World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 116 กลับบ้าน
ณ สถานีรถไฟ
ฟางผิงเอื้อมมือออกไปจับข้อมืออีกฝ่ายลวกๆอย่างแรงจนช้ำเลือด
น่าแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืนหรือชักอาวุธออกมา กลับกันเขาพยักหน้าหงึกๆและก้มหัวให้มองฟางผิงด้วยสายตาวิงวอน
ฟางผิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะปล่อยมือไป
ชายคนนั้นวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับคนอีกสองสามคนที่เหมือนจะเป็นคู่หูก่ออาชญากรรม หายลับไปไม่เหลือแม้แต่เงา
ฟางผิงอดถอนหายใจไม่ได้ ในต่างโลกนี้ แม้แต่โจรก็น่าสังเวชเช่นกัน
ในโลกที่มีผู้ฝึกยุทธ ใครจะรู้ล่ะว่าคนที่อยู่ข้างกายเป็นผู้ฝึกยุทธไหม?
ถ้าพวกเขาบังเอิญล้วงกระเป๋าผู้ฝึกยุทธ ไม่ว่าพวกเขาจะกล้าหาญแค่ไหน พวกเขาก็ทำได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้และทำตัวน่าสงสาร
เห็นได้ชัดเลยว่าเมื่อฟางผิงคว้าแขนอีกฝ่ายลวกๆ อีกฝ่ายก็ตระหนักเลยว่าตนเองอาจบังเอิญพบกับผู้ฝึกยุทธเข้าให้
…..
เรื่องที่เกิดขึ้นที่สถานีรถไฟเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย
ณ เวลา 16.20 น. ฟางผิงเดินทางมาถึงสถานีรถไฟเมืองหยางเฉิงอย่างราบรื่น
เมื่อมาถึงเมืองหยางเฉิง ฟางผิงเดินออกนอกสถานีรถไฟพร้อมกับทอดถอนใจเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
เขานึกถึงตอนที่พบกับหวังจินหยางครั้งแรก อีกฝ่ายก็สะเทือนอารมณ์เช่นกัน
ในครั้งนั้น ฟางผิงตระหนักถึงความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้
ตอนนี้เขากลับมาเมืองหยางเฉิง แม้ว่าฟางผิงจะไม่ได้มาทำภารกิจ และไม่มีประสบการณ์ผ่านความเป็นความตายมากนัก แต่ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เขาได้สังหารผู้ฝึกยุทธหนุ่มสองคนด้วยน้ำมือของตนเอง
เมืองเล็กๆอย่างเมืองหยางเฉิงให้ความรู้สึกสบายใจอยู่เสมอ
ผู้ฝึกยุทธอยู่เหนือคนอื่น อยู่ห่างไกลจากชีวิตปกติของทุกคน
ตลอดทั้งปีอาจไม่เกิดคดีฆาตกรรมแม้แต่คดีเดียว
มีใครรู้บ้างว่าหวังจินหยางสร้างชื่อให้กับตนเอง กวาดไปทั้งสี่ทิศแปดทาง?
มีใครบ้างที่รู้ว่าเขาฟางผิงไม่ได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธเท่านั้น เขายังได้สังหารผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดสองคนด้วย?
ไม่มีใครทราบ!
พวกเขารู้แค่ข่าวใหญ่บนอินเตอร์เน็ต พวกเขารู้แค่ว่าปรมาจารย์หม่าแห่งเพนกวิ้นกรุ๊ปทะลวงสู่ขั้นแปด พวกเขารู้แค่ว่าอาจารย์หม่าแห่งอาลีกลายเป็นปรมาจารย์อย่างเป็นทางการแล้ว
ในสายตาพวกเขา โลกกว้างใหญ่มาก และผู้ฝึกยุทธก็เรียบง่ายมาก
“แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน…”
ฟางผิงที่ยืนอยู่นอกสถานีรถไฟพึมพำเบาๆ
หลังเข้ามหาลัยวิชายุทธมาหนึ่งเดือน มีบางอย่างที่ฟางผิงไม่รู้เลย
ทุกๆปีจะมีผู้ฝึกยุทธเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ทุกๆปีจะมีผู้ฝึกยุทธถูกแรงกดดันทับถมและเสียสติจนทำให้เกิดอาชญากรรมนองเลือดจนผู้คนหายใจแทบไม่ทั่วท้อง
กระนั้นเรื่องเหล่านี้ก็ถูกเบื้องบนปกปิดเอาไว้
มหาลัยวิชายุทธก็มีส่วนช่วยปกปิดเช่นกัน
ถ้าย้อนกลับไปชีวิตก่อน ฟางผิงจะผันตัวไปเป็นนักรบคีย์บอร์ดแน่นอน นี่มันละเมิดสิทธิ์กันชัดๆ! แต่ในชีวิตนี้ ฟางผิงคิดว่าเรื่องแบบนี้ปล่อยเงียบต่อไปดีกว่า
คนธรรมดาควรใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา แค่ใช้ชีวิตอย่างสงบและมีความสุขก็พอ ต่อให้ไม่มีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่เขาก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครอดตาย
พวกเขาจะได้อะไรจากการรับรู้เหตุการณ์เหล่านี้งั้นหรือ?
นอกจากสร้างความตื่นตระหนก มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย!
ถ้าพวกเขาเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธที่โหดเหี้ยมจริงๆ คนธรรมดาย่อมไม่สามารถต้านทานได้ พวกเขาก็จะกลายเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเปล่าๆ
ถ้าพวกเขาไม่ทราบเรื่องอะไร งั้นต่อให้พวกเขาพบกับผู้ฝึกยุทธที่ชั่วร้าย บางทีผู้ฝึกยุทธชั่วร้ายอาจตัดสินใจไม่ไปรบกวนพวกเขาก็ได้
ถ้าฟ้าถล่มลงมา ก็ยังมีผู้ยิ่งใหญ่แบกรับเอาไว้ ถ้าผู้ยิ่งใหญ่รับไว้ไม่ไหวอีก งั้นก็ยังมีเหล่าผู้ฝึกยุทธระดับต่ำอย่างฟางผิง
ถ้าฟางผิงและคนอื่นแบกรับไม่ไหวอีก งั้นมันก็จะถึงเวลาที่ประชาชนทั่วไปจะมีสิทธิ์รู้ เพราะถ้าชนชั้นพิเศษไม่สามารถแบกรับเอาไว้ งั้นมันอาจกลายเป็นจุดจบของโลกจริงๆ
เมื่อความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัว ฟางผิงก็ส่ายหน้าปัดความคิดสับสนวุ่นวายออกจากหัวก่อนจะมุ่งหน้ากลับบ้าน
…..
ณ ย่านกวนหูหยวน
ที่ประตูหลัก
เมื่อฟางผิงมาถึงหน้าประตู ก็มีคนอุทานออกมา “ฟางผิง!”
ทันทีที่ฟางผิงได้ยินเสียงนี้ เขาก็รู้สึกยินดีและเผยรอยยิ้มสดใสออกมา “ยัยหนูนี่ ขนาดไม่ได้บอกว่าจะกลับวันนี้ยังออกมารับถึงหน้าประตูเลย”
พี่น้องยังไงก็เป็นพี่น้อง สายเลือดกันยังไงก็ตัดไม่ขาด
ต่อให้ไม่มีใครรู้ว่าเราจะกลับมา แต่พวกเขาก็ยังคาดหวังและรอคอยอยู่เสมอ
ฟางผิงที่กำลังยินดีรู้สึกอายเล็กน้อยที่ความคิดแต่เดิมของเขาคือการบีบหน้ากลมๆของฟางหยวน
“ฟางหยวน น้องโตแล้ว ไม่จำเป็นต้องมารับพี่ ตอนนี้พี่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว แค่กระเป๋าเดินทางเล็กๆ พี่ถือสบาย”
ฟางผิงเดินไปหาฟางหยวนและกล่าวชมน้องสาวตลอดทาง
ฟางหยวนดูราวกับเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ เธอถามด้วยสีหน้ากังวล “ฟางผิง ทำไมนายกลับมาตอนบ่าย?”
“ตอนเช้าคนเยอะ ช่วงบ่ายคนจะน้อยกว่า พี่เลยคิดว่ากลับมาตอนบ่ายดีกว่า…”
“โอ้ นั่นสิ ตอนบ่ายดีกว่า…”
ฟางหยวนกลืนน้ำลายและกล่าวอย่างเร่งรีบ “จริงๆเลย กลับบ้านก็ไม่โทรบอก รีบขั้นไปชั้นบนกันเถอะ!”
ฟางผิงหัวเราะ “ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ น้องรอนานแค่ไหนแล้ว? อากาศค่อนข้างร้อน น้องไปรออยู่ในบ้านก็ได้…”
“เจ้ใหญ่!”
“เจ้ฟาง เรามาแล้ว!”
“เจ้ใหญ่ วันนี้เราต้องสอนบทเรียนให้พวกเด็กจากโรงเรียนมัธยมปลายใกล้ๆแน่นอน ยัยพวกนี้อาจหาญมาแย่งถิ่นเรา!”
“เจ้ใหญ่จะพาผู้ชายด้วยเหรอ? แต่จะให้ผู้ชายไปด้วยจะดีเหรอ?”
“ถ้าเจ้อยากหาผู้ชายไปด้วย เจ้หาคนตัวใหญ่กว่านี้หน่อยดีกว่า เจ้าหมอนี่(ฟางผิง)ผอมแห้งไปหน่อย”
“…”
ฟางผิงหมดคำจะพูด
ฟางผิงหันไปมองพวกเธอ รอบๆตัวมีเด็กสาวอยู่ 7-8 คนอายุพอๆกับฟางหยวนกำลังกระโดดโลดเต้นไปมา เด็กสาวเหล่านี้ยังเด็ก แต่คำพูดของพวกเธอดูขัดแย้งกับภาพตรงหน้ามาก
“เจ้ใหญ่?”
สีหน้าของฟางผิงดูมืดยิ่งกว่าก้นหม้อเสียอีก
‘เกิดบ้าอะไรขึ้นในช่วงสองเดือนที่ฉันไม่อยู่บ้าน?’
‘หน้ากลมกลายเป็นหัวหน้าแก๊งไปแล้ว?’
‘แปลว่าเธอไม่ได้กำลังรอฉัน เธอกำลังรอเด็กกลุ่มนี้เตรียมไปแย่งถิ่นคนอื่น?’
‘ฉันพลาดอะไรไปเนี่ย?’
ฟางหยวนหน้าย่น เธอพูดอย่างน่าสงสาร “ถ้าหนูบอกว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด นายจะเชื่อไหม?”
“ฮะ ฮะ!”
“พี่ชาย ฟังหนูก่อน…”
“พี่ชาย?”
เมื่อคำว่า’พี่ชาย’หลุดจากปากฟางหยวนหนึ่งในเด็กสาวก็พูดอย่างยินดี “หัวหน้าฟางกลับมาแล้ว! เรามีคนหนุนหลังแล้ว!”
“พี่ใหญ่ฟางเป็นผู้ฝึกยุทธ สมาคมหยวนผิงของเราจะดังแล้ว!”
“ยินดีต้อนรับ พี่ใหญ่!”
“…”
ขณะที่เหล่าเด็กสาวคุยกันเสียงดัง ก็มีคนนึงสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของฟางผิง เด็กสาวสองคนที่เธอสนิทด้วยพลันร้องอุทาน “เร็วเข้า วิ่ง!”
“พี่ใหญ่ เรานึกว่าเธอเป็นคนอื่น เราไม่ได้มาหาหยวนหยวน!”
“วิ่ง!”
“ทำไมเราต้องวิ่ง?”
“เลิกถาม วิ่งก่อน ไว้คุยทีหลัง!”
“…”
เหล่าเด็กสาววิ่งไวปานพายุ หายลับไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนฟางผิงได้เปิดปากเสียอีก
ฟางผิงมุมปากกระตุก ทันใดนั้นเขาก็จับแก้มฟางหยวนบีบสุดแรงพร้อมรอยยิ้มน่ากลัว “ว้าว ดูเหมือนน้องจะเก่งกาจมาก!”ไอรีนโนเวล
“เจ้ใหญ่!”
“หน้ากลมกลายเป็นเจ้ใหญ่ตั้งแต่ตอนไหน?”
“แล้วสมาคมหยวนผิงอีก!”
“สมาคมหยวนผิงนี่คืออะไรกัน! ใครใช้ให้น้องไปเป็นหัวหน้าแก๊ง!”
ฟางผิงหงุดหงิด เขาบีบแก้มน้องสาวและเขกหัวเธอไปด้วย!
‘ฉันหายไปนานแค่ไหนเชียว?’
‘ยัยเด็กนี่คุมไม่อยู่แล้ว!’
“อี้ อาย…อู๋ ออ อิ อุด (พี่ชาย หนูบริสุทธิ์)…”
ฟางหยวนพยายามอธิบายด้วยสีหน้าหดหู่ ขณะถูกบีบแก้มไม่หยุด “บริสุทธิ์ก็บ้าแล้ว! พี่เห็นกับตา ใช่สิ ฟางหยวนเก่งกาจแล้ว พี่ชายอยู่ที่มหาลัยวิชายุทธไม่กล้าตั้งตัวเป็นลูกพี่ด้วยซ้ำ น้องเยี่ยมมาก! ดีกว่าพี่อีก!”
“อีกอย่าง พี่เป็นพี่ชาย สมาคมหยวนผิงหมายความว่ายังไง?”
“ทำไมมันไม่ใช่สมาคมผิงหยวน?”
“จิ๊ ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นสมาคมอะไรก็หยุดเดี๋ยวนี้!”
ฟางผิงใช้มือข้างนึงบีบแก้มน้องสาวและมืออีกข้างลากกระเป๋า
ฟางหยวนเดินตามมาอย่างน่าเวทนา โอดครวญในใจ ‘ใครจะรู้ล่ะว่าพี่กลับมาวันนี้? อีกอย่างหนูเป็นคนตั้งสมาคม ชื่อหนูต้องอยู่หน้าแน่นอนอยู่แล้ว’
‘แล้วเลิกบีบแก้มหนูได้แล้ว คุยกันดีๆไม่ได้เหรอ?’
…..
เมื่อเขามาถึงหน้าบ้าน ฟางผิงก็ไม่ได้เปิดประตูเอง ขณะที่มือข้างนึงบีบแก้มน้องสาว มืออีกข้างถือกระเป๋า เขาก็กล่าวขึ้นมา “เปิดประตู!”
ฟางหยวนกลอกตามองบน เธอคิด ‘พี่ติดการบีบแก้มหนูแล้วใช่มั้ย!’
น่าเสียดายเธอสู้เขาไม่ได้ แถมเธอยังถูกจับได้คาหนังคาเขา ดังนั้นฟางหยวนจึงได้แต่หยิบกุญแจออกมาไขประตู
เมื่อประตูถูกเปิด ฟางผิงก็ได้ยินเสียงของแม่ดังขึ้นมา “หยวนหยวน ลูกกลับมาแล้วเหรอ?”
“แม่ ผมเอง”
“ผิงผิง?”
หลี่อวี้อิงรีบเดินออกมาจากครัว เมื่อเธอเห็นฟางผิง เธอก็กล่าวอย่างมีความสุข “แม่คิดว่าลูกจะไม่กลับมาซะอีก แม่ถามลูกเมื่อวาน ลูกบอกไม่กลับมาไม่ใช่เหรอ?”
“จริงๆเลย กลับมาก็ไม่โทรบอก แม่จะโทรบอกให้พ่อซื้อพะโล้กลับมาด้วย…” “แม่!”
ข้างๆเขา ฟางหยวนผู้น่าสงสารกำลังถูกเมิน ‘แม่ไม่เห็นเหรอว่าฟางผิงกำลังบีบหน้าหนูอยู่?’
‘หน้าหนูบวมหมดแล้ว แม่จะไม่ช่วยลูกสาวเลยเหรอ?’
ดูเหมือนหลี่อวี้อิงจะพึ่งสังเกตเห็นลูกสาว เมื่อเห็นพี่น้องทะเลาะกันทันทีเมื่อเจอหน้ากัน เธอก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เกิดอะไรขึ้น?”
ฟางผิงกล่าวอย่างค่อนข้างจนใจ “แม่ แม่ต้องสนใจเด็กคนนี้มากขึ้น ลองเดาสิว่าตอนอยู่ข้างล่างผมเห็นอะไร?”
“เด็กคนนี้จะพลิกผืนฟ้า! เด็กคนนี้กล้าตั้งสมาคมขึ้นมา แถมพวกเธอยังจะกำลังไปแย่งถิ่น…”
“ลูกพูดถึง เอิ่ม…อะไรนะ สมาคมหยวนผิงใช่ไหม?”
ฟางผิงฟังหลี่อวี้อิงพูดตาปริบๆ แม้แต่แม่ก็รู้?
หลี่อวี้อิงค่อนข้างจนใจเช่นกัน “ใช่ น้องควรถูกสอนบทเรียน แต่แม่สอนเด็กคนนี้ไม่ได้แล้ว”
“น้องยังเด็ก แต่ก็เริ่มเปิดแผงลอยขายของกับเพื่อน ทุกๆวันพวกเธอต้องไปแย่งที่กัน มันเริ่มเลยเถิดแล้ว แม้แต่อาจารย์ที่โรงเรียนก็รู้”
“น้องบอกว่าอยากเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย น้องไปขายของที่อื่นได้ แต่ก็ยืนกรานขายที่โรงเรียน แม้แต่อาจารย์ก็เริ่มสังเกตเห็น”
“น้องอยู่มอสามแล้ว น้องควรเริ่มเตรียมสอบเข้ามัธยมปลาย ครอบครัวของเราต้องการเงินเล็กๆน้อยๆแบบนั้นจริงเหรอ?”
เธอถอนหายใจ “ผิงผิง ลูกกลับมาพูดเรื่องของน้องก็ดี เด็กคนนี้ไม่ฟังแม่แล้ว…”
“ตั้งแผงลอย? แย่งที่?”
ฟางผิงอึ้งไปชั่วครู่ เกิดอะไรขึ้น? เขาตระหนักว่าเขายังบีบแก้มน้องสาวอยู่ เขาจึงปล่อยมือ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิดไป!
ฟางหยวนนวดแก้มอย่างหดหู่ เธอรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม “ฟางผิง หนูก็แค่ขายของนายนิดหน่อย ต้องบีบแก้มหนูนานขนาดนี้เลยเหรอ?”
“มันเป็นของที่นายไม่ใช้แล้ว หนูก็แค่เก็บของที่ไร้ประโยชน์ไปขาย…”
“หุบปาก!”
ฟางผิงตวาดอย่างไม่พอใจ “พี่พร่ำบอกน้องแล้วว่าอย่าทำแบบนี้ แต่น้องก็ยังก่อเรื่อง!”
“ก่อเรื่องเองยังไม่พอ น้องยังพาเพื่อนไปก่อเรื่องอีก!”
“น้องไม่ได้ยินที่แม่พูดเหรอ?”
“แม้แต่อาจารย์ก็เริ่มสังเกตเห็น!”
ฟางผิงเดินเข้าบ้านและรีบเปลี่ยนหัวข้อราวกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่น้อยที่เข้าใจผิดไป ขณะที่เขาพูด ฟางผิงก็กล่าวด้วยสีหน้าแข็งค้าง “น้องขายอะไรไป?”
ฟางหยวนเงียบ
หลี่อวี้อิงกล่าวอย่างขบขัน “นอกจากเสื้อผ้าสองชุด ของอย่างอื่นของลูกหายไปหมดแล้ว”
“ห๊ะ?”
ฟางผิงอึ้งเล็กน้อย ‘แม้ว่าฉันจะมีของไม่มาก แต่ฉันอาจเก็บของกระจุกกระจิกตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้เป็นกองใหญ่ๆเลยไม่ใช่เหรอ?’
‘แต่แม่พูดว่าไงนะ?’
‘มันหายไปแล้ว!’
ฟางผิงรีบกลับเข้าห้องโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
…..
หนึ่งนาทีต่อมา ฟางผิงเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าอึมครึม “ฟางหยวน น้องเก่งมาก!”
“แม้แต่แปรงสีฟันก็หาย!”
“แล้วรองเท้าแตะของพี่อยู่ไหน?”
“แก้วพี่ล่ะ?”
“แม้แต่ผ้าเช็ดตัวก็ไม่มี!”
“…”
ฟางผิงอยากตบเธอตายด้วยฝ่ามือเดียว ‘น้องคิดว่าพี่จะไม่กลับมาอีกแล้วรึไง?’
ฟางหยวนก้มศีรษะลงพึมพำเบาๆ “หนูซื้อให้ใหม่ก็ได้นี่ อันเก่าอันนึง หนูซื้ออันใหม่ให้นายได้สามอัน นายใช้ชีวิตไม่เป็นเลย…”
“หุบปาก! มันจะเหมือนกันได้ไง? พี่ก็มีความผูกพันกับของเก่า พี่จะรู้สึกเหมือนกันกับของใหม่ได้ไง?”
“มันไม่เหมือนกันตรงไหน? หนูว่าของใหม่ดีกว่าอีก…”
“ยังกล้าเถียงอีก?”
ฟางผิงโกรธมาก คราวนี้เขาไม่ได้บีบแก้มฟางหยวนด้วยมือเดียวอีก แต่ใช้สองมือบีบแก้มทั้งสองข้าง
ฟางหยวนจนใจ เธอพึมพำ “พอแล้ว เลิกหาข้ออ้างมาบีบแก้มหนู ไม่งั้นหนูโกรธจริงนะ”
“ยังกล้ามาโกรธอีก?”
ฟางผิงแค่นเสียง เขาบีบแก้มน้องสาวต่อสักพักก่อนจะปล่อยฟางหยวนไป
“จากนี้ไป ห้ามทำเรื่องไร้สาระแบบนี้อีก! ได้ยินพี่ไหม?”
“ถ้ามีครั้งหน้า พี่จะหักขาน้อง!”
ฟางผิงเตือนเสียงเข้ม เขาไม่รู้ว่ามันเป็นความสนใจที่แท้จริงหรือแค่อยากเล่นสนุก แต่สาวน้อยคนนี้ชอบคิดแต่เรื่องทำนองนี้
เธออายุแค่ไหนเชียว?
ฟางผิงไม่อยากให้ฟางหยวนเกี่ยวข้องกับธุรกิจแปลกๆมากเกินไปตั้งแต่อายุยังน้อย
เมื่อสอนบทเรียนให้น้องสาวเสร็จ ฟางผิงกับแม่ก็เริ่มคุยกันถึงชีวิตมหาลัย จากคำพูดของฟางผิง มหาลัยยอดเยี่ยมมาก
อาหารที่มหาลัยฟรี อาศัยอยู่ในคอนโดหรูคนเดียว อาจารย์ชื่นชมเขาเป็นพิเศษ แถมยังได้เม็ดยามาฟรีๆ
เพื่อนร่วมชั้นเป็นมิตรมาก แถมสาวๆก็กระตือรือร้นกันมาก…
โดยรวมแล้ว มหาลัยที่เขาอธิบายเป็นสวรรค์ดีๆนี่เอง
เมื่อเธอได้ยินแบบนั้น ฟางหยวนก็ลืมความเจ็บปวดบนหน้าและเปี่ยมไปด้วยความอิจฉา
หลี่อวี้อิงมีความสุขมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากเธอรู้มาก่อนว่าลูกชายเธอกลายเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว
หลี่อวี้อิงพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านเล็กน้อย ฟางผิงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธเป็นเรื่องที่มีคนรู้ไม่มาก
ตอนนี้ฟางหมิงหรงเป็นเจ้าหน้าที่ของกระทรวงศึกษาอย่างเป็นทางการแล้ว เขาทำงานตั้งแต่ 9 โมงถึง 5 โมงเย็น งานหลักของเขาคือดื่มชาและอ่านหนังสือพิมพ์
หลี่อวี้อิงไม่ทำงานแล้วเช่นกัน ตอนนี้เธอรับผิดชอบดูแลฟางหยวนคนเดียว
ฟางหยวนได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ที่โรงเรียน เธอกลายเป็น’หัวหน้าแก๊ง’ แม้แต่อาจารย์ก็ปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดี
ในย่านเล็กๆแห่งนี้ คณะกรรมการเพื่อนบ้านและเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้มาเยี่ยมเยือนพวกเขาด้วยกันเมื่อไม่กี่วันก่อน แถมยังมอบของขวัญเล็กๆน้อยๆให้ ทุกๆวันจะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เดินลาดตระเวนอยู่ล่างอาคาร ต่อให้มันใช้งานจริงไม่ได้ แต่ก็รู้สึกถึงความจริงใจของพวกเขา
ส่วนค่าบำรุง ไม่มีใครพูดถึงอีก การมีผู้ฝึกยุทธอาศัยอยู่ในย่านก็ถือเป็นเกียรติของพวกเขาแล้ว ใครจะกล้าขอเก็บค่าบำรุงกัน?
ทุกอย่างที่บ้านสงบและราบรื่นมาก บางครั้งฟางหมิงหรงก็นำขนมเครื่องดื่มกลับบ้าน ทั้งหมดเป็นหน่วยงานของพ่อที่มอบให้
เมื่อได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้น ฟางผิงก็รู้สึกผ่อนคลาย
บางครั้งผู้คนก็พึงพอใจได้ง่ายแบบนี้แหละ
เมื่อพ่อเขากลับมา และฟางผิงเห็นสีหน้าของพ่อเปล่งประกาย สุขภาพแข็งแรงและร่าเริงกว่าแต่ก่อน เขาก็รู้สึกโล่งใจยิ่งกว่าเดิม
ทั้งครอบครัวทานอาหารเย็นร่วมกัน ทุกอย่างสมบูรณ์มาก
มันจะสมบูรณ์แบบมาก ถ้าไม่นับรวมเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆ…
ยกตัวอย่างเมื่อฟางผิงกำลังกินข้าว เขาก็พบว่าดูเหมือนจะมีตะเกียบและชามจากเซ็ตครอบครัวหายไป
ยกตัวอย่างเมื่อเขากำลังดื่มน้ำ แต่เขาหาแก้วไม่เจอ… (ผู้แปล : อธิบาย คนจีนจะมีของใช้พวกนี้ที่ใช้ประจำเป็นของตัวเอง)
ฟางผิงอยากถามจริงๆ มีใครปัญญาอ่อนซื้อของพวกนี้ด้วยเหรอ?
อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นสีหน้าระมัดระวังของน้องสาว ฟางผิงก็ตัดสินใจปล่อยไป เพราะยังไงเสียเขายังอยู่บ้านอีกสองสามวันในช่วงวันหยุด ยังมีเวลาจัดการน้องสาวอีกเหลือเฟือ
“ยังไงบ้านก็ดีที่สุด…”
หลังทานข้าวจนอิ่ม ฟางผิงก็ถอนหายใจอีกครั้ง เขายังรู้สึกกลัวไม่หาย ถ้าเขาถูกฆ่าตอนเช้า สถานการณ์จะเป็นอย่างไร?
เขาถอนหายใจออกมา ข่มความคิดเหล่านี้ทิ้งไป เขาควรหวงแหนชีวิตเอาไว้ เพราะไม่มีใครอยากตาย