื่อเรามีความแข็งแกร่งเท่านั้น เราถึงจะมีรากฐานที่ดี หากไม่มีความแข็งแกร่ง ธุรกิจก็เติบใหญ่ไม่ได้
ฟางผิงหัวเราะ “ไม่มีปัญหา ผมไม่จำเป็นต้องใช้เพราะผมพึ่งทะลวงขั้นหนึ่ง ผลของยาปราณและเลือดสามัญมีจำกัด”
“ไม่ต้องพูดถึง อาจารย์มักจะจัดหายาให้ ผมเลยไม่ได้ขาดเม็ดยาเท่าไหร่”
“คุณทะลวงแล้ว?”
“ใช่ พึ่งทะลวงไม่นานเลย”
“ขอแสดงความยินดีด้วยครับ!”
หลี่เฉิงเจ๋อทั้งอิจฉาทั้งยินดี เขาชื่นชมที่ฟางผิงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธตั้งแต่อายุยังน้อย และมีความสุขเพราะเมื่อฟางผิงเป็นผู้ฝึกยุทธ มันก็แปลว่าปัญหาหลายอย่างจะจัดการได้ง่ายขึ้น
ท้ายที่สุดแล้วต่อให้ไม่มากนัก แต่บริษัทเปิดใหม่ก็ได้แย่งธุรกิจของบริษัทอื่นไป
ถ้าฟางผิงยังเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธ ปัญหาหลายอย่างจะจัดการยาก อย่างไรก็ตามฟางผิงเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นนักศึกษาโม๋อู่ เนื่องจากบริษัทได้ครอบครองส่วนเล็กๆที่ไม่สำคัญของเมืองมหาวิทยาลัย ทุกคนจึงรับได้
หลี่เฉิงเจ๋อไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ฟางผิงรู้ว่าหลี่เฉิงเจ๋อรู้สึกกดดันแน่นอน
ด้วยการเปิดเผยข่าวทะลวงขั้น มันย่อมช่วยลดแรงกดดันให้หลี่เฉิงเจ๋อได้มาก
ทั้งสองคุยกันอยู่พักนึง และฟางผิงก็ได้ออกความเห็นของตัวเอง “ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาหาผม ถ้าคุณติดต่อผมทางโทรศัพท์ไม่ได้ ก็มาหาผมที่โม๋อู่ เราทำเงินไม่ได้ช่วงแรกก็ไม่เป็นไร แต่องค์กรต้องขยายต่อไป”
“ให้รีบเปิดตลาดเมืองมหาวิทยาลัย จัดส่งอาหารและเครื่องดื่มง่ายกว่ามาก ยิ่งกว่านั้นเวลานี้ยังมีคนทำไม่มาก”
“ส่วนโลจิสติกส์ของอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากเราอยู่ช่วงแรก มันจึงเป็นเรื่องยาก แต่เรายังจำเป็นต้องเน้นวางช่องทางก่อน” “พอเราวางช่องทางในโม๋อู่เสร็จ ผมจะได้ไปหาคนร่วมมือด้วยได้”
“เนื่องจากตอนนี้ตลาดเรามีของน้อย มันจึงมีข้อจำกัดมากเกินไป เพราะงั้นร้านค้าออนไลน์และเว็บไซต์จึงไม่อยากทำสัญญากับเรา”
หลี่เฉิงเจ๋อพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ฟางผิงหยิบขวดยาปราณและเลือดออกมาจากกระเป๋าและมอบให้อีกฝ่าย หลังคิดเล็กน้อย เขาก็กล่าว “ขาย 9 เม็ด อีกเม็ดคุณเอาไปใช้เองเลย”
“คุณฟาง นี่มัน…”
ราคายาปราณและเลือดเม็ดนึงไม่ใช่ถูกๆ แม้ว่าฟางผิงจะแลกมาจากโม๋อู่ แต่มันก็ยังเป็นทรัพยากรของเขาเอง
หลี่เฉิงเจ๋อพึ่งเริ่มงาน ยาปราณและเลือดสามัญเม็ดนึงแทบจะเป็นเงินเดือนเขาทั้งปี
“ไม่เป็นไร แม้ผมจะบอกว่าคุณจะได้เป็นผู้ฝึกยุทธในสามปีถ้าทำงานได้ดี แต่ที่จริงผมก็หวังว่าคุณจะเป็นผู้ฝึกยุทธให้เร็วกว่านั้น เพราะยังไงยิ่งเร็วมันก็ยิ่งดี”
“พอคุณกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ พอมีปัญหาจะได้ไม่จำเป็นต้องให้ผมออกหน้า”
“แน่นอนหลังคุณกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ ผมหวังว่าคุณจะทำงานกับผมต่อเพื่อให้แพล็ตฟอร์มยืนอยู่ได้”
“แน่นอนครับ ต่อให้คุณฟางไม่พูด ผมก็ไม่ทำเรื่องอย่างเผาสะพานหลังข้ามแม่น้ำ” หลี่เฉิงเจ๋อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ไม่ต้องพูดถึงเขาทำหรือไม่ทำ พูดว่าเขากล้าทำหรือไม่ดีกว่า
ฟางผิงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ตัดสินจากความคืบหน้าการขัดเกลากระดูก มีโอกาสสูงมากที่เขาจะไปถึงขั้นสองหรือแม้แต่ขั้นสามได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
ต่อให้หลี่เฉิงเจ๋อกลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง เขาก็ไม่กล้าเอาเปรียบ เว้นแต่ว่าเขาจะอยากตาย
…..
หลังอธิบายหลายเรื่องให้หลี่เฉิงเจ๋อ ฟางผิงก็จากไปอย่างรวดเร็ว
โม๋อู่ยุ่งกว่าที่เขาคิด มันยังเป็นช่วงฝึกฝนของนักศึกษาใหม่ ส่วนใหญ่จะสอนเรื่องกฏ และฝึกฝนร่างกายที่จำเป็นซึ่งคล้ายกับที่ฝึกทหาร
เมื่อพวกเขาฝึกเสร็จ สัปดาห์ถัดไปจะเริ่มคลาสเรียนอย่างเป็นทางการ
ฟางผิงดูตารางเรียน มันเกือบเต็มหน้ากระดาษ
ตอนกลางวัน เขามีคลาสวัฒนธรรมศึกษาและทั่วไปศึกษา กลับกันเขาจะฝึกฝนตอนกลางคืน แทบไม่มีเวลาว่างเลย
เรื่องของบริษัท เขาได้แต่ปล่อยให้หลี่เฉิงเจ๋อจัดการ จะดีที่สุดถ้าพวกเขาได้กำไรบ้าง อย่างไรก็ตามต่อให้ไม่ได้กำไร มันก็ไม่น่าผิดหวังนัก มันเป็นการลงทุน …..
ฟางผิงวิ่งตรงไปยังแผนกโลจิสติกส์ เขาทะลวงสู่ขั้นหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปรายงาน หลังรายงาน เขาจะได้รับ 50 คะแนนเป็นรางวัล ไม่ฉลาดเลยที่จะปล่อยให้มันเสียเปล่าไป
…..
ณ แผนกโลจิสติกส์
เมื่อฟางผิงมาถึง เขาก็เห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา หยางเสี่ยวม่านก็เห็นฟางผิงเช่นกัน เธอยิ้มแล้วพูด “เอ๊ะ ราชาเด็กใหม่ไม่ใช่เหรอ? เด็กใหม่ ช่วงนี้เราได้ข่าวนายทุกที่เลย ประลองเดือนหน้า ทำไมไม่ประลองกับผู้หญิงต่อล่ะ?”
ฟางผิงหัวเราะเบาๆ “ถ้าได้ ฉันก็ไม่คิดมากหรอกนะ”
“เพียงเพราะเป็นผู้หญิง พวกเธอไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเหรอ?”
“เพียงเพราะเป็นผู้ฝึกยุทธหญิง หมายความว่าพวกเธออ่อนแอกว่าคนส่วนใหญ่เหรอ?”
“นักศึกษาหยางเสี่ยวม่าน เธอคิดผิดแล้ว เธอเป็นผู้หญิงแท้ๆ แต่เธอกำลังดูถูกผู้หญิงกันเอง”
“ชายหญิงเท่าเทียมกัน ถ้าคุณพูดแบบนี้กับฉันยังไม่เป็นไร แต่ถ้าผู้หญิงคนอื่นได้ยินคำพูดของเธอ พวกเขาคงคิดว่าเธอดูถูก”
หยางเสี่ยวม่านอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะพูดอย่างโกรธๆ “นายนั่นแหละที่ดูถูกผู้หญิง! อย่าใส่ร้ายฉัน!”
เมื่อเธอพูดจบ เธอก็นึกถึงสิ่งที่จะพูดต่อจากนั้น “ฉันแค่อยากเตือนนาย อย่าปล่อยให้ชื่อเสียงราชานักศึกษาใหม่เข้ามาในหัว!”
“นายได้คะแนนอันดับหนึ่งตอนคัดเลือกสาขาครั้งก่อน แต่นั่นเป็นเพราะพวกเราเป็นนักศึกษาใหม่ที่เน้นฝึกปราณและเลือด”
“ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งกับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดไม่เหมือนกัน คนอย่างเราเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธมือใหม่ที่ไร้ประสบการณ์” “แม้ว่าปีสองกับปีหนึ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งเหมือนกัน แต่การประมือกับพวกเขายากกว่าประมือกับเราอย่างยิ่ง พวกเขามีประสบการณ์มากกว่าเรา บางคนก็มีประสบการณ์ฆ่าคนด้วยซ้ำ”
“ถ้านายคิดว่ารุ่นพี่เหมือนเรา นายคิดผิด!”
“ต่อให้มีระดับปราณและเลือดพอๆกัน แต่เราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของรุ่นพี่”
ฟางผิงพยักหน้าและตอบอย่างใจเย็น “ฉันรู้ แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงไปหรอกว่าปีหนึ่งปีสองก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งมันพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่เก่งพอ”
“ในโม๋อู่ ขั้นสามถือว่าไม่ย่ำแย่เกินไปนัก ขั้นสี่คือยอดเยี่ยม ขั้นห้าเป็นอัจฉริยะ”
“ในสถานที่อย่างโม๋อู่ เรามีทรัพยากรเพียงพอ อัตราแลกเปลี่ยนหนึ่งในสามของข้างนอก แต่ก็ยังอยู่ขั้นหนึ่ง ฉันไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะย่ำแย่ขนาดนี้” หยางเสี่ยวม่านขมวดคิ้ว “ดูถูกคู่ต่อสู้แล้วจะเสียใจ!”
“ขอบคุณที่เตือน ฉันไม่เคยดูถูกใคร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกังขาความสามารถตนเองมากไป”
“แล้วแต่นายเถอะ”
หยางเสี่ยวม่านไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเดินไปทันทีหลังทำธุระตนเองเสร็จ
ฟางผิงชำเลืองมองเธอและไม่ได้พูดอะไร พวกเขาไม่ได้สนิทกัน ดังนั้นคำเตือนของหยางเสี่ยวม่านอาจเป็นความปรารถนาดี อย่างไรก็ตามมันอาจเป็นความปรารถนาร้ายก็ได้
ไม่มีใครมั่นใจได้
มันไม่ใช่เรื่องดีที่เน้นย้ำความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายและทำให้ตนเองหวาดกลัว
ถ้าเราสงสัยความสามารถของตนเองก่อนต่อสู้ เราก็อาจประหม่าและทำผิดพลาดบนเวทีประลอง เมื่อทำพลาด ทุกอย่างก็จบ หยางเสี่ยวม่านยกหัวข้อนี้มาพูดโดยไม่ทันตั้งตัว ยิ่งกว่านั้นฟางผิงก็ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจ
“นักศึกษาโม๋อู่ซับซ้อนมากกว่าที่คิด…”
ฟางผิงพูดกับตัวเองอย่างเสียใจ พวกเขาเป็นแค่เด็กใหม่ เมื่อเทียบกับชีวิตก่อน พวกเขาเป็นแค่กลุ่มมือใหม่ ไม่จำเป็นต้องมาคิดอะไรมากมาย
อย่างไรก็ตามในชีวิตนี้ เขาจำเป็นต้องคิดมาก
“หวังว่าฉันแค่คิดมากไปเองนะ…”