World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 110 ความเร็วขัดเกลากระดูก
วันที่ 8 กันยายน คลาสเรียนของโม๋อู่เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
เนื่องจากสามห้องแรกศึกษาจวงกงและเคล็ดเสริมสร้างมาแล้ว รายวิชาของพวกเขาจึงมีน้อยกว่าห้าห้องหลัง
ห้องอื่นไม่ใช่แค่ต้องเรียนวัฒนธรรมศึกษาและทั่วไปศึกษาเท่านั้น พวกเขายังต้องเรียนจวงกงและเคล็ดเสริมสร้างด้วย ดังนั้นจึงยังไม่มีคาบวิชาการต่อสู้
ช่วงคาบเรียน นักศึกษาอย่างฟางผิงพักผ่อนในคาบได้ เวลานี้นักศึกษาใหม่แทบไม่มีให้เห็นเลยเพราะยุ่งกับตารางเรียนของตน
…..
นักศึกษาโม๋อู่ยุ่งกับตารางเรียน ดังนั้นนักศึกษาอื่นจากมหาลัยวิชายุทธแห่งอื่นก็ไม่ต่างกัน
แม้ว่าฟางผิงจะไม่ได้บอกพวกอู๋จื้อเห่าว่าเขาทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว แต่พวกเขาก็ยังติดต่อกันบ่อยๆ
อู๋จื้อเห่าสร้างกลุ่มแชทและแอดเพื่อนที่เรียนวิชายุทธที่สนิทกันเข้ากลุ่ม
มันไม่ใช่เพราะเขาดูถูกคนเรียนสังคมศาสตร์ อย่างไรก็ตามหัวข้อสนทนาของกลุ่มแชทส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับวิชายุทธ ถ้าคนเรียนสังคมศาสตร์ถูกเพิ่มลงในกลุ่มด้วย มันก็ทำให้พวกเขาไม่สบายใจเปล่าๆ
ฟางผิงยุ่งมาตลอดสองสามวัน เขาไม่มีเวลาเปิดคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ
สุดสัปดาห์ถัดมา ฟางผิงถึงมีเวลาใช้คอมพิวเตอร์
เขาล็อคอินเข้าบัญชีคิวคิว พริบตานั้นข้อความก็เข้ามาไม่หยุด
ในกลุ่มแชท ทุกคนคุยกันมากมาย
ฟางผิงใช้เวลาตามดูสักพักเลยทีเดียว
อู๋จื้อเห่า “มหาลัยวิชายุทธมีคาบเรียนเยอะมาก เรายุ่งทั้งวัน ไม่มีเวลาได้พักเลย” หยางเจี้ยน “นั่นสิ ฉันคิดว่าพอขึ้นมหาลัยจะมีคาบวัฒนธรรมศึกษาน้อยลง มันปวดหัวหนักกว่าเดิมซะอีก”
อู๋จื้อเห่า “หยางเจี้ยน ปราณและเลือดนายเท่าไหร่แล้ว? นายฝึกจวงกงกับเคล็ดเสริมสร้างรึยัง?”
“ฉันฝึกแล้ว ปราณและเลือดเกือบ 130แคลแล้ว ฉันโชคดี อาจารย์ขั้นสี่ยอมรับฉัน และอาจารย์ก็ดีกับฉันมาก”
หลังหยางเจี้ยนอธิบายสถานการณ์ตนเอง เขาก็พูดเรื่องหลิวรั่วฉีต่อ “ฉันกับหลิวรั่วฉีอยู่ห้องเดียวกัน แต่เรามีอาจารย์คนละคนกัน อาจารย์เธอก็เป็นขั้นสี่ อู๋จื้อเห่า นายล่ะเป็นไงบ้าง?”
อู๋จื้อเห่า “พวกเราโชคดีกันทุกคนเลย อาจารย์ฉันก็เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสี่เหมือนกัน แถมเร็วๆนี้ยังมีอาจารย์ขั้นห้าถูกจ้างมาสามคน เสียดายพวกเขาไม่เลือกฉัน”
เมื่อกลุ่มถูกสร้างขึ้น พี่น้องถานถูกเพิ่มเป็นสมาชิกด้วย พี่น้องถานบ่นกับคนอื่นๆในกลุ่ม “ทุกคนมีอาจารย์ขั้นสี่ ทำไมฉันถึงได้อาจารย์ขั้นสามกัน? แม้แต่อาจารย์ของถานเทาก็เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสี่!”
สมาชิกส่วนใหญ่ในกลุ่มมาจากห้องสี่ยกเว้นพี่น้องถาน
ทุกคนเหมือนจะโชคดียกเว้นถานห่าว
ถานห่าวเป็นเพียงคนเดียวที่ได้อาจารย์ขั้นสาม ส่วนคนอื่นได้อาจารย์ขั้นสี่
ในมหาลัยวิชายุทธทั่วๆไป อาจารย์ขั้นสามถือว่าเป็นบรรทัดฐาน มีอาจารย์ขั้นสี่อยู่น้อยมาก ส่วนอาจารย์ขั้นห้าน้อยยิ่งกว่าน้อย แถมยังเข้าถึงยาก
หลังคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่หลายประโยค หลิวรั่วฉีที่หายหน้าหายตาก็ปรากฏขึ้น เธอถาม “แล้วฟางผิงเป็นไงบ้าง?”
อู๋จื้อเห่า “ไม่มั่นใจ ช่วงนี้เจ้าหมอนี่เงียบหายไปเลย เขาไม่ออนคิวคิวเลยเหมือนกัน”
“…” มันเป็นข้อความจากไม่กี่วันก่อน เมื่อฟางผิงเลื่อนอ่าน เขาก็พอเข้าใจคร่าวๆว่าพวกเขาเป็นไงกันบ้าง
หลิวรั่วฉีกับหยางเจี้ยนเข้ามหาลัยวิชายุทธเทียนหนาน แม้ว่าหลิวรั่วฉีจะมีปราณและเลือดไม่สูงมากนัก แต่เธอเป็นผู้หญิงและมีหน้าตาดี มีผู้หญิงน้อยมากที่เข้ามหาลัยวิชายุทธ ดังนั้นเธอจึงใช้ชีวิตในเทียนหนานได้ไม่ลำบากเท่าไหร่
อาจารย์เธอเป็นผู้ฝึกยุทธหญิงขั้นสี่เช่นกัน ผู้ฝึกยุทธหญิงขั้นสี่หาได้ยากมากในมหาลัยวิชายุทธ
อาจารย์หญิงรับศิษย์ไม่มากนัก เธอค่อนข้างใส่ใจหลิวรั่วฉี หลังปิดเทอมฤดูร้อน หลิวรั่วฉีก็ได้ฝึกเคล็ดเสริมสร้าง ปราณและเลือดเธอเกือบ 130แคลแล้ว
กลับกันอู๋จื้อเห่ามีปราณและเลือดเกิน 130แคลไปแล้ว เขาพึ่งเริ่มฝึกเคล็ดเสริมสร้าง ปราณและเลือดเขาจึงก้าวหน้าเป็นอย่างดี
พี่น้องถานก็เหมือนกัน พวกเขาฝึกจวงกงสำเร็จ ปราณและเลือดของพวกเขาจึงสูงกว่าอู๋จื้อเห่าหน่อย
แต่พวกเขาไม่ได้สิทธิพิเศษเหมือนอย่างนักศึกษาโม๋อู่ มหาลัยวิชายุทธหนานเจียงและมหาลัยวิชายุทธเทียนหนานใช้ระบบแต้มคล้ายกับระบบคะแนน แค่ต่างชื่อกัน ในมหาลัยวิชายุทธหนานเจียง ยาปราณและเลือดสามัญต้องใช้ 5 แต้ม ส่วนยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งต้องใช้ถึง 15 แต้ม
แต้มและคะแนนมีค่าเท่ากัน แต่เมื่อเอาโม๋อู่ไปเทียบกับมหาลัยอื่นแล้ว อัตราแลกเปลี่ยนของมหาลัยอื่นถือว่าแพงกว่ามาก
ยิ่งกว่านั้นนักศึกษาใหม่โม๋อู่ได้รับ 50 คะแนน ส่วนมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงและเทียนหนานพึ่งมาให้ 30 คะแนนในปีนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์
เนื่องจากผู้สำเร็จราชการจางทะลวงขั้นสำเร็จ ทางมหาลัยจึงได้ทรัพยากรเพิ่มขึ้น ส่วนเทียนหนานพึ่งประสบความสูญมามหาศาล พวกเขาจึงมอบแต้มให้เด็กใหม่เพิ่มเป็นการลงทุน อย่างไรก็ตามอาจพูดได้ว่ามันเป็นการลงทุนครั้งสำคัญของพวกเขา
ฟางผิงอ่านข้อความแบบผ่านๆ มันยากที่เขาจะไม่รู้สึกกังวล ความแตกต่างระหว่างโม๋อู่กับมหาลัยวิชายุทธทั่วๆไปจะกว้างขึ้นไปเรื่อยๆในอนาคต!
จำนวนคะแนนที่ได้รับไม่ใช่เรื่องใหญ่ ปัญหาหลักคืออัตราแลกเปลี่ยนทรัพยากรในช่วงหลัง
จำนวนคะแนนที่ต้องใช้ในโม๋อู่ต่ำกว่ามหาลัยวิชายุทธแห่งอื่นอย่างมาก
ยิ่งกว่านั้นนักศึกษาโม๋อู่ยังมีความสามารถยิ่งกว่านักศึกษาของมหาลัยวิชายุทธทั่วๆไป ดังนั้นการสะสมคะแนนจึงทำได้ง่ายกว่ามาก สะสมคะแนนได้มากกว่า แต่ใช้น้อยกว่า มันก็หมายความว่าช่องว่างของพวกเขาจะกว้างขึ้นเรื่อยๆ
การบรรลุขั้นสามจากมหาลัยวิชายุทธทั่วๆไปไม่ใช่เรื่องง่าย กลับกันในโม๋อู่ ผู้ฝึกยุทธขั้นสี่พบเจอได้ง่ายมาก พวกเขาอยู่มหาลัยวิชายุทธเหมือนๆกัน แต่ความแตกต่างของพวกเขาชัดเจนมาก ไม่แปลกใจเลยว่าคนที่มาจากมหาลัยวิชายุทธทั่วๆไปจะด้อยกว่า
มีปรมาจารย์และยอดยุทธอยู่ในมหาลัยวิชายุทธทั่วๆไปเช่นกัน อย่างไรก็ตามเนื่องจากจำนวนปรมาจารย์มีน้อย มันจึงยากที่จะกระจายไปมหาลัยวิชายุทธทั่วๆไปได้ครบ ไม่เหมือนกับมหาลัยชื่อดัง
มหาลัยชื่อดังที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในเวลานี้มีแค่มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้และมหาลัยวิชายุทธปักกิ่งเท่านั้น
แน่นอนมหาลัยครุศาสตร์หัวตงและมหาลัยอื่นๆก็ถือเป็นมหาลัยชื่อดังในสายตาของมหาลัยวิชายุทธทั่วๆไปเช่นกัน อย่างไรก็ตามมหาลัยเหล่านี้ยังถือเป็นมหาลัยชั้นสอง
ส่วนมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงและมหาลัยวิชายุทธเทียนหนานเป็นได้แค่มหาลัยชั้นสาม
หลังอ่านสักครู่ ข้อความใหม่ก็เด้งขึ้นมาในกลุ่ม อู่จื้อเห่า “ฟางผิง นายยังมีชีวิตอยู่ไหม?”
เห็นได้ชัดว่าสหายคนนี้ออนไลน์อยู่ และเขาก็เห็นสถานออนไลน์ของฟางผิงเช่นกัน
“ยังอยู่ ฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลาออนเลย”
“บอกฉันหน่อยนายเป็นไงบ้าง เราไม่รู้เลยว่ามหาลัยชื่อดังเป็นยังไง”
ถานห่าวรีบส่งข้อความมาอย่างรวดเร็ว “นั่นสิ รีบบอกเรามา พ่อฉันโทรมาหาฉันสองวันก่อน บอกให้ฉันเรียนรู้จากนาย พอฉันถาม เขาก็ไม่ยอมพูดอะไร นายยังติดต่อกับพ่อฉันอยู่เหรอ?”
ฟางผิงคิดอยู่ชั่วครู่และตัดสินใจว่าไม่ทำร้ายความรู้สึกพวกเขาจะดีที่สุด เขาพิมพ์ข้อความสั้นๆง่ายๆ “ฉันได้อาจารย์ขั้นหก และได้ยาปราณและเลือดสามัญมาสิบเม็ด ไม่มีอะไรให้พูดแล้ว”
“…”
ในกลุ่มเงียบกริบ ไม่มีข้อความอะไรเด้งขึ้นมาเลยสักพักใหญ่ๆ
หลังจากนั้นกว่าหนึ่งนาที อู๋จื้อเห่าก็ตอบ “นายแอบส่องเราต่อเถอะ!”
ฟางผิงนึกหน้าเจ็บแค้นของเพื่อนออก เขาหัวเราะเบาๆชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถาม “ช่วงนี้พี่หวังอยู่มหาลัยไหม?”
“ฉันไม่รู้ ฉันไม่เห็นเขาเลยนับตั้งแต่เข้ามหาลัยมา พี่หวังดังมาก แถมยังมีอำนาจในมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงด้วย!”
อู๋จื้อเห่าพูดแกมอิจฉา “ประธานของชมรมวิถียุทธ มีอำนาจและโด่งดังยิ่งกว่าอาจารย์ทั่วๆไปซะอีก แม้แต่อาจารย์ขั้นสี่ของฉัน พอชื่อพี่หวังถูกพูดถึง อาจารย์ฉันยังอดชื่นชมพี่หวังไม่ได้”
“เสียดายที่นายไม่ได้เข้ามหาลัยวิชายุทธหนานเจียง ไม่งั้นด้วยการปกป้องของพี่หวัง ไม่มีใครกล้าทำอะไรนายแน่!”
เห็นได้ชัดว่าอู๋จื้อเห่าไม่ได้ยินว่าหวังจินหยางอยู่ทางเหนือ ช่วงนี้หวังจินหยางไม่โผล่หน้าที่มหาลัยเลย เรื่องข่าวที่เขาอยู่ทางเหนือ ฟางผิงได้ยินจากฟู่ชางติ่ง เขาบอกว่าหวังจินหยางออกจากเมืองหลวงแล้ว
“บางทีเขาคงกำลังเตรียมทะลวงขั้น?”
ฟางผิงคาดเดา เขาค่อนข้างอิจฉา
มันนานแค่ไหนเชียวที่เขาเฝ้ามองอีกฝ่ายจากขั้นสองไปเป็นขั้นสี่ กลับกันเขาพึ่งบรรลุขั้นหนึ่งเท่านั้น
“สถานการณ์ของเหล่าหวังจะเป็นยังไงนะ?”
ฟางผิงสงสัย หวังจินหยางทะลวงขั้นเร็วเกินไป
โม๋อู่มีอัจฉริยะมากมาย แต่ฟางผิงไม่เคยได้ยินเลยว่ามีคนบรรลุขั้นสี่ได้ตอนปีสอง
แม้แต่เซี่ยเหล่ยนักศึกษาที่ขัดเกลาสามครั้งก็บรรลุแค่ขั้นสองเท่านั้น เขายังห่างไกลจากขั้นสาม
ในบรรดาคนที่เคยสู้กับหวังจินหยางหลายคนยังเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งอยู่เลย ช่องว่างกว้างใหญ่มาก
“เป็นไปได้ไหมว่าสหายคนนี้จะใช้ระบบโกงด้วย?”
ฟางผิงพึมพำ คนที่ขัดเกลากระดูกจะรู้ว่ากระบวนการมันซับซ้อนแค่ไหน
ผู้ฝึกยุทธทั่วไปมีปราณและเลือดจำกัด ดังนั้นเมื่อพวกเขาขัดเกลากระดูก พวกเขาจึงขัดเกลาได้ไม่เร็วนัก
แขนขายังถือว่าไม่เท่าไหร่ ยกเว้นกระดูกขาและกระดูกแขน กระดูกส่วนอื่นที่ไม่ใหญ่นักถึงจะขัดเกลาได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตามกระดูกลำตัวและกระดูกสันหลังขัดเกลาได้ยากยิ่ง
นักศึกษาหลายคนติดอยู่ที่ขั้นสามชั้นต้น นี่เป็นเพราะกระบวนการขัดเกลากระดูกลำตัวยากกว่า และอันตรายกว่ากระดูกแขนขา
กระดูกลำตัวมีอยู่ 51 ชิ้น ต่อให้เรามีทรัพยากรไม่มีหมด ภายใต้สถานการณ์ปกติขัดเกลากระดูกชิ้นนึงในสิบวันถือว่ารวดเร็วมากแล้ว ถ้านับรวมทั้ง 51 ชิ้นก็จะใช้เวลา 510 วัน เกือบปีครึ่ง!
เหล่าหวังใช้เวลานานแค่ไหนเชียว?
หลังทะลวงขั้นตอนกลางเดือนเมษา มีความเป็นไปได้ว่าเขาขัดเกลากระดูกเสร็จตอนกลางเดือนสิงหา ถ้าใช้เวลาสี่เดือน มันก็แปลว่าขัดเกลากระดูกชิ้นนึงเฉลี่ยสองวันครึ่ง ไอรีนโนเวล
ความเร็วแบบนี้เป็นไปได้ในขั้นหนึ่ง อย่างไรก็ตามมันพูดยากว่าจะมีขั้นสามในโม๋อู่ที่ทำได้เร็วขนาดนี้ไหม
จ้าวเหล่ยและผู้ฝึกยุทธขั้นเกลาสองครั้งส่วนใหญ่ ก่อนเข้ามหาลัย พวกเขาได้ขัดเกลากระดูกขาถึง 31 ชิ้นแล้ว
ฟางผิงพึ่งได้ยินจากฟู่ชางติ่งว่าจ้าวเหล่ยขัดเกลา 35 ชิ้นได้สำเร็จหลังเข้ามาในมหาลัยครึ่งเดือน และนั่นเป็นเพราะเขามีอาจารย์ขั้นหกสูงสุดคอยชี้แนะด้วย
กระดูก 4 ชิ้นในครึ่งเดือน งั้นหนึ่งชิ้นก็ประมาณ 4 วัน
ด้วยความเร็วระดับนี้ จ้าวเหล่ยต้องใช้เวลาเพียง 3-4 เดือนเพื่อขัดเกลากระดูกขาให้เสร็จ
แผนเขาคืออยู่ขั้นหนึ่งสูงสุดสักพัก ถ้าทุกอย่างราบรื่น มีหวังที่เขาจะทะลวงสู่ขั้นสองในช่วงปลายปีหรือช่วงเทอมหน้า
อย่างไรก็ตามแม้จะบอกว่ามีหวัง แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าจะสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์
ฟู่ชางติ่งและอีกหลายคนก็เหมือนกัน พวกเขาขัดเกลากระดูกโดยไม่สนใจว่าจะจ่ายไปเท่าไหร่ สำหรับขั้นหนึ่ง การขัดเกลากระดูกชิ้นนึงภายใน 4-5 วันถือว่าเร็วแล้ว
คนเหล่านี้เป็นนักศึกษาที่โดดเด่นที่สุดของโม๋อู่ หรือพูดอีกอย่างว่าเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นที่สุดในประเทศ!
ฟางผิงที่มีระบบโกงทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธในวันที่สี่ จากวันทะลวงขั้น วันนี้ก็เป็นเวลาสิบวันพอดี ตลอดสิบวันมานี้ ฟางผิงไม่ได้ประหยัดค่าใช้จ่ายเลย ปราณและเลือดของเขาเต็มอยู่ตลอดเวลา และเขาก็ขัดเกลาแค่กระดูกชิ้นๆอย่างกระดูกนิ้วเท่านั้น ในสิบวัน เขาขัดเกลาไปได้สิบชิ้น
ขัดเกลากระดูกหนึ่งชิ้นต่อหนึ่งวันเป็นความเร็วที่น่าตกใจ แน่นอนรายจ่ายของเขาก็น่าตกใจพอกัน
ในช่วงหลัง ความเร็วจะช้าลงแน่นอน ฟางผิงรู้สึกกังขาเรื่องบรรลุขั้นสาม และขัดเกลากระดูกลำตัวเสร็จในสี่เดือน
“ไม่ว่ายังไง ฉันจะขัดเกลากระดูกเท้าให้เสร็จก่อน แล้วขัดเกลาต่อจากจุดนั้น กระดูกเท้ามีอยู่ 26 ชิ้น ฉันขัดเกลาเสร็จไปแล้ว 10 ชิ้น เหลืออีก 16 ชิ้น ฉันต้องพยายามทำให้เสร็จในเดือนนี้”
กระดูกเท้าเป็นระบบที่สมบูรณ์ในตัว เมื่อขัดเกลาเสร็จ พลังสังหารจะเพิ่มขึ้นอย่างยิ่ง
บวกกับรองเท้าโคตรแพงที่เขาสั่งทำ ฟางผิงคาดว่าความสามารถในการต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นสูงยิ่ง
เมื่อพูดถึงรองเท้าโคตรแพงคู่นั้น ฟางผิงก็พลันนึกได้ว่าเขาถึงเวลาไปรับของแล้ว
…..
ณ แผนกโลจิสติกส์
ฟางผิงมาเอารองเท้าโคตรแพงคู่นั้นแล้ว เขาถอดรองเท้าผ้าใบและลองสวมรองเท้าใหม่อย่างตื่นเต้น
รองเท้าคู่ใหม่ดูไม่เหมือนรองเท้าบูทยาง กลับกันมันเหมือนรองเท้าคอมแบทชั้นสูงมากกว่า
รองเท้าเป็นสีดำเมี่ยมทำอัน ฟางผิงเคาะพื้นรองเท้ากับพื้นที่เป็นโลหะ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเหยียบกับพื้น มันไม่มีเสียงโลหะกระทบกัน เห็นได้ชัดว่าปัญหานี้ถูกแก้แล้ว
รองเท้ามีปลายแหลมเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แหลมจนน่ากลัว มันถูกเคลือบด้วยสีดำเช่นกัน มองแวบแรกมันดูไม่เหมือนทำจากโลหะ
ฟางผิงลองใช้มือลูบปลายรองเท้าดูปลายแหลมไม่ได้เรียบ มันให้ความรู้สึกสากๆเหมือนจะบาดมือเข้า
ผู้ฝึกยุทธที่เคาน์เตอร์แลกเปลี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไปทดสอบพลังของมันสิ คุณสามารถสวมใส่มันได้เหมือนเป็นรองเท้าลำลองโดยไม่ดึงดูดความสนใจ”
“วัสดุระบายอากาศได้ดียิ่งเช่นกัน ผู้ฝึกยุทธใช้เวลาฝึกซ้อมมาก เหงื่อจึงออกง่ายและลื่นง่าย รองเท้ายังดูดซับเหงื่อและระงับกลิ่นได้ดีเยี่ยม”
“อย่าลืมว่า สินค้าทุกชิ้นที่โม๋อู่ผลิตมีการรับประกันคุณภาพ ภายในสามปี ถ้ามีปัญหาตรงไหน คุณกลับมาหาเราได้ เราจะซ่อมแซมให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หรือแม้แต่เปลี่ยนคู่ใหม่ให้ฟรี!”
ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย แต่เขาก็ยังเงียบ เขาเปลี่ยนไปใส่รองเท้าคู่ใหม่ทั้งสองข้างและพิจารณารอบข้างอย่างรวดเร็ว
“คุณทดสอบพลังของรองเท้าใหม่ได้ทางนี้” ผู้ฝึกยุทธที่รับผิดชอบเคาน์เตอร์แลกเปลี่ยนพาฟางผิงไปหลังเคาน์เตอร์ บริเวณหลังเคาน์เตอร์กว้างขวางมาก มันถูกแบ่งออกเป็นห้องเล็กๆมากมาย
ผู้ฝึกยุทธเปิดประตูห้องนึงซึ่งดูรกมาก มีของกระจัดกระจายเต็มไปหมด มันมีทั้งดาบกระบี่ที่มีรอยขีดข่วนรวมถึงแผ่นเหล็กที่มีรูโหว่เต็มไปหมด…
“ห้องนี้เป็นห้องที่ทุกคนมาทดสอบอาวุธ ดาบ กระบี่ และวัตถุโลหะล้วนทำมาจากอัลลอยเกรดเอฟ”
“มันแข็งแกร่งกว่ามีดธรรมดา แต่อาวุธเกรดอีสร้างรอยขีดข่วนได้อย่างง่ายดาย ลองดูสิ”
ฟางผิงไม่ลังเล เขายกขาขึ้น ใช้ท่าเตะทะลวงเจาะแผ่นเหล็กที่วางอยู่แนวนอน
มีเสียงโลหะปะทะกันดังขึ้นเสียดหู ประกายไฟกระจายว่อนไปทั่ว
ฟางผิงไม่รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายขา เขาหยิบแผ่นเหล็กขึ้นมาแล้วตรวจดู สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แผ่นเหล็กมีรูนึงที่เห็นได้ชัด มันเป็นจุดที่เขาเตะใส่!
เขาคุกเข่าลงตรวจสอบปลายรองเท้า เขารู้สึกว่าพื้นผิวรองเท้าให้ความรู้สึกเหมือนตอนแรกเลย มันไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
ฟางผิงถอนหายใจออกมาเบาๆ “ถ้าเตะใส่คน แม้แต่ผู้ฝึกยุทธที่ขัดเกลากระดูก กระดูกก็หักเหมือนกันใช่ไหม?”
ผู้ฝึกยุทธที่เคาน์เตอร์แลกเปลี่ยนหัวเราะเบาๆ “แน่นอน แต่มันก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของคนด้วย ยกตัวอย่างถ้าเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นกลาง”
“กระดูกทนทานมาก ปราณและเลือดก็มีมากมาย พวกเขาไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งของกระดูกเพียงอย่างเดียวเพื่อรับแรงกระแทก”
“แม้อีกฝ่ายจะยอมให้คุณเตะก่อน แต่คุณก็จะเสียปราณและเลือดส่วนใหญ่ไปกับลูกเตะนั้น จากนั้นคุณก็จะถูกผลของปราณและเลือดตีกลับ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงจะน้อยนิดมาก”
“ความแข็งแกร่งของอาวุธขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ถ้าคุณแข็งแกร่งไม่พอ ต่อให้เป็นอาวุธอัลลอยเกรดเอ มันก็ไร้ประโยชน์”
“อย่างไรก็ตามคุณฝึกเตะทะลวงได้ดี เมื่อจับคู่กับรองเท้าคู่นี้ ลูกเตะของคุณทำให้ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งและขั้นสองหมดสภาพต่อสู้ได้ นั่นเป็นกรณีที่พวกเขายังไม่ตายน่ะนะ”
“อย่างที่ฉันพูดไป อาวุธจะมีประโยชน์หรือไม่ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ถ้าคุณเตะไม่โดนคู่ต่อสู้ ต่อให้อาวุธจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ถ้าคุณมีความสามารถเพียงพอ คุณสามารถฆ่าคนได้ด้วยเพลงหมัดเดียวโดยไม่ต้องใช้อาวุธ”
ฟางผิงพยักหน้า เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่อาจารย์พูด
ด้วยสภาพของเขา ถ้าเขาได้อาวุธอัลลอยระดับเอมา เขาจะกล้าสู้กับปรมาจารย์ไหม? พูดเป็นเล่น ถ้าอีกฝ่ายระเบิดปราณและเลือด เขาก็คงโดนแรงกดดันกดลงกับพื้นคลุกกับดินแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเข้าใกล้อีกฝ่ายเลย
หลังทดสอบรองเท้า ฟางผิงก็ไม่ได้เอ้อระเหยอยู่ตรงนี้อีก เขาสวมรองเท้าบูทเดินออกมาจากแผนกโลจิสติกส์
เมื่อเขาเดินจากไปแล้ว ผู้ฝึกยุทธที่รับผิดชอบเคาน์เตอร์แลกเปลี่ยนก็ถือแผ่นโลหะที่ถูกเตะขึ้นมาตรวจสอบ หลังจากลูบดูสักครู่ เขาก็หัวเราะเบาๆ “ระดับการทะลวงไม่ได้อ่อนแอ เขาพึ่งเรียนเท้าทะลวง แต่พลังที่แสดงเมื่อกี้ก็เพียงพอแล้ว”
“พอเขาขัดเกลากระดูกขาเสร็จ ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งต้องระวัง”
ถ้าเขาขัดเกลากระดูกไม่เสร็จ ต่อให้เตะอีกฝ่ายได้ เขาก็ต้องเจอกับแรงกระแทก ถ้าเป็นแบบนั้น กระดูกเท้าตัวเองอาจหักแทน
อย่างไรก็ตามถ้าเขาขัดเกลากระดูกขาเสร็จ ผลลัพธ์จะต่างออกไป “เด็กใหม่ปีนี้แข็งแกร่งกว่าเด็กรุ่นก่อน ฉันแก่แล้วสินะ ฉันควรไปใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างสงบได้แล้ว…”
แม้ว่าเขาจะผมดำเต็มศีรษะ แต่เขาก็ไม่ใช่อายุน้อยๆแล้ว เขาใกล้หกสิบเต็มที