World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 117 เราต้องถ่อมตนเสมอ
ณ ค่ำคืนที่ไร้ความฝัน
คืนนั้น ฟางผิงหลับสนิท ตอนแรกเขาคิดว่าเขาจะฝันร้าย แต่กลายเป็นว่าเขาไม่ได้ฝันอะไรเลย
วันถัดมา หลังฟางผิงตื่นขึ้น เขาก็มั่นใจอย่างนึง
มนุษย์นั้นเห็นแก่ตัว!
หลังสังหารจางกั๋วเวยและอีกคนไป เขาก็คิดว่าครอบครัวพวกเขาจะเศร้าแค่ไหน
อย่างไรก็ตามพอเขาคิดว่าถ้าเขาตาย ครอบครัวจะเศร้าแค่ไหน ฟางผิงก็ไม่รู้สึกผิดอีก
พ่อแม่และน้องสาวมีชีวิตดีๆก็เพราะเขา
ถ้าเขาตายไปล่ะ?
พ่อเขาต้องกลับไปทำงานเดิมที่ทำให้เขาสละสุขภาพแลกกับเงิน แม่เขาก็ต้องไปรองรับอารมณ์ของคนอื่นเพียงเพื่้อเงิน 800หยวนต่อเดือน
ส่วนน้องสาวเขา เธอจะยังหัวเราะอย่างไร้กังวลแบบนี้ได้อีกไหม?
…..
หลู่เฟิ่งโหรวปล่อยให้เขากลับบ้านปรับความรู้สึกและผ่อนคลายจิตใจ
ตอนนี้ ฟางผิงผ่อนคลายอย่างแท้จริง
เมื่อฟางผิงตื่นขึ้นมา เขาก็เตร็ดเตร่ไปรอบอาคารและซื้ออาหารเช้ากลับมา เมื่อเขากลับมาบ้าน พ่อแม่เขาพึ่งตื่น และฟางหยวนก็ยังหลับอยู่
เมื่อเห็นฟางผิงออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า หลี่อวี้อิงก็มีสีหน้าซับซ้อน เธอไม่รู้ว่าเธอรู้สึกไม่สบายใจหรือโล่งใจ
ฟางหมิงหรงพึ่งล้างหน้าล้างตาเสร็จ เมื่อวานเขาถือว่าทำงานล่วงเวลา วันนี้กระทรวงศึกษาเป็นวันหยุด
หลังชงชาเข้มๆให้ตัวเอง ฟางหมิงหรงก็คิดครู่นึงก่อนจะเปิดปากพูด “ผิงผิง ทำไมวันนี้ลูกไม่ไปซื้อของขวัญไปเยี่ยมผู้อำนวยการถานล่ะ?”
ถานเจิ้นผิงช่วยเหลือฟางผิงให้พ่อเขาเข้าไปเป็นเจ้าหน้าที่ที่กระทรวงศึกษา
ความช่วยเหลือนี้ควรได้รับการตอบแทน ไหนๆฟางผิงก็กลับมาแล้ว การไปเยี่ยมเขาย่อมเป็นเรื่องปกติ
ฟางผิงยิ้มและพยักหน้า “ตกลง ยังไงผมก็ควรไปขอบคุณเขาด้วย ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ในเมืองหยางเฉิง ในฐานะที่ผู้อำนวยการถานเป็นผู้รับผิดชอบ เราก็ต้องไปเยี่ยมเขา”
เมื่อฟางหมิงหรงได้ยินแบบนั้น สีหน้าเขาก็ดูพอใจ ลูกชายเขาไม่เพียงแข็งแกร่งเท่านั้น ยังรู้จักเข้าสังคมด้วย ทำให้เขาทรงพลังกว่าการมีความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว
พ่อและลูกชายคุยกันอยู่สักพัก ไปเช้าเกินไปก็ไม่ดี แต่ถ้าพวกเขาไปสายเกินไป พวกเขาก็จะถูกขอให้อยู่ทานข้าวด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงตกลงว่าจะไปสักเก้าโมง หลังทานอาหารเช้าเสร็จ ฟางหยวนก็ตื่นเช่นกัน
หลังรู้ว่าพ่อกับพี่ชายออกไปเยี่ยมรองผู้อำนวยการกระทรวงศึกษา เด็กสาวก็ไม่เซ้าซี้จะไปด้วย
ฟางหยวนชอบร่วมสนุก แต่มันก็ขึ้นอยู่กับคนด้วย
ผู้นำของกระทรวงศึกษา!
นั่นก็หมายความว่าเขาเป็นผู้นำของอาจารย์ ตอนนี้ฟางหยวนกลัวไม่อยากไปออฟฟิศอาจารย์ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับบ้านของผู้นำกระทรวงศึกษา
…..
ณ บ้านพักครอบครัวของกระทรวงศึกษา
ที่อยู่ของถานเจิ้นผิงหรูหรามาก!
ข้าราชการยุคนี้ต่างก็มีชีวิตดีๆและทานอาหารดีๆ
บางอย่างจะเป็นประโยชน์ถ้านำออกมาด้านสว่าง พวกเขาไม่เหมือนกับคนรุ่นก่อน ที่แม้แต่ข้าราชการที่มีเงินบ้างก็ต้องฝังมันลงดิน
พ่อลูกครอบครัวฟางได้โทรหาพวกเขาก่อนมาเยี่ยมแล้ว
ประตูหลักของวิลล่าหลังเล็กของครอบครัวถานถูกเปิดออก พี่น้องถานกำลังยืนอยู่ที่ประตู เมื่อเขาเห็นฟางผิง เขาก็พูดออกมาอย่างเร่งรีบ “พ่อ ฟางผิงกับลุงฟางมาแล้ว!”
ถานเจิ้นผิงสำรวมเล็กน้อย เขาเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง “เหล่าฟาง ไม่จำเป็นต้องสุภาพกับฉันหรอก ฉันว่าฉันบอกแล้วนะว่าไม่ต้องซื้ออะไรมาฝาก”
หลังทักทายฟางหมิงหรง ถานเจิ้นผิงก็หันมามองฟางผิงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รุ่นเก่าแซงรุ่นใหม่ไปแล้วจริงๆ!”
แม้ว่าฟางผิงเวลานี้จะไม่ได้ระเบิดปราณแระเลือดออกมาก็ตาม ไอลีนโนเวล
อย่างไรก็ตามถานเจิ้นผิงรู้สึกถึงแรงกดดันเล็กน้อย
อันที่จริงเขาเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดผู้ฝึกยุทธที่มีดีแค่ปราณและเลือดก็ยังเป็นผู้ฝึกยุทธอยู่ดี!
ปราณและเลือดเขาสูงประมาณ 250แคล แต่เมื่อเผชิญหน้ากับฟางผิง เขารู้สึกเหมือนปราณและเลือดน้อยกว่า มันไม่คาดฝันเกินไปแล้ว!
แม้ว่าฟางผิงจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว แต่เขาพึ่งทะลวงได้ไม่นาน เป็นไปได้ไหมที่ปราณและเลือดของฟางผิงสูงกว่าเขา?
“ลุงถาน”
ฟางผิงยิ้มและโค้งคำนับ “ขอโทษที่รบกวนเรื่องพ่อผม”
“มันแค่เรื่องเล็กน้อย”
ถานเจิ้นผิงยิ้ม “ยิ่งกว่านั้นพ่อเธอเป็นคนซื่อสัตย์ที่ขยันทำงาน เพื่อนร่วมงานที่กระทรวงต่างก็คิดว่าพ่อของเธอทำงานได้ค่อนข้างดีเลย…”
“ผู้อำนวยการ…”
ฟางหมิงหรงดูไม่สบายใจเล็กน้อย ถานเจิ้นผิงหัวเราะ “ตอนไม่ได้อยู่ออฟฟิศ ไม่จำเป็นต้องเรียกฉันผู้อำนวยการหรอก ฉันแก่กว่าคุณสองสามปี อยู่สถานที่ส่วนตัว เรียกเหล่าถานก็ได้”
หลังคุยกันพอเป็นพิธี ถานเจิ้นผิงก็พาพ่อและลูกชายเข้าบ้าน
เมื่อเข้าไปในบ้านและเห็นพี่น้องถานยังยืนนิ่งอยู่ ถานเจิ้นผิงก็ตำหนิ “ยืนทำอะไรตรงนั้น? อ่านสถานการณ์ไม่เป็นเหรอ? ไปเอาน้ำชามาให้ลุงถาน!”
ถานห่าวยิ้มอย่างโง่งมก่อนจะรีบไปเอาชา
ฟางผิงลุกขึ้นยืนหลังเห็นสถานการณ์ “ลุงถานคุยกับพ่อผมเถอะ ผมจะไปคุยกับพี่น้องถานสักหน่อย ไว้คุยกันต่อทีหลัง”
“ตกลง เด็กๆไปคุยกันเถอะ”
แม้ว่าถานเจิ้นผิงจะมีเรื่องบางอย่างอยากคุยกับฟางผิง แต่มีฟางหมิงหรงอยู่ด้วย เขาก็ไม่อาจเพิกเฉยอีกฝ่ายได้ ผู้ชายจะฉลาดขึ้นเมื่อเติบใหญ่ ไปประจบฟางผิงด้วยอายุปูนนี้มันไร้ยางอายเกินไป กลับกันมารู้จักกับพ่อฟางผิงเหมาะสมกว่าตัวฟางผิงเอง
…..
ในห้องถานห่าว
ถานห่าวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และพูดเคืองๆ “ฟางผิง นายเยี่ยมมาก!”
“ตอนนี้พ่อฉันอาจดูสบายๆ แต่ตอนเขารับสายนาย พ่อเรียกคนอื่นมาทำความสะอาดทันที แถมให้ฉันกับเทาลุกจากเตียงเพื่อเตรียมต้อนรับนาย”
“ก่อนนายมาถึง พ่อฉันเดินรอบห้องนั่งเล่นไปเจ็ดรอบ…”
“อะแฮ่ม!”
ถานเทาขัดจังหวะทันทีเพื่อไม่ให้ชายชราเสียศักดิ์ศรี
หลังขัดจังหวะพี่ ถานเทาก็ถามอย่างสงสัย “ฟางผิง นายทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธแล้วจริงเหรอ?”
“อือฮึ”
ฟางผิงไม่ได้ปกปิดไว้ ท้ายที่สุดแล้วทัศนคติของถานเจิ้นผิงก็แสดงให้เห็นอะไรหลายอย่างแล้ว และเขาก็เป็นพ่อของพวกเขา
“จริงเหรอ?”
พี่น้องถานอึ้ง!
เขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว?
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ถานเทาก็ถามทันที “ผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้ง?”
หลังเข้ามหาลัยวิชายุทธ พวกเขาก็ทราบเรื่องขัดเกลาสองครั้งเช่นกัน
ตอนเดือนพฤษภาคม ฟางผิงมีปราณและเลือด 149แคล จากที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ เป็นไปได้สูงที่ฟางผิงจะขัดเกลาสองครั้ง
“เปล่า”
“เปล่า?”
ถานเทาประหลาดใจ ปราณและเลือดของฟางผิงขึ้นไวมาก ช่วงที่เขา 149แคลกับช่วงที่เขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ มีช่องว่าง 4 เดือน เขาไม่ได้ขัดเกลาสองครั้งจริงเหรอ?
ถานเทาเป็นคนตรงไปตรงมามากกว่า เขาพึมพำ “น่าแปลกใจละก็น่าเสียดาย แม้ว่านักศึกษาใหม่ของมหาลัยวิชายุทธหนานเจียงจะไม่มีผู้ฝึกยุทธสักคน แต่มีนักศึกษาใหม่คนนึงที่มีปราณและเลือดมากกว่า 150แคล เขากำลังเตรียมขัดเกลาสองครั้งแล้ว”
“ไม่น่ารีบทะลวง ฉันได้ยินว่าหลังขัดเกลาสองครั้ง นายจะพัฒนาได้เร็วมาก”
“รุ่นพี่หวังก็ขัดเกลาสองครั้ง เพราะงั้นเขาถึงกลายเป็นขั้นสามได้เร็ว…”
สีหน้าฟางผิงยังคงนิ่งเฉย “ฉันไม่ได้ขัดเกลาสองครั้ง ฉันแค่ขัดเกลาสามครั้ง”
“ห๊ะ?”
“แค่กๆๆ ฉันหูฝาดไปรึเปล่า?”
“ฟางผิง นายพูดอะไรนะสามครั้ง?”
“…” สองพี่น้องทำเหมือนได้ยินไม่ชัด ฟางผิงขบขัน “เหนือขัดเกลาสองครั้ง ยังมีขัดเกลาสามครั้ง ฉันเป็นผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสามครั้ง”
เรื่องนี้ไม่ได้ถือเป็นความลับ อย่างน้อยทุกคนในโม๋อู่ก็รู้เรื่องนี้
ถานเจิ้นผิงเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่พวกเขาจะได้ติดต่อกันอีก
เรื่องนี้ต่อให้เขาปิดไว้หรือเปล่าก็ไม่สำคัญ ถ้าพี่น้องถานรู้เรื่อง งั้นถานเจิ้นผิงก็รู้เรื่องด้วย
ยิ่งฟางผิงโดดเด่นเท่าไหร่ ถานเจิ้นผิงและเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่นก็ยิ่งดูแลสมาชิกครอบครัวยิ่งขึ้น
เวลานี้ฟางผิงไม่จำเป็นต้องถ่อมตน ขั้นหนึ่งเขาไม่ได้ถือว่าทรงพลังมากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่ทำให้คนอื่นหวาดกลัวได้
อย่างไรก็ตามผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสามครั้งต่างออกไป
ต่อให้ถานเจิ้นผิงไม่รู้ว่าขัดเกลาสามครั้งหมายถึงอะไร แต่ก็ต้องมีคนในอย่างน้อยหนึ่งคนในเมืองหยางเฉิงที่เข้าใจ อย่างน้อยที่สุดผู้มีอำนาจของเมืองหยางเฉิงต้องรู้เรื่อง
ผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสามครั้ง แถมยังเรียนโม๋อู่ เมื่อจบการศึกษา เขาจะไปถึงขั้นไหน?
ขัดสามหรือขั้นสี่ หรือบางทีอาจสูงกว่านั้น?
ต่อให้เขาไปได้ไม่ไกล แต่เท่านี้ก็พอให้เมืองหยางเฉิงให้ความสำคัญแล้ว แม้แต่เมืองรุ่ยหยางก็ให้ความสำคัญกับเขา
พี่น้องถานจ้องมองอย่างโง่งมครู่นึง ถานเทาได้สติกลับมาก่อนแล้วตอบอย่างรวดเร็ว “เหนือกว่าขัดเกลาสองครั้ง มีขัดเกลาสามครั้ง? ฟางผิง นายอธิบายได้ไหม?”
“คนที่ปราณและเลือดถึง 180แคลจะขัดเกลาสองครั้งได้ จากนั้นคนที่ปราณและเลือดถึง 200แคลจะเป็นขัดเกลาสามครั้ง”
“พอปราณและเลือดของนายถึง 150แคลและขัดเกลาครั้งแรก นายจะเข้าใจความรู้สึกเอง”
“แน่นอนขัดเกลาสามครั้งยากมาก ฉันไม่ได้ยกยอตัวเอง แต่มีคนน้อยมากที่มาถึงขั้นนี้เป็นความจริง”
“ถ้าเงื่อนไขนายผ่าน นายอาจลองขัดเกลาสองครั้งได้ แต่ขัดเกลาสามครั้งอย่าเลยดีกว่า…”
ฟางผิงอธิบายอย่างง่ายๆก่อนจะถามสถานการณ์ของพี่น้องถาน
ถานห่าวปราณและเลือดถึง 135แคลแล้ว ส่วนถานเทาอยู่ที่ 134แคล
สองพี่น้องไม่ได้ก้าวหน้าช้า ที่จริงเมื่อคิดว่ามหาลัยพึ่งเปิดภาคเรียนเดือนเดียว มันถือว่าเร็วมากแล้ว
ด้วยความเร็วอัตรานี้ จบเทอมมีโอกาสที่พวกเขาจะไปถึง 150แคลและข้ามเส้นแบ่งระหว่างผู้ฝึกยุทธกับคนธรรมดา
จากนั้นเทอมถัดไป พวกเขามีหวังทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ ในมหาลัยวิชายุทธทั่วๆไป การเป็นผู้ฝึกยุทธตอนปีหนึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
ถานห่าวหัวเราะ “เราถือว่าก้าวหน้าเร็วแล้ว เพราะพวกเขาไม่ได้ฝึกจวงกง จวงปินกับคนอื่นๆที่เคยมีปราณและเลือดสูงกว่าเรา ตอนนี้มีปราณและเลือดพอๆกับเราแล้ว”
“แน่นอน เราเทียบนายไม่ได้”
“นักศึกษาใหม่มหาลัยวิชายุทธหนานเจียงปีนี้ที่จริงค่อนข้างแข็งแกร่ง พึ่งเปิดภาคเรียน แต่ก็มีคนมีปราณและเลือดสูงกว่า 150แคลแล้ว”
“ยังมีอีกหลายคนจากปีที่แล้วยังไม่ได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็มีเกือบครึ่ง”
“จำกลุ่มรุ่นพี่จากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งเมืองหยางเฉิงเมื่อปีที่แล้วได้ไหม?”
“นอกจากรุ่นพี่หวังที่อยู่ขั้นสามและกลายเป็นประธานชมรมวิถียุทธ บางคนก็พึ่งเป็นขั้นหนึ่ง บางคนก็ยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ พวกเขายังเป็นเตรียมผู้ฝึกยุทธอย่างเราอยู่เลย”
นั่นเป็นความจริงของมหาลัยวิชายุทธทั่วๆไป ตั้งแต่เริ่มเลย นักศึกษาที่ผ่านการคัดเลือกมานั้นไม่ได้แข็งแกร่งและมีปราณและเลือดสูงนัก
นอกจากนี้พวกเขายังมีทรัพยากรไม่เพียงพอ แม้แต่ปีสองก็ยังมีนักศึกษาจำนวนมากที่ยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ
พวกเขาได้แต่รอจนถึงปีสาม ถ้าพวกเขาโชคดี พวกเขาอาจเข้าสู่ขั้นหนึ่งได้
เมื่อถึงปีสี่ จะมีนักศึกษาชั้นยอดไม่กี่คนที่จบการศึกษาด้วยขั้นสอง นักศึกษาส่วนใหญ่จะจบที่ขั้นหนึ่ง มีจำนวนน้อยมากที่จบด้วยขั้นสาม
แน่นอนยังมีคนที่โชคร้าย มันไม่ได้หายากที่จะเจอคนจบการศึกษาทั้งที่ยังไม่ได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ
ในทางกลับกัน ในหมู่นักศึกษาใหม่น้อยกว่า 1600 คนของโม๋อู่ มีกว่า 100 คนที่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธอย่างเป็นทางการแล้ว หมดเทอมอาจมีนักศึกษากว่าครึ่งที่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ
เมื่อเข้าปีสอง นักศึกษาเกือบทุกคนก็กลายเป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว
จนกระทั่งปีสามปีสี่ มีผู้จบการศึกษาด้วยขั้นสองมากมาย จบการศึกษาด้วยขั้นสามก็ไม่ได้หายาก ที่หายากเป็นพิเศษคือคนที่จบการศึกษาด้วยขั้นสี่
พวกเขาคุยกันอยู่พักนึงก่อนที่ถานเทาจะถามความเห็น “อยากชวนพวกอู๋จื้อเห่าออกมากินข้าวด้วยกันไหม?”
“เราแทบไม่มีวันหยุด รอบนี้ทุกคนกลับมาบ้านกัน ไหนๆนายก็เป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว เราจะได้ถือว่าเป็นการฉลองให้นายด้วยไง”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ จะนัดเจอกันก็เจอกัน ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องฉลองหรอก”
ฟางผิงยิ้มและไม่ได้ปฏิเสธความคิด เขาโทรหาพวกอู๋จื้อเห่าทันที และตกลงนัดกันช่วงบ่าย
…..
หลังพูดคุยกับพี่น้องถานสักครู่ ฟางผิงก็ลงไปชั้นล่าง
ยังไงฟางหมิงหรงก็เป็นแค่คนธรรมดา ก่อนหน้านี้เขาเป็นชนชั้นล่างสุดของสังคม ดังนั้นแค่คุยกับถานเจิ้นผิงสักครู่ก็ทำให้เขาไม่สบายใจแล้ว
เมื่อเห็นลูกชายลงมาชั้นล่าง ฟางหมิงหรงก็พูดอย่างเร่งรีบ “ผู้อำนวยการ อาการติดบุหรี่ผมกลับมาอีกแล้ว ผมขอตัวไปสูบบุหรี่ก่อน ผมจะให้ฟางผิงคุยกับท่านแทน ผิงผิงมาคุยกับผู้อำนวยการถานสิ…”
ฟางผิงขานรับ ส่วนถานเจิ้นผิงก็ยิ้่มและพยักหน้า
เมื่อฟางหมิงหรงออกไป ฟางผิงก็นั่งตรงข้ามถานเจิ้นผิง เขายิ้มแล้วกล่าว “ลุงถาน ครั้งนี้ผมต้องขอขอบคุณจริงๆที่ช่วยดูแล”
“มันเป็นสิ่งที่ลุงควรทำอยู่แล้ว” “แล้วที่มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้ เธอเป็นไงบ้างล่ะ?”
“ก็ค่อนข้างดี อาจารย์ผมเป็นขั้นหกสูงสุด แถมเธอยังมีศิษย์ไม่มาก ผมเลยได้รับการดูแลอย่างดี…”
“ขั้นหกสูงสุด!”
ถานเจิ้นผิงสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ ทั้งชีวิตเขายังไม่เคยเห็นผู้ฝึกยุทธขั้นหกเลย!
ผู้สำเร็จราชการจางแห่งหนานเจียงเป็นขั้นหกสูงสุด แต่บุคคลสำคัญแบบนี้ไม่ใช่คนที่เขาจะพบเจอได้
ตอนนี้เขารู้ว่าอาจารย์ของฟางผิงเป็นขั้นหกสูงสุด เขาจึงอดประหลาดใจไม่ได้
นักศึกษาโม๋อู่เป็นแบบนี้เหรอ?
ที่จริงตลอดหลายปีมานี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีนักเรียนจากเมืองหยางเฉิงเข้าสองมหาลัยดังได้ แต่คนเหล่านั้นมีอันดับค่อนข้างต่ำ
เมื่อพวกเขาคัดเลือกอาจารย์ เกือบทุกคนมีอาจารย์เป็นขั้นสี่ เมื่อพวกเขาจบการศึกษา ส่วนใหญ่จะเป็นขั้นสอง บางคนก็ขั้นหนึ่ง ส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ในมหานคร
ตอนนี้อาจารย์ของฟางผิงเป็นขั้นหก มันหมายความว่าแม้แต่ในโม๋อู่ ฟางผิงก็ถือว่าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุด
อย่างแรกเลยพวกเขามีหวังจินหยาง ต่อมาก็มีฟางผิง นักศึกษาของเมืองหยางเฉิงสองปีมานี้โดดเด่นจนน่าตกใจ
หลังคุยกันอยู่สักพัก ถานเจิ้นผิงก็เข้าเรื่อง “ฟางผิง คือแบบนี้ ปีนี้ทางเมืองเตรียมการปฏิรูปการศึกษา เธอก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เราถูกวิพากษ์วิจารณ์ที่เมืองรุ่ยหยาง”
“ในมณฑล พวกเขาเพิ่มข้อกำหนดของแต่ละเมืองในปีนี้ ดังนั้นกระทรวงศึกษาจึงพึ่งออกแผนปฏิรูป”
“เธอเป็นนักเรียนที่โดดเด่นที่สุดจากผู้เข้าสอบวิชายุทธรอบก่อน ดังนั้นเราเลยหวังว่าจะใช้เธอเป็นตัวประชาสัมพันธ์ในเมือง เพื่อให้มีครอบครัวจำนวนมากขึ้นมาสมัครวิชายุทธ”
“เธอก็รู้ว่าสำหรับบางครอบครัว ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีเงินหมื่นหยวน พวกเขาแค่คิดว่ามันไม่คุ้ม เพราะงั้นจำนวนนักเรียนที่ลงสมัครวิชายุทธทุกๆปีจึงมีไม่มาก”
“แถมเธอยังมาจากครอบครัวฐานะธรรมดาๆด้วย เราหวังจะใช้เธอเป็นตัวอย่าง…”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ฟางผิงโบกมือแล้วกล่าว “ลุงถาน อย่าใช้กรณีของผมเป็นตัวอย่างไปโฆษณาเลย มันไม่ดี”
“ผมไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ ผมมีโอกาสของผม”
“บังคับให้คนอื่นมีความหวัง แล้วสุดท้ายเกิดความหวังของพวกเขาถูกทำลาย พวกเขาอาจผิดหวังหนัก”
“นอกจากนี้เรื่องของผม เก็บเงียบไว้ดีกว่า รวมเรื่องของพี่หวังด้วย”
ถานเจิ้นผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ฟางผิงหยุดคิดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “รุ่นพี่หวังมีศัตรูมากมาย บางคนอาจไม่เล่นตามกฏ เก็บเงียบไว้ดีที่สุด”
“ผมก็เหมือนกัน เมื่อวานผมพึ่งฆ่าผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดไปสองคน เก็บเรื่องพวกนี้ไว้เถอะ…”
“แค่กๆๆ…”
ถานเจิ้นผิงไออย่างแรง ‘ฉันหูฝาดไปใช่ไหม?’
ฟางผิงไม่ได้พูดอะไรมากเช่นกัน ‘ฉันไม่ได้ล้อเล่น ฉันแค่เตือนอย่างจริงจัง’
แม้ว่าข้อมูลนักศึกษาจะไม่ใช่ความลับ แต่มีปัญหาน้อยลงดีกว่า ถ้าข่าวหลุดไป มันอาจไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไร
ข้างนอกเหล่าหวังโด่งดังมาก แต่ในสายตาคนส่วนใหญ่ เขาเป็นคนถ่อมตนอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อเราบรรลุระดับปรมาจารย์เท่านั้น เราถึงไม่ต้องกลัวใคร และคนอื่นจะไม่กล้าคิดถึงเรื่องแก้แค้น เราจะทำตัวเด่นดังแค่ไหนก็ได้ ถานเจิ้นผิงมองฟางผิงครู่นึงก่อนจะถอนหายใจออกมาและไม่พูดเรื่องนี้อีก
เขาไม่ได้สงสัยว่าฟางผิงจะโกหก มันแค่ยอมรับได้ยากในทันที
สังหารผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดไปสองคน?
เขาเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุดเช่นกัน…ถ้าเป็นอย่างนั้น ถ้าเขาเผชิญหน้ากับฟางผิงตอนนี้ เขาก็จะถูกฆ่าใช่ไหม?
อันที่จริงถานเจิ้นผิงประเมิณตนเองสูงไป ฟางผิงจัดการผู้ฝึกยุทธที่มีดีแค่ปราณและเลือดอย่างเขาได้เป็นสิบคนพร้อมกัน แต่แน่นอนฟางผิงไม่ได้พูดออกมา มันจะทำให้เขาบอบช้ำเกินไป