World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 130.1 อัพเกรดระบบ (1)
ฟางผิงอยู่ห้องเก็บศพมากกว่าหนึ่งชั่วโมง
มีคนเสียชีวิตระหว่างนั้น เขาจึงออกไปช่วยยกศพมาแล้วครั้งนึง แต่ขั้นตอนการเก็บศพก็เป็นไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พวกเสี่ยวจ้าวมองเขาด้วยความสงสัย เด็กใหม่คนนี้ทำได้ดีทีเดียว เขาเคยเห็นเลือดมาก่อนงั้นเหรอ?
…..
เมื่อถึงเวลามื้อเที่ยง ในที่สุดจ้าวเสวี่ยเหมยก็ทนไม่ไหวอาเจียนออกมา!
ตอนเที่ยง หลู่เฟิ่งโหรวชวนพวกเขามาทานอาหาร ทุกจานเป็นสเต็กที่เต็มไปด้วยเลือด!
“หลังอาเจียนสักพักแล้วเธอจะชิน”
หลู่เฟิ่งโหรวไม่สนใจ เธอพูดอย่างใจเย็น “ในถ้ำใต้ดิน เธอก่อไฟไม่ได้ เธอได้แต่กินอาหารแห้งหรืออาหารสด”
“แน่นอน ถ้าเธอมีแร่พลังงาน เธอก็จะทำอาหารได้”
“แต่จะมีโอกาสได้มาไหมก็อีกเรื่อง”
“นอกจากนี้ เพราะมันหายาก เอาแร่พลังงานไปแลกเปลี่ยนกับเม็ดยาดีกว่า ใช้ทำอาหารสิ้นเปลืองเกินไป”
“อนาคตเธอต้องชินกับสถานการณ์แบบนี้”
พอพูดจบ เธอก็หันมามองฟางผิง “นายคิดยังไง?”
“ผู้ฝึกยุทธไม่ได้รุ่งโรจน์เหมือนอย่างที่คนธรรมดาคิด”
“ถูกต้อง ผู้ฝึกยุทธอาจได้สิทธิพิเศษ แต่เราก็ตายไวเช่นกัน”
“ผู้ฝึกยุทธทั่วไปดีกว่าหน่อย แต่ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น อนาคตอาจไม่เหมือนเดิม”
“ใช่แล้ว”
“นายเคยคิดถึงสนามประลองเป็นตายไหม?”
หลู่เฟิ่งโหรวเปิดปากพูด “สนามประลองเป็นตายจะทำให้นายมีประสบการณ์ต่อสู้เพิ่ม รวมถึงทำให้นายสัมผัสกับช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย”
“แน่นอนไม่ได้บังคับ มันแล้วแต่นาย”
“ผมขอคิดก่อน…”
“อาจารย์ หนูอยากทำ!” จ้าวเสวี่ยเหมยที่กำลังอาเจียนอยู่พลันพูดขึ้นมา!
หลู่เฟิ่งโหรวขมวดคิ้วและพูดเสียงเบา “เธออ่อนแอเกินไป”
“หนูไม่ได้อ่อนแอ! หนูขัดเกลากระดูก 40 ชิ้นแล้ว แถมยังบรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธด้วยปราณและเลือด 169แคล หนูเรียนวิชาต่อสู้ จวงกงหนูก็กำลังจะถึงขั้นหนักแน่น หนูสำเร็จท่าเท้าทะลวงบ้างแล้วด้วย”
“หนูไม่คิดว่าหนูอ่อนแอ!”
“อย่างน้อยหนูก็ไม่กลัวพวกคนที่อยู่บนสังเวียนวันนี้!”
“ไม่ต้องรีบร้อน เธอไปรับภารกิจทำก่อนก็ได้หรือจะขึ้นประลองเวทีปกติก่อน ถ้าเธออยากมีประสบการณ์ความเป็นความตาย เธอต้องรอจนกว่าจะมีประสบการณ์ก่อน”
“เธอยังเด็กเกินไป ยังไม่บรรลุนิติภาวะ”
มันไม่เหมือนกับการปล่อยให้ฟางผิงร่วมการประลองเป็นตาย ในกรณีของจ้าวเสวี่ยเหมย หลู่เฟิ่งโหรวยืนยันหนักแน่นให้เธอรอก่อน
“ตอนนี้หนูรับภารกิจได้แล้วใช่ไหม?”
“อืม รับได้แล้ว”
“เยี่ยม!” จ้าวเสวี่ยเหมยดีใจจนลืมความรู้สึกขยะแขยงเมื่อกี้ไปจนหมด
ฟางผิงมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ ‘ผู้หญิงคนนี้ทำอะไร?’
อย่างไรก็ตามจ้าวเสวี่ยเหมยไม่ได้มองเขาสักนิด หลังคิดเล็กน้อย เธอก็กัดฟันกินสเต็กชุ่มเลือด เมื่อเธอทานเข้าไป สีหน้าเธอก็ซีดขาว
หลังกินไปได้สักพัก จ้าวเสวี่ยเหมยก็ซีดเซียวยิ่งขึ้น “หนูจะไปห้องน้ำ!”
พูดจบเธอก็รีบวิ่งออกไป
“เลิกมองได้แล้ว เธอกำลังแสวงหาความแข็งแกร่ง มันเป็นเรื่องธรรมดา” หลู่เฟิ่งโหรวกล่าว
“พ่อของเธอที่เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสี่เสียชีวิตในการต่อสู้ที่ถ้ำใต้ดินเทียนหนาน”
“พวกเขามีบริษัทที่บ้าน และมันไม่ใช่เล็กๆ พ่อของเธอตาย จึงมีหลายคนเพ่งเล็ง”
“ถ้าไม่มีความแข็งแกร่ง เธอก็ต้องสละมันไป”
“ตอนนี้เธอเป็นนักศึกษามหาลัยวิชายุทธ มันยังไม่เป็นไร บวกกับฉันเป็นอาจารย์ของเธอ เธอยังประคองมันไว้ได้”
“อย่างไรก็ตามถ้าเธอจบการศึกษาแล้ว แต่ไม่ถึงขั้นสี่ เธอจะปกป้องมันได้อย่างไร?”
“ถ้าเธอเสียบริษัทไป แม้ว่าเธอจะได้เงินเล็กน้อยจากบริษัท นายคิดว่าเธอจะพอใจเหรอ?”
“มีแรงจูงใจเป็นเรื่องดี ไม่เหมือนนาย…”
“อาจารย์ ผมก็มีแรงจูงใจนะ ผมอยากแข็งแกร่งและร่ำรวย ผมอยากให้ครอบครัวผมมีชีวิตที่ดีขึ้น” ฟางผิงบ่น
“นายเรียกมันว่าแรงจูงใจงั้นเหรอ? อย่างน้อยนายกลัวตายก็เป็นเรื่องดีอยู่”
“ความกลัวตายของนายอาจถือเป็นแรงกดดัน” หลู่เฟิ่งโหรวพูดติดตลก
ฟางผิงหน้าเสีย
‘หยั่งกับคุณไม่กลัวตายอย่างนั้นแหละ!’
“ช่วงบ่ายไปดูการต่อสู้ต่อ คราวนี้ไม่ได้ดูฉากนองเลือด แต่เป็นเรียนรู้ เรียนรู้ความโหดร้ายของผู้ฝึกยุทธของสังคม เรียนรู้การจู่โจมฉับพลันของพวกเขา และเรียนรู้เจตจำนงความต้องการมีชีวิตของพวกเขา”
“หลังดูประลองวันนี้ พรุ่งนี้นายไปเข้าร่วมสังเวียนปกติเป็นไง?”
“สังเวียนปกติมีคนตายไหม?”Aileen-novel
“ขึ้นอยู่กับดวง ส่วนใหญ่บาดเจ็บ หายากที่จะมีคนตาย ไม่เหมือนกับสังเวียนเป็นตายที่ไม่มีคนตายจะเป็นเรื่องแปลก”
“ผม…งั้นผมจะลองดู”
ฟางผิงถอนหายใจ เขาไม่อาจหลบเลี่ยงการต่อสู้ไปได้ ยังดีความปลอดภัยของสังเวียนปกติทำให้เขาอุ่นใจ ถ้าเขาไม่กล้าขึ้นสังเวียน งั้นมันคงเสียทีที่ฝึกฝนวรยุทธแล้ว
…..
ช่วงบ่าย ฟางผิงกับจ้าวเสวี่ยเหมยกำลังดูการประลองอย่างตั้งใจ ให้ความสนใจกับการประมือกันอย่างยิ่ง
ฟางผิงค้นพบว่าผู้ฝึกยุทธที่ขึ้นสังเวียนเป็นตายอาจมีปราณและเลือดไม่สูง ขัดเกลากระดูกไม่เท่าไหร่ แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่อ่อนแอ
มีหลายครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะถูกทุบตีจนเละ แต่พวกเขาก็ยังโต้กลับได้
พวกเขาต่างจากคู่ต่อสู้ของฟางผิงตอนที่อยู่มหาลัย ผู้ฝึกยุทธพวกนี้ดุร้ายกว่าหน่อย
ด้วยเหตุนี้ ฟางผิงจึงสรุปได้ว่าสังคมผู้ฝึกยุทธนั้นแตกต่างกันออกไป
คนอย่างถานเจิ้นผิงและพวกเป็นผู้ฝึกยุทธทั่วไปที่เรียบง่าย แต่ก็มีสังคมผู้ฝึกยุทธที่อยากทะลวงขอบเขตที่สูงขึ้นและก้าวสู่เส้นทางยุทธที่สูงขึ้น!
พวกเขาไม่ได้มีทรัพยากรของมหาลัยวิชายุทธ ไม่มีการสนับสนุนของรัฐบาล ไม่มีความสามารถในการทำธุรกิจหารายได้
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกเขาถึงลงเอยด้วยการมาสู้กันในลานประลองใต้ดิน
การเข้าร่วมสังเวียนประลองเป็นตาย ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งจะได้รับเงินการันตี 200,000 หยวน ส่วนการเดิมพัน จะเดิมพันเท่าไหร่ก็ได้
ส่วนการแสร้งแพ้ ถ้าไม่กลัวตายไม่ว่าใครก็ลองได้ ถ้าเดิมพันให้คู่ต่อสู้ของตนเองชนะ งั้นมันก็เหมือนพาตัวเองไปเสี่ยงตาย
ดังนั้นเมื่อผู้ฝึกยุทธขึ้นบนเวที ปกติพวกเขาจึงเดิมพันข้างตัวเอง
ถ้าพวกเขาตายไป ปัญหาทั้งหมดก็จะตายตามพวกเขาไปด้วย ถ้าพวกเขาชนะ พวกเขาก็จะทำเงินได้มากมาย มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะทำเงินได้ 5-6 แสนหยวนต่อการต่อสู้ครั้งนึง
‘คุณก็แค่พาเหล่าหวังมาขึ้นสังเวียน ถ้าเขาแพ้ งั้นก็ปล่อยไป แต่ถ้าเขาชนะ งั้นคุณก็จะได้เงินเป็นล่ำเป็นสัน’ ฟางผิงพึมพำกับตัวเอง
ยังไงเสียชายคนนี้ก็เหมือนสูตรโกง แต่เขาไม่รู้เลยว่าเหล่าหวังเคยต่อสู้บนสังเวียนแบบนี้มาก่อน
แน่นอนผลที่ได้คือหลังเขาประลองได้ไม่กี่รอบ หนานเจียงมีขนาดเล็ก พวกเขาจึงไม่ยอมให้เขาเข้าร่วมอีก
พวกเขาไม่เหมือนเซี่ยงไฮ้ที่มีผู้ฝึกยุทธมากมาย ต่อให้มีคนไม่กี่คนตายไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
ในหนานเจียง การตายของผู้ฝึกยุทธขั้นสามจะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่
…..
สิ้นเดือน ฟางผิงกับพวกก็มาที่เดิมอีกครั้ง
ครั้งนี้ เถ้าแก่ของที่นี่ออกมาทักทายพวกเขาตั้งแต่เนิ่นๆ
หลู่เฟิ่งโหรวพูดลวกๆ “จัดการประลองปกติของผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง
“ความแข็งแกร่งของท่านนี้…”
“ขัดเกลากระดูก 40 ชิ้น”
ชายแข็งแกร่งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ช่องว่างใหญ่แบบนี้ มันอาจเสี่ยงไปบ้าง”
“ถ้าเขาตายอยู่ตรงนี้ เขาก็สมควรแล้ว”
“ตกลง รอสักครู่ครับ ผมจะให้คนมาจัดการทันที”
ชายแข็งแกร่งตอบแล้วหันมามองฟางผิง “สังเวียนปกติค่อนข้างปลอดภัย ปกติแล้วผู้คนจะไม่ฆ่าใครโดยเจตนาหากรั้งมือไว้ได้ ผมหวังว่าคุณจะรั้งมือด้วยเหมือนกัน”
“ผู้คนร่วมสังเวียนปกติแทนที่จะเป็นสังเวียนเป็นตายเพราะพวกเขาไม่อยากบาดเจ็บสาหัส”
ฟางผิงพยักหน้า ส่วนหลู่เฟิ่งโหรวก็กล่าว “อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระ จะดีที่สุดถ้านายไม่ฆ่าใคร แต่อย่าคิดรั้งมือ ไม่งั้นพอนายตายก็อย่าโทษคนอื่น”
ฟางผิงพยักหน้าอีกครั้งแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่ คุณให้รางวัลยังไง?”
“ห้าหมื่นต่อรอบ”
“ต่ำขนาดนั้นเลย?”
“ครับ คุณเดิมพันตัวเองชนะก็ได้ คุณขัดเกลากระดูก 40 ชิ้น อีกฝ่ายเป็นขั้นหนึ่งสูงสุด อัตราต่อรองเป็นอย่างน้อย 1 ต่อ 3”
“ผมเดิมพันสักล้านได้ใช่ไหม?”
“แน่นอน!”
เถ้าแก่ตอบโดยไม่ลังเล หนึ่งล้านคืออะไร?
ค่าตั๋ววันนึงก็เป็นจำนวนเงินมากกว่านั้นแล้ว สำหรับผู้ฝึกยุทธ เงินล้านไม่มีค่าเลย
ส่วนเรื่องที่ฟางผิงไปเอาความมั่นใจมาจากไหน มันเป็นเรื่องปกติของนักศึกษามหาลัยวิชายุทธ แต่เมื่อพวกเขาขึ้นสังเวียน พวกเขาอาจไม่เหลือความมั่นใจแบบนั้นอีก
…..
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
พวกฟางผิงมาถึงสังเวียนที่ต่างจากสังเวียนเมื่อวาน
ก่อนที่จะขึ้นเวที หลู่เฟิ่งโหรวครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา “นายยอมแพ้ในการประลองปกติได้ แต่ถ้าเป็นสังเวียนเป็นตาย มันไร้ประโยชน์ นอกจากคู่ต่อสู้จะไม่อยากฆ่านาย นั่นเป็นความแตกต่าง เข้าใจไหม?”
“ครับ”
“ฉันเดิมพันข้างนายห้าล้าน ถ้านายแพ้ นายต้องชดใช้ให้ฉัน”
ฟางผิงมุมปากกระตุก ‘เพื่อ?’
จ้าวเสวี่ยเหมยกล่าวอย่างระมัดระวัง “ฉันก็เดิมพันข้างนายหนึ่งล้านด้วยเหมือนกัน…”
สีหน้าของฟางผิงอึมครึมราวกับก้อนเหล็ก ‘ฉันเดิมพันแค่ล้านเดียว พวกคุณใจปล้ำเกินไปไหม’
แพ้ชนะในสังเวียนปกติไม่แน่นอนมาก เพราะมันไม่ใช่การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย สังเวียนนี้เป็นเรื่องปกติที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ มันยากที่จะคาดเดาว่าใครเป็นผู้ชนะ
การเดิมพันสังเวียนนี้จึงมีความเสี่ยงมากกว่า
…..
“ถึงเวลาแล้ว เราขอเชิญผู้ประลองทั้งสองขึ้นเวที ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งสูงสุด หน้ากากดำ!”
พิธีกรตะโกนเสียงดังบนเวที ไม่นานชายกลางคนผิวคล้ำก็ก้าวขึ้นเวที
“ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งชั้นกลาง ราชันย์ดาบ”