World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 123 สรุปข้อมูล
การเลือกหัวหน้าคลาสจบลงอย่างรวดเร็วโดยไม่มีปัญหา
หลังฟางผิงจัดการจ้าวเหล่ย ผู้ที่ขัดเกลากระดูกมากที่สุดในชั้นปี เขาจึงกลางเป็นอันดับหนึ่งของคลาส นักศึกษาอีก 48 คนจึงไม่มีความเห็น
จ้าวเหล่ยยังคงแสร้งสลบอยู่บนพื้น
เขาจำเป็นต้องทำ! เขาต้องรักษาหน้าตัวเองไว้บ้าง
เขาแทบไม่มีพลังสวนกลับเลย แถมถูกอีกฝ่ายทุบตีฟกช้ำดำเขียว แม้ฟางผิงจะโจมตีเขาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ผลลัพธ์ก็พิสูจน์ความแข็งแกร่งของฟางผิงแล้ว
ที่จริงคนส่วนใหญ่รู้ว่าจ้าวเหล่ยแสร้งสลบ
พวกเขาแค่ไม่กล้าพอที่จะหัวเราะหรือเยาะเย้ยอย่างเปิดเผย นี่เป็นเพราะจ้าวเหล่ยยังไงก็ค่อนข้างแข็งแกร่งอยู่ดี ยิ่งกว่านั้นอาจารย์ของเขา ถังเฟิง ก็ยังอยู่ตรงนี้
ในเวลาเดียวกันฟางผิงไม่ได้สนใจ เขากระทั่งอ้างถึงคำพูดของถังเฟิงมาดูถูกอีกฝ่ายด้วย
เขาทำไปเพราะเขาไม่พอใจถังเฟิงเช่นกัน
อาจารย์ถังล่อเขาติดกับตอนเลือกอาจารย์ เขาพึ่งจะมาบอกว่าศิษย์ของหลู่เฟิ่งโหรวได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตสูงมาก หลังเขาเลือกหลู่เฟิ่งโหรวเป็นอาจารย์แล้ว
แน่นอน ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันเป็นเพราะศิษย์ของหลู่เฟิ่งโหรวทำตัวเอง การเสียชีวิตของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลู่เฟิ่งโหรวโดยตรง
ฟางผิงผู้ใจกว้างย่อมไม่พลาดโอกาสแก้แค้น แถมการกระทำของเขาไม่ส่งผลต่อภาพรวมด้วย
ยังไงการประลองกระชับมิตรนี้ก็ได้รับการอนุญาตจากถังเฟิง และฟางผิงก็ไม่ได้ทุบตีจ้าวเหล่ยจนบาดเจ็บหนัก
แน่นอนเหตุผลหลักก็คืออาจารย์เขาเหมือนจะไม่พอใจถังเฟิง เธอเลยจงใจเพ่งเป้าที่ศิษย์เขา
เมื่อมีอาจารย์หนุนหลัง ฟางผิงถึงกล้าทำตัวหน้าด้านแบบนี้
ถังเฟิงไม่ได้ใจแคบจนถึงขนาดสูญเสียความสงบ เขามองฟางผิงแวบนึงแล้วกล่าวโดยไม่ได้หันไปมองจ้าวเหล่ยเลยสักนิด “งั้นหัวหน้าคลาสคือฟางผิง ใครมีคำถามไหม?”
ไม่มีใครพูดอะไร
“เอาล่ะ จำนวนก็ครบแล้ว หลังจากนี้…จ้าวเหล่ย เดี๋ยวมาเอาตารางฝึกซ้อมด้วย”
ฟางผิงบอกว่าจะให้จ้าวเหล่ยทำธุระให้
ถังเฟิงไม่มีความคิดที่จะช่วยศิษย์ปัดความรับผิดชอบ ศิษย์เขาอ่อนแอกว่าอีกฝ่าย ตัวเขาเองก็อาจสอนบทเรียนให้จ้าวเหล่ยด้วยซ้ำ
เขาเคยเห็นความเย่อหยิ่งของจ้าวเหล่ยด้วยตนเอง
ศิษย์เขาจ้าวเหล่ยไม่ได้ใจกว้าง แต่ใจแคบก็ไม่ได้ผิด เขาไม่ชอบฟางผิง แต่เขาก็ไม่ได้จงใจต่อว่าฟางผิง มันแสดงให้เห็นว่าเขามีสุขุมอยู่บ้าง
หลังการพ่ายแพ้ครั้งนี้ เขาน่าจะดีขึ้น
บางครั้งลูกศิษย์ก็อาจไม่ฟังคำพูดของอาจารย์ อย่างไรก็ตามพวกเขาจะได้เรียนรู้หลังพ่ายแพ้ต่อหน้าทุกคน
แน่นอนถ้าเขายังเป็นเหมือนเดิม มันก็แปลว่าเขายังเด็ก ถังเฟิงจะเลิกจริงจังกับศิษย์คนนั้น
เขาพูดต่อโดยไม่รอให้จ้าวเหล่ยตอบ “การฝึกจะเริ่มพรุ่งนี้ คาบเรียนปกติจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะการฝึกส่วนใหญ่จะเป็นช่วงกลางคืนและวันหยุด”
“ส่วนกำหนดการจะประกาศวันพรุ่งนี้ แยกย้ายได้”
ฝูงชนเริ่มแยกย้ายกันไปเป็นกลุ่มๆ อย่างไรก็ตามหลายคนยังอยู่ที่เดิม เพราะพวกเขาอยากเห็นว่าจ้าวเหล่ยจะแสร้งสลบต่อไหม
จ้าวเหล่ยหยุดเสแสร้ง เขาลุกขึ้นทันทีหลังถังเฟิงประกาศแยกย้าย
จ้าวเหล่ยเงยหน้าขึ้นมองฟางผิงด้วยใบหน้าเปรอะเปื้อนด้วยคราบเลือดคราบน้ำตา เขากัดฟันกรอดๆอย่างขุ่นเคือง “ครั้งนี้ฉันยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เราจะได้เห็นดีกัน! มหาลัยพึ่งเปิดเทอม!”
ฟางผิงยิ้มมุมปาก “ฉันจะรอการแก้แค้นของนาย…ตราบใดที่นายไม่ฟ้องพ่อก็พอ”
“เลิกยั่วโมโหฉันได้แล้ว! พ่อฉันไม่ได้หน้าด้านขนาดนั้น!”
จ้าวเหล่ยส่งเสียงฮึดฮัด บ้าเอ้ย!
ยังเจ็บจมูกอยู่เลย!
หลังแสดงความไม่พอใจ สีหน้าของจ้าวเหล่ยก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้มอีกครั้ง
“ร้องไห้อีกแล้ว…ฉันรู้สึกเหมือนกำลังแกล้งเด็กยังไงก็ไม่รู้”
ฟางผิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินออกห้องไปในทันที ไม่สนใจอีกฝ่ายอีก
นั่นเป็นสิ่งที่เขาคิด กลับกันจ้าวเหล่ยแทบบ้า
‘ใครร้องไห้กัน? แกต่อจมูกฉัน น้ำตาจะไม่ไหลได้ไง?’
…..
นอกอาคาร
ฟู่ชางติ่งหัวเราะหนักจนท้องขดท้องแข็ง เขากอดคอฟางผิง “นายโหดร้ายจริงๆ หน้าเขาบวมกว่าฉันรอบแล้วอีก ต่อให้พักเป็นอาทิตย์ก็คงไม่หายดี”
“ฉันทำเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ร้ายแรงกว่านี้”
ฟางผิงพูดด้วยสีหน้าจนใจ “เจ้าหมอนี่แค้นฉันมาตลอดเพราะคิดว่ารอบก่อนแพ้เพราะประมาท”
“หลังทำให้เขาสิ้นหวัง เขาน่าจะยอมรับโดยไม่ลังเลอีก”
เขาไม่ได้พูดเล่น คนอย่างจ้าวเหล่ย ถ้าไม่แพ้ เขาไม่ยอมหรอก
เห็นได้ชัดว่าจ้าวเหล่ยไม่พอใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนั้น
ความไม่พอใจค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นความขุ่นเคืองและความเกลียดชังซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่า
เนื่องจากฟางผิงจัดการจ้าวเหล่ยซะย่ำแย่จนเขาไม่กล้าพูดอะไร มันจึงไม่ต่างอะไรกับตัดไฟแต่ต้นลม
ขณะที่เขาพูด ฟางผิงก็หันไปมองข้างหลัง เขากล่าวเสียงดัง “พอเราเข้าคลาสฝึกพิเศษ เราจะมีโอกาสประลองกันบ่อยๆแน่นอน”
“ฉันจะแก้แค้นให้ทุกความแค้นทุกความไม่พอใจที่นายมีให้ต่อฉัน ฉันรู้นะว่าใครพูดจาลับหลังฉันบ้าง”
“ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายผู้หญิง ฉันจะลงมือก่อนแล้วค่อยพูด…”
“ไอ้บ้าเอ้ย!”
หยางเสี่ยวม่านสบถอยู่ข้างหลัง ‘พูดชื่อมาเลยก็ได้! จะมาถากถางฉันอ้อมๆไปทำไม?’
เฉินหยุนซีรั้งแขนเธอไว้ ‘คลาสฝึกพิเศษต้องมีการต่อสู้จริง อย่าไปยั่วยุชายคนนี้อีกเลย ไม่งั้นเธอจะถูกเขาทุบตีเอา!’
หยางเสี่ยวม่านเงียบอย่างไม่เต็มใจ
ฟู่ชางติ่งยกนิ้วโป้งให้ฟางผิง เขาพูดเขาๆ “เชี่ยเนียนมาก นายกำลังทำให้ความเกลียดชังแปรเปลี่ยนเป็นความรักงั้นเหรอ? ผู้หญิงทุกคนก็เป็นแบบนี้แหละ บางทีมันอาจได้ผลก็ได้”
“ไปไกลเลย!”
ฟางผิงสบถ ความคิดเจ้าหมอนี่สร้างสรรค์ดีเหลือเกิน!
เขาพูดจาหยอกล้อกับฟู่ชางติ่งสักครู่ก่อนจะเห็นหลู่เฟิ่งโหรวตรงหน้า เธอค่อยๆชะลอฝีเท้า ฟางผิงจึงรีบไปหาเธอทันที
…..
“ขอบคุณครับอาจารย์”
ฟางผิงรีบขอบคุณทันทีเมื่อตามเธอทัน 60 คะแนนนี้แทบได้มาฟรีๆ
นี่เป็นผลประโยชน์ที่หลู่เฟิ่งโหรวเปิดมาให้เขา ถ้าเธอไม่เข้ามาแทรกแซง ถังเฟิงคงไม่ทำแบบนี้แน่ เพราะเขาก็ไม่ได้เตรียมไว้
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ นายสู้มาได้ด้วยตนเอง”
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ยอมรับผลงาน เธอพูดขณะเดินไปด้วยกัน “ยิ่งนายมีทรัพยากรมากแค่ไหน นายก็จะก้าวหน้าเร็วขึ้น บางทีนายอาจตายเร็วขึ้นเช่นกัน”
“ดังนั้นไม่จำเป็นต้องมาขอบคุณฉันหรอก”
หลังจากนั้นหลู่เฟิ่งโหรวก็พูดต่อ “แต่นายต้องคว้าโอกาสได้รับทรัพยากรเพิ่ม เมื่อนายได้คะแนน นายก็เอาคะแนนไปแลกกับเม็ดยาที่ช่วยยกระดับความแข็งแกร่งของตนเอง”
“หืม?”
ฟางผิงดูงงงวย ไม่เห็นเหมือนกับที่หลู่เฟิ่งโหรวพูดไว้ก่อนหน้านี้เลย เธอบอกเขาว่าลูกศิษย์ของเธอไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ
หลู่เฟิ่งโหรวกล่าวอย่างเฉยเมย “โม๋อู่อาจแพ้ในงานประลองระดับประเทศ ถ้าเราแพ้ ทรัพยากรจะไม่พอใช้”
“พอถึงตอนนั้น คงพัฒนาตนเองได้ยากแล้ว”
“โม๋อู่จะแพ้?”
ฟางผิงไม่อยากจะเชื่อเลย คลาสฝึกพิเศษพึ่งเริ่มแท้ๆ แต่อาจารย์ของเขาคิดถึงโอกาสแพ้แล้ว
“ฉันพึ่งรู้มาไม่นาน เร็วๆนี้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง มันเป็นหนึ่งในเหตุผลด้วยที่ทำไมมหาลัยทั่วไปถึงก่อความวุ่นวายและเรียกร้องขอทรัพยากรเพิ่ม”
“การเปลี่ยนแปลง?”
“ใช่ นายอาจทราบเรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็ว”
“สรุปก็คือ ทุกคนต่างก็อยากแข็งแกร่งขึ้น เพื่อแย่งชิงทรัพยากรเพิ่ม ทางพันธมิตรมหาลัยวิชายุทธจะยอมลงมืออย่างโหดร้าย”
“เมื่อนักศึกษาเข้าขั้นหนึ่ง ทางมหาลัยอาจจัดให้พวกเขาไปทำภารกิจ เป็นภารกิจเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ถ้าการฝึกฝนไม่เป็นประโยชน์คงไม่เรียกว่าการฝึกฝนแล้ว”
“เราจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดจาก อย่างแรกเลย เพื่อคว้าแชมป์และรับทรัพยากรเพิ่ม”
“สอง เพื่อเตรียมตัวรับมือกับอันตรายข้างหน้า!”
“ฉันไม่รู้ว่านายเคยได้ยินไหม ก่อนหน้านี้มหาลัยวิชายุทธเทียนหนานประสบความสูญเสียอย่างหนัก ตอนนี้สถานการณ์เลวร้ายลง มันเกิดขึ้นกับในหลายมณฑล”
“เพราะงั้นทุกคนถึงพยายามเต็มที่เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งตนเอง”
“ในอดีต คนอ่อนแอสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”
“ตอนนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน คนอ่อนแอจะไม่มีสิทธิ์แย่งชิงทรัพยากร!”
“มุ่งเน้นฝึกฝนกลุ่มผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะแก้วิกฤตได้”
“เพราะงั้นฉันถึงบอกให้นายต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรให้มากขึ้น แน่นอนนายไม่ต้องสนใจคำพูดของฉันก็ได้ถ้านายไม่ใฝ่หาวิชายุทธอีก นายสามารถก้าวเป็นขั้นสองขั้นสามเมื่อจบการศึกษาแล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”
หลู่เฟิ่งโหรวสรุปทุกอย่างอย่างรวบรัดก่อนจะส่ายหน้าแล้วกล่าว “ตอนนี้มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีเพียงผู้ฝึกยุทธขั้นสามขึ้นไปเท่านั้นที่มีสิทธิ์ทราบเรื่องนี้”
“บางทีในอนาคตผู้ฝึกยุทธขั้นสองหรือแม้แต่ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
“ไม่กี่ปีมานี้ มันเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่เคย”
ฟางผิงไม่รู้ว่าคำพูดของเธอมุ่งตรงมาที่เขาหรือเธอกำลังพูดกับตัวเองกันแน่
สำหรับฟางผิง เขาเข้าใจเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเขารู้สึกถึงความตึงเครียดผ่านคำพูดของเธอ
ทั้งสองเดินด้วยกันสักพักก่อนที่หลู่เฟิ่งโหรวจะโบกมือไล่ “กลับไปก่อนไป ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันจะแจ้งนายเอง ยังไงนายก็เป็นศิษย์ฉัน”
“อืม งั้นผมขอตัวก่อนนะครับอาจารย์”
“อืม”
หลังฟางผิงเดินจากไป หลู่เฟิ่งโหรวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
มหาลัยวิชายุทธทั่วๆไปเคยประท้วงมาก่อน แต่ไม่ได้รุนแรงนัก ครั้งนี้พวกเขาเล่นใหญ่มาก แถมยังมีท่าทีว่าจะไม่ยอมถอย
หลู่เฟิ่งโหรวไม่สนใจ และขี้เกียจเกินกว่าจะมาสนใจ
หลู่เฟิ่งโหรวรู้ว่าปัญหามันซับซ้อนยิ่งกว่าที่เธอคิดไว้มาก
นับตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวในเทียนหนาน ทางเข้าถ้ำใต้ดินทุกแห่งในประเทศก็เกิดสัญญาณแปลกๆ มันเป็นสัญญาณของปัญหาในอนาคต
มหาลัยวิชายบุทธที่ปกป้องถ้ำใต้ดินไม่อาจนั่งนิ่งเผชิญกับภัยพิบัติได้ พวกเขาเริ่มแย่งชิงทรัพยากรจำนวนมากเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งเตรียมรับมือกับภัยพิบัติที่กำลังเกิดขึ้น
จากนั้น งานประลองระดับประเทศก็เกิดขึ้นมา
ก่อนหน้านี้สัญญาณแปลกๆไม่ค่อยเด่นชัดในเซี่ยงไฮ้ แต่ช่วงนี้เริ่มเด่นชัดแล้ว
ลูกศิษย์ของเธอบางคนที่อยู่ข้างนอกได้รับบาดเจ็บสาหัส มีคนนึงถึงกับเกือบตาย หลู่เฟิ่งโหรวได้ยินเรื่องแปลกๆจากพวกเขามา
พวกคนอย่างหวังจินหยางและฉินเฟิ่งชิงอยากได้ทรัพยากรมากมายก็เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน
หลู่เฟิ่งโหรวไม่รู้ว่านี่เป็นสัญญาณไหม แต่เธอก็รู้ถึงวิกฤต Aileen-novel
เธอบอกทุกอย่างกับฟางผิงด้วยอารมณ์หลากหลายเช่นกัน
นักศึกษาธรรมดา โดยเฉพาะปีหนึ่งจะปลอดภัยจากทุกสิ่ง
กลับกันฟางผิงมีโอกาสสูงมากที่จะรู้เรื่องถ้ำใต้ดิน ดังนั้นเขาต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับกองกำลังป้องกัน
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ภารกิจต่างๆจะรับได้โดยอิสระ ทำภารกิจด้วยความสมัครใจ
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ จะสมัครใจได้อย่างไร?
ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องเข้าร่วมกับกองกำลัง นั่นเป็นหน้าที่ของผู้แข็งแกร่ง!
แน่นอนฟางผิงไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากเขาเป็นเพียงเบี้ยตัวเล็กๆ สุดท้ายเธอต้องได้ออกจากมหาลัยแล้ว
เธอใช้ชีวิตสบายๆมานานเกินไป มันนานจนเธอเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
ทางมหาลัยจัดหาทรัพยากรจำนวนมากให้ผู้ฝึกยุทธขั้นห้าขั้นหก ในเวลาแบบนี้ พวกเขาจะเฝ้าดูอยู่เฉยๆได้อย่างไร? แม้แต่ปรมาจารย์ก็เหมือนกัน
…..
ผู้ฝึกยุทธขั้นกลางทุกคนรู้สึกตึงเครียด
ผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำ นอกจากผู้ฝึกยุทธขั้นสามที่กำลังทำภารกิจ คนอื่นๆไม่รู้อะไรเลย
หลู่เฟิ่งโหรวคุยเรื่องนี้กับฟางผิง แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจเพราะขาดข้อมูล
แต่เขารู้อะไรบางอย่างอยู่บ้าง นั่นก็คือเขาต้องเพิ่มความแข็งแกร่ง และเพิ่มให้เร็วด้วย
หลังกลับมาที่ห้อง ฟางผิงก็ขัดเกลากระดูกต่อ ทิ้งความพึงพอใจที่ได้ทุบตีคนอื่นทิ้งไป
…..
คืนก่อนคลาสฝึกพิเศษจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ฟางผิงรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากพื้นขณะที่กำลังฝึกฝนอยู่
โชคดีที่แรงสั่นสะเทือนหายไปอย่างรวดเร็ว อาจมีคนไม่มากนักที่สัมผัสได้
แต่ผู้ฝึกยุทธบางคนในโม๋อู่รู้สึกกระวนกระวาย
ผู้นำของโม๋อู่จัดประชุมข้ามคืน
คืนหลังการประชุมสิ้นสุดลง หวงจิง คณบดีสาขาศัสตราวุธได้ออกไปจากมหาลัย โดยมีอาจารย์ขั้นกลาง 30 คนตามไป
…..
วันถัดมา
ฟางผิงและคนอื่นๆไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติ พวกเขาใช้ชีวิตตามปกติเหมือนทุกวัน
มีไม่กี่คนที่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นคืนก่อน
ฟู่ชางติ่งสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนเช่นกัน เพราะตอนแผ่นดินไหวเขายังไม่ได้หลับ
เมื่อเขาพบกับฟางผิงตอนเช้า เขาก็เอ่ยถาม “เมื่อวานมีแผ่นดินไหวใช่ไหม?”
“นายก็รู้สึกเหรอ?”
“อืม เมื่อคืนฉันฝึกอยู่ ฉันเกือบหยุดแล้ว โชคดีที่มันสั่นแค่แปปเดียว บางทีมันอาจเป็นแผ่นดินไหวเล็กๆก็ได้”
ขณะที่ทั้งสองคุยกัน จ้าวเสวี่ยเหมยก็เดินมาหา “มันเป็นแผ่นดินไหว แต่ไม่รุนแรง มีประกาศในข่าวด้วย ไม่มีผู้เสียชีวิต ไม่มีข้าวของเสียหาย”
“ไม่ได้เกิดแค่เซี่ยงไฮ้ หลายมณฑลก็แผ่นดินไหวเหมือนกัน ช่วงนี้เกิดแผ่นดินไหวบ่อยมาก” ฟู่ชางติ่งพูด จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว “ดูเหมือนจะเป็นข่าวร้าย นับตั้งแต่เทียนหนาน หลายมณฑลก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้นเช่นกัน ฉันจำได้ว่าปู่ฉันกังวลกับเรื่องนี้มาก…”
จ้าวเสวี่ยเหมยสีหน้าเปลี่ยนไปแวบนึงก่อนจะกล่าวเบาๆ “มันอาจไม่ใช่ก็ได้ อย่าคิดมากไป ตอนนี้เพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองสำคัญสุด”
“นั่นก็จริง รอจนกว่าเราเป็นปรมาจารย์ ต่อให้แผ่นดินไหวร้ายแรง เราก็ไม่ได้รับผลกระทบ”
ฟู่ชางติ่งหัวเราะและไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก
พวกเขาเลิกคุยเรื่องนี้ แต่ฟางผิงเก็บไปคิดจริงจัง
‘หลังแผ่นดินไหวที่เทียนหนาน นักศึกษาชั้นยอดของเทียนหนานหลายคนเสียชีวิตไป’
‘เมื่อวานอาจารย์ฉันก็บอกว่าเร็วๆนี้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง…’
‘แผ่นดินไหวเริ่มเกิดขึ้นบ่อย แม้มันจะไม่สร้างความเสียหาย แต่มันก็ไม่ค่อยถูกต้อง ชีวิตก่อนไม่เห็นมีอะไรแบบนี้เลย’
‘ทุกครั้งที่มีแผ่นดินไหว ปรมาจารย์จะเคลื่อนไหวอย่างไม่ปกติ พวกเขามักปรากฏตัวบริเวณใกล้เคียงกับจุดเกิดแผ่นดินไหว’
‘ปรมาจารย์ใจดีขนาดนั้นเลย?’
‘อาจารย์ก็พูดขัดแย้งแปลกๆ เธอบอกให้เราไม่ต้องรีบและสนุกกับชีวิตสักสองสามปี แต่ตอนนี้เธอบอกให้เราหาทรัพยากรให้มากขึ้นและเพิ่้มความแข็งแกร่งของตนเอง’
‘…’
ชิ้นส่วนข้อมูลปรากฏขึ้นในใจฟางผิง ไม่นานมันก็ปะติปะต่อเผยให้เห็นถึงข้อมูลใหม่
‘แผ่นดินไหวเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธ บางทีแผ่นดินไหวอาจเป็นสัญญาณของอันตราย’
ฟางผิงขมวดคิ้วมุ่น แล้วแผ่นดินไหวในเซี่ยงไฮ้หมายถึงอะไร?
เซี่ยงไฮ้ตกอยู่ในอันตราย?
นอกจากนี้หวังจินหยางกับฉินเฟิ่งชิงก็หายตัวไปนับตั้งแต่ออกไปทำภารกิจ มันเกี่ยวข้องกันเหรอ?
โทรศัพท์ของพวกเขาโทรไม่ติด เพราะพวกเขาอยู่นอกเขตพื้นที่ให้บริการ
‘ฉันขาดข้อมูลที่จำเป็นเพราะฉันอ่อนแอใช่ไหม?’
ฟางผิงถอนหายใจเบาๆ ตอนนี้จะคิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เขาต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด
‘ฉันไม่ควรประหยัดค่าทรัพย์สิน ถ้าจำเป็นฉันก็ต้องใช้’
‘ฉันต้องขยายบริษัทให้เร็วที่สุด ฉันจะทุ่มเงินทั้ง 9 ล้านลงไปเพื่อเพิ่มค่าทรัพย์สิน’
‘บางทีฉันอาจลองรับภารกิจดู…’
ความคิดมากมายแวบเข้ามาในใจ แต่สองเท้าก็ก้าวไปยังอาคารเรียนพร้อมกับทุกคน
วันนี้ฟางผิงพบว่ามีอาจารย์หลายคนขอลาหยุด อย่างน้อยที่สุดอาจารย์สอนวิชายุทธพื้นฐานสองคนที่สอนปกติได้ขอลาหยุดไป