World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 115 แสวงหาความแข็งแกร่ง แสวงหาชีวิต (2)
ประมาณ 10 นาทีต่อมา
ณ โรงแรมโม๋อู่
ในห้องอาหาร
หวังจินหยางกำลังกินข้าวกับฉินเฟิ่งชิง
ขณะที่ทานข้าวกัน ฉินเฟิ่งชิงก็พูดขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น “รุ่นน้องมากินข้าวกับเราสิ นายคงจะหิวใช่ไหม?”
“การต่อสู้วันนี้ไม่เลวเลย แต่จะดีกว่านี้ถ้ารุ่นน้องฆ่าพวกเขาได้ด้วยกระบวนท่าเดียว!”
“คนพวกนี้เป็นพวกใช้การไม่ได้ ช่วงสองขั้นแรก พวกมันไม่ยอมขยันฝึกฝน เอาแต่ไปสร้างปัญหาอยู่ทุกวัน พวกมันคิดจริงๆเหรอว่าไม่มีใครควบคุมพวกมันได้?”
เมื่อเขาพูดคำเหล่านี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาลืมเรื่องของตนกับหวังจินหยางไปแล้ว
เมื่อพวกเขาอยู่ขั้นหนึ่งขั้นสอง พวกเขาไม่ได้อยู่เฉยๆ
แน่นอนไม่ได้มีเรื่องแย่งชิงอะไรกันมากนัก บ่อยครั้งที่พวกเขาจะไปรับภารกิจเพื่อหาคะแนนเพิ่ม
หวังจินหยางไม่ได้พูดอะไรจนกระทั่งฟางผิงนั่งลง “ฉันรู้มาก่อนแล้วว่านายจะถูกท้าประลอง”
“โอ้”
“นายไม่แปลกใจเลยเหรอ? ยังไงฉันก็เป็นคนทำให้นายเดือดร้อน ถ้าฉันโผล่หน้าไปตั้งแต่แรก นายอาจไม่จำเป็นต้องสู้”
ฟางผิงยิ้ม “มันเป็นการตัดสินใจของผม ไม่มีใครบังคับ ตอนที่ผมขึ้นเวที ชมรมวิถียุทธยืนยันกับผมแล้ว”
“ส่วนทำไมผมถึงยอมรับการประลอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมอารมณ์ไม่ดี พวกมันเป็นใครกันถึงมารังควานผม!”
“กลับกันมันเป็นเพราะผมอยากหลอมรวมตัวเองเข้ากับผู้ฝึกยุทธด้วยเช่นกัน” หวังจินหยางยิ้มบางๆ “งั้นในสายตาของนาย กลุ่มผู้ฝึกยุทธเป็นยังไง?”
“ไม่สนใจความเป็นความตาย?”
ฟางผิงพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
หวังจินหยางแค่นเสียงในลำคอ “เหลวไหล! ใครกันไม่กลัวตาย! ไม่มีใครที่ไม่กลัวความตาย ไม่มีใครไม่สนใจความเป็นความตาย แม้แต่ปรมาจารย์ก็ตาม!”
“ในสายตานาย ผู้ฝึกยุทธเป็นพวกไม่สนใจความเป็นความตาย รวมถึงโหดร้ายและคลั่งการต่อสู้ใช่ไหม?”
“ส่วนเหตุผลที่นายเข้าใจผิดแบบนี้ บางทีเป็นเพราะนายมีประสบการณ์ไม่มากพอ”
“ผู้คนวันนี้อาจไม่ได้มีเจตนาสังหารนาย สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือ พวกเขาเป็นแค่พวกขี้แพ้ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้”
“ผู้ฝึกยุทธเป็นกลุ่มคนที่แสวงหาความแข็งแกร่งและแสวงหาชีวิต”
“เส้นทางการแสวงหาความแข็งแกร่งของพวกเขาถูกฉันตัดขาดไป ซึ่งเป็นสาเหตุที่พวกเขาไม่พอใจและแค้นเคือง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่อยากมีชีวิต”
ขณะที่เขาพูด หวังจินหยางก็วางถ้วยกับตะเกียบลง และพูดต่อช้าๆ “ส่วนทำไมฉันถึงไม่ออกตัวก่อนนายสู้ ฉันอยากทำให้นายเข้าใจว่าการยอมแพ้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ใช่เส้นทางแสวงหาความแข็งแกร่งและแสวงหาชีวิตของผู้ฝึกยุทธ”
“ต่อให้ฉันไม่เกี่ยวข้อง ด้วยสถานการณ์ของนาย ไม่ช้านายก็ต้องได้สัมผัสกับภารกิจอันตรายแน่นอน”
“แทนที่จะถูกคนนอกสังหาร ให้นายสัมผัสกับความกลัวเมื่อเผชิญกับความเป็นความตายตอนอยู่มหาลัยดีกว่า นายจะได้เปลี่ยนทัศนคติ”
“จริงๆนายไม่ใช่คนขี้ขลาด ย้อนกลับไปตอนนายเป็นแค่เตรียมผู้ฝึกยุทธ นายกล้าหาญพอจัดการกับหวงปินที่เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสองสูงสุด มันพิสูจน์แล้วว่านายมีความกล้าหาญ แถมนายก็ไม่ได้โง่”
“แต่ถ้าเป็นสิ่งที่นายขาดหายไป…อย่างน้อยที่สุด นายขาดพลังฮึกเหิม”
“มันไม่ได้หมายความว่าการมีพลังฮึกเหิมเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด แต่ถ้าไม่มีเลยก็ไม่ได้เหมือนกัน”
“พอนายออกไปทำภารกิจ นายจะได้พบคนที่โหดร้ายไร้ความปราณีอยู่บ่อยๆ คนพวกนั้นไม่อ้อมค้อมกับนาย ถ้านายอยากฆ่าเขา เขาก็จะฆ่านาย!”
“เพราะงั้นให้นายมีประสบการณ์นองเลือดก่อนจะเป็นผลดีกับนาย”
“แน่นอนถ้านายถูกฆ่าจริงๆ มันก็เป็นเรื่องของนาย ฉันไม่รู้สึกผิดอะไรเลย นายก้าวหน้าเร็วเกินไป ต่อให้ครั้งนี้นายไม่ถูกฆ่า แต่ครั้งหน้านายอาจถูกฆ่าได้ ไม่ว่ายังไงไม่จำเป็นต้องให้คนเป็นรู้สึกผิดกับคนตาย”
ฟางผิงพูดไม่ออก ที่เขาพูดมามันเหมาะสมจริงๆเหรอ? อีกฝั่งหนึ่ง ฉินเฟิ่งชิงยังคงทานอาหารพร้อมกับพึมพำไปด้วย “ในมหาลัย มีขั้นหนึ่งขั้นสองไม่มากที่มีประสบการณ์นองเลือด ที่จริงมันเป็นข้อเสียอย่างหนึ่ง”
“พอพวกเขาไปถึงขั้นสาม บางคนก็ยังไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย เมื่อพวกเขาออกไปทำภารกิจ ก็จะมีคนตายจำนวนมาก”
“แทนที่จะตายโดยไร้ประโยชน์ ตายตอนขั้นหนึ่งขั้นสองให้คนอื่นได้ประสบการณ์ก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน”
“เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครอยากให้พวกเขาตายอย่างไร้ค่า แต่เรื่องในวันนี้จะตำหนินายไม่ได้ พวกเขาตายอย่างไร้ค่า แต่ไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
ที่จริงฉินเฟิ่งชิงและหวังจินหยางพยายามปลอบฟางผิง แต่วิธีของพวกเขาไม่ได้ผลมากนัก
ฟางผิงไม่ได้พูดอะไร แต่เขาเปลี่ยนหัวข้อแทน “พี่หวัง คุณกำลังทะลวงขั้นเหรอ?” “อืม อีกไม่กี่วัน”
“งั้น พี่หวังมาเซี่ยงไฮ้…”
หวังจินหยางส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างที่นายคิด ฉันไม่ได้สนใจสร้างปัญหาให้กับนักศึกษา สามขั้นล่าง ฉันไม่มีทางเลือก ฉันต้องออกหน้า”
“แต่พอฉันอยู่สามขั้นกลาง ต่อให้ในหมู่อาจารย์ ฉันก็ไม่ใช่คนอ่อนแอที่สุด”
“ที่ฉันมาเซี่ยงไฮ้คราวนี้ก็เพราะฉันมีเรื่องต้องทำ”
“คนของโม๋อู่ที่คิดว่าฉันมาสร้างปัญหา พวกเขาคิดมากไป!”
ฉินเฟิ่งชิงยิ้ม “ฉันเชิญเขามาเอง คราวนี้ฉันมีภารกิจใหญ่ต้องไปทำ เจ้าหมอนี่แข็งแกร่ง เรากำลังไปเอารางวัลใหญ่!”
หวังจินหยางไม่ได้ปฏิเสธ เขาแค่พูดเตือน “นายอ่อนแอเกินไป ถ้านายตายก็อย่าโทษฉัน”
“เชี่ย ฉันจะตายง่ายดายแบบนั้นได้ไง?” ขณะที่เขาโต้แย้ง ฉินเฟิ่งชิงก็คิด ‘ฉันเผชิญความตายมาหลายครั้งแล้ว มีครั้งไหนที่ฉันตาย?’
‘เมื่อครั้งนี้ฉันเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากพอ ฉันคงขัดเกลาลำตัวเกือบเสร็จ ต่อให้ฉันเทียบหวังจินหยางไม่ได้ จบปีสามฉันยังมีหวังเข้าขั้นสี่’
เมื่อรู้ว่าหวังจินหยางมาทำภารกิจ ฟางผิงก็รู้สึกโล่งอกมากขึ้น
เขาคิดว่าหวังจินหยางมาหาคนประลองด้วยอีกครั้ง แม้ว่าเหล่าหวังจะแข็งแกร่ง แต่ก็มีอัจฉริยะซ่อนตัวอยู่ในโม๋อู่ ไม่มีใครรู้ว่าจะมีผู้ฝึกยุทธขั้นเดียวกับเขาที่แข็งแกร่งกว่าไหม
เมื่อเห็นฟางผิงถอนหายใจโล่งอก หวังจินหยางก็หัวเราะ “มีบางเรื่องที่นายไม่จำเป็นต้องคิดมาก ตอนนี้นายยังไม่มีความสามารถพอเข้ามายุ่งเกี่ยว”
“การแข่งขันระหว่างมหาลัยวิชายุทธธรรมดากับมหาลัยดังเป็นเรื่องของปรมาจารย์” “ถ้าพวกเขาอยากใช้นายเป็นอาวุธ แล้วถ้าพวกเขาให้ผลประโยชน์มากพอ งั้นก็ไปเป็นอาวุธให้พวกเขาซะ!”
“แต่ถ้าไม่มีผลประโยชน์ แต่พวกเขายังอยากใช้งานนาย งั้นต่อให้พวกเขาเป็นปรมาจารย์แล้วใครสนกัน? อย่าไปสนใจพวกเขา!”
“อย่างพวกผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งเมื่อกี้ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับผลประโยชน์ พวกเขาอาจจะได้คะแนนหรือเม็ดยา”
“หลังยอมรับผลประโยชน์ การได้รับบาดเจ็บเป็นผลลัพธ์ที่พวกเขาควรคาดไว้แล้ว”
“ไม่มีทางที่พวกเขาจะได้ผลประโยชน์โดยไม่ต้องทำอะไร!”
“นายแค่ต้องจำเรื่องนี้เอาไว้ ผู้ฝึกยุทธสังหารคนด้วยเหตุผล ยังไงโลกนี้ก็ยังเป็นโลกที่มีกฏและกฏหมาย!”
“แม้แต่ปรมาจารย์ก็บังคับนายไม่ได้!”
“ลองดูฉันตอนนี้สิ ถ้ามีผลประโยชน์ งั้นฉันจะตรวจสอบสถานการณ์ ถ้ามันไม่เป็นอันตราย ฉันก็จะทำ ถ้ามันอันตราย ฉันก็ไม่สนใจ” Aileen-novel
“แน่นอน ถ้านายโง่โดนคนอื่นหลอกและติดกับ งั้นนายก็ได้แต่โทษตัวเอง คราวนี้พวกนักศึกษาใหม่โม๋อู่ล้วนถูกหลิวหย่งเหวินหลอกเอา”
ฉินเฟิ่งชิงกล่าวอย่างเหยียดหยาม “หลิวหย่งเหวินทำเป็นแต่เรื่องไร้สาระ ถ้าฉันเจอเขาที่ถ้ำใต้ดิน ฉันจะฆ่าเขาซะ!”
“อะแฮ่ม!”
หวังจินหยางกระแอมเบาๆขัดจังหวะ ก่อนจะหันกลับไปมองฟางผิง “ภารกิจเดียวของนายตอนนี้คือฝึกฝนตนเอง นายยอมรับภารกิจเล็กๆได้ แต่อย่ามั่นใจเกินไปแล้วท้าทายภารกิจที่เป็นไปไม่ได้”
“ค่อยๆสั่งสมประสบการณ์และเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเอง เงื่อนไขของโม๋อู่ดีมาก อยู่ที่นี่ นายจะได้สิ่งที่ต้องการในราคาต่ำ” “ส่วนเรื่องอื่น…ฉันจะรอจนกว่านายจะแข็งแกร่งมากพอค่อยบอกนายอีกที”
“อีกอย่าง…แม้ฉันอาจดูโหดร้ายไปหน่อยที่พูดแบบนี้ แต่ในมหาลัยวิชายุทธ นายต้องจำไว้ว่าไม่ว่าจะเป็นอาจารย์นายหรือเพื่อนนาย นายต้องระวัง”
“ถ้าพวกเขาอยากให้นายทำอะไรบางอย่าง งั้นก็ไม่เป็นไร แต่เส้นสายไร้ประโยชน์ มันต้องมีผลประโยชน์!”
“ถ้าไม่มีผลประโยชน์มาก หรือได้ไม่คุ้มเสีย งั้นก็อย่ายอมรับลวกๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือเพิ่มความแข็งแกร่งตนเอง”
“ถ้านายตาย เส้นสายก็ไร้ประโยชน์ ปกติฉันจะไม่มอบความช่วยเหลือให้ใคร แม้จะเป็นปรมาจารย์ก็ตาม ถ้ามีผลประโยชน์ ฉันก็จะรับไว้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง เพื่อจะได้เพิ่มความสามารถในการป้องกันตนเอง”
“งั้นในอนาคต พอนายกลายเป็นปรมาจารย์ การมอบความช่วยเหลือตอนนี้ก็มีค่าเทียบไม่ได้แล้ว” “มันเห็นแก่ผลประโยชน์ไปหน่อย แต่มันคือสิ่งที่ฉันเรียนรู้มาจากประสบการณ์ตลอดปีกว่า”
ฟางผิงพยักหน้า เขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะคิดแบบนี้
ทุกคนต่างก็คิดถึงผลประโยชน์ทั้งนั้น!
แม้แต่เขาก็เริ่มคุยกับหวังจินหยางเพื่อผลประโยชน์
คนส่วนใหญ่ก็เป้นเช่นนี้ นอกจากว่าจะสนิทกัน ไม่งั้นใครจะเสียสละให้คนอื่นกัน?
พอคิดได้แบบนั้น ฟางผิงก็เริ่มรู้สึกคิดถึงบ้าน
หลังจากบ้านมาสองเดือน มันก็ถึงเวลากลับไปเยี่ยมบ้านและปลดปล่อยความตึงเครียดไปพร้อมกัน ในช่วงเวลาที่เขาอยู่โม๋อู่ ที่จริงเขารู้สึกตึงเครียดเล็กน้อย
จากนั้นทั้งสามก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก
ทั้งหวังจินหยางและฉินเฟิ่งชิงต่างก็ให้คำแนะนำการฝึกฝนแก่ฟางผิง ซึ่งบางเรื่องก็เป็นสิ่งที่หลู่เฟิ่งโหรวพูดถึงมาก่อน บางเรื่องเธอก็ไม่เคยพูดถึง การมีอาจารย์ขั้นหกมีทั้งข้อดีข้อเสีย
ข้อดีคือพวกเขามีประสบการณ์มากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงมีวิสัยทัศน์กว้างขวาง
ข้อเสียคือมีช่องว่างกว้างใหญ่เกินไประหว่างขั้นหกกับขั้นหนึ่งขั้นสอง ดังนั้นรายละเอียดบางอย่างจึงถูกมองข้ามได้ง่าย
หลังคุยกันสักครู่ ฟางผิงก็ทานอาหารเสร็จและออกจากโรงแรมทันที ยังไงเสียเขาก็จองตั๋วบ่ายนี้ไว้แล้ว!