World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 130.2 อัพเกรดระบบ (2)
“ฮิฮิ”
จ้าวเสวี่ยเหมยที่อยู่ในที่นั่งผู้ชมหัวเราะขึ้นมาทันที เธอพูดออกมาเบาๆ “ราชันย์ดาบ?”
หลู่เฟิ่งโหรวหัวเราะเบาๆ “ลูกไม้เล็กน้อย ราชันย์ดาบ แต่ไม่ใช้ดาบ? แต่มันอาจมีประโยชน์บ้าง บางคนก็โง่ที่เอาชื่อเล่นไปคิดจริงจัง”
“ไม่มีทาง”
“มีสิ เมื่อเธอเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ในอนาคต อย่าให้ความสำคัญกับชื่อเล่นนัก”
“หลัวอี้ชวนใช้หอกเก่งมาก แต่ไม่ได้แปลว่าเขาจะใช้อย่างอื่นไม่เป็น”
“เพลงหมัดมวยของราชสีห์ถังทรงพลังมาก แต่ไม่ได้แปลว่าฝีมือการใช้อาวุธของเขาจะอ่อนแอ มันเป็นแค่ความถนัดของเขา”
“ถ้าเธอคิดว่าเธอได้เปรียบหลัวอี้ชวนเพราะเขาไม่มีหอกมาด้วย เธอจะตายโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตายยังไง”
“จำไว้ แม้ว่าเด็กคนนี้จะกลัวตาย แต่เขาไม่ได้โง่ เมื่อเขาจนมุม เขาไม่อาจคาดเดาได้ เขาเอาเปรียบคนอื่นได้ แต่ใครจะเอาเปรียบเขาก็มีแต่ต้องฆ่าเขาเท่านั้น!”
จ้าวเสวี่ยเหมยพยักหน้าครุ่นคิด
…..
บนเวที
ฟางผิงหัวเราะอย่างไร้เดียงสาและพูดขึ้น “คุณลุง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมขึ้นสังเวียน ขอคำชี้แนะด้วย”
“ถ้าผมแพ้ ผมจะยอมรับความพ่ายแพ้ โปรดรั้งมือด้วย”
ชายกลางคนผิวคล้ำขมวดคิ้วตอบ “แล้วแต่สถานการณ์”
“คุณลุง มันเป็นแค่สังเวียนปกติ ผมคิดว่า…”
“เริ่ม!” กรรมการตะโกนก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค เขาไม่เปิดโอกาสให้มีการพูดคุยไร้สาระ
แม้ว่าฟางผิงจะพูดไม่หยุด แต่เมื่อเขาได้ยินว่า‘เริ่ม’ เขาก็ทะยานเตะใส่ชายกลางคนผิวคล้ำตรงๆ!
ครั้งนี้แทนที่จะเป็นลูกเตะเดียว ร่างกายของฟางผิงทะยานขึ้นกลางอากาศ ระดมเตะซ้ายขวาเป็นชุด!
หน้ากากดำยกแขนมาป้องกัน แต่ร่างกายเขาก็ถูกเตะจนเซไปข้างหลัง!
“เวรเอ้ย สวนกลับสิวะ!” ผู้ชมคนนึงตะโกนเสียงดัง ไม่มีใครคิดเลยว่าหน้ากากดำจะถูกบังคับให้ตั้งรับทันทีที่การประลองเริ่ม ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเขาถูกเด็กหนุ่มเตะใส่ไม่หยุด!
คนนึงเป็นขั้นหนึ่งสูงสุด อีกคนเป็นขั้นหนึ่งชั้นกลาง
พวกเขามีช่องว่างความแข็งแกร่ง หลายคนคิดว่าชายหน้ากากดำจะทุบตี‘ราชันย์ดาบ’จนคุกเข่ายอมแพ้ร้องขอความเมตตา!
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคาดหวังไว้
ฟางผิงเตะใส่คู่ต่อสู้มากกว่าสิบครั้ง เมื่อร่างกายเขาตกลงมาบนพื้น ฟางผิงก็ไม่ได้ล่าถอย แต่เป็นทะยานเข้าใส่ เขาตะโกน “ระวังขา” แต่กลับเงื้อมหมัดทุบใส่หัวคู่ต่อสู้!
หน้ากากดำหอบ รีบยกมือขึ้นมากัน
กำปั้นของฟางผิงทุบเข้าใส่คู่ต่อสู้จนอีกฝ่ายถอยกลับไปสองก้าว เมื่อระยะของทั้งสองเพิ่ม ฟางผิงก็ยกขาเตะเข้าใส่อีกครั้ง!
ปัง! ปัง!
เสียงปะทะกันดังขึ้นไม่หยุด
หน้ากากดำตั้งรับ คิดถึงหนทางตอบโต้ แต่ฟางผิงไม่ได้ใช้แค่เตะแล้ว ขาขวาเขาเหยียดตรง เสียงปะทุดังปังจากปลายเท้า เหวี่ยงขึ้นอากาศก่อนจะปะทะเข้าที่ไหล่ของหน้ากากดำ
แคร็ก!
ไหล่ของหน้ากากดำยุบลง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างหนัก เขากัดฟันตะโกน “ยอมแพ้!”
“ขอบคุณที่ชี้แนะ!”
ฟางผิงชักขากลับอย่างรวดเร็วและก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว เขายิ้มแล้วพูด “คุณลุง ขอบคุณที่ชี้แนะ”
ฮึ่ม!
ชายกลางคนแค่นเสียง เขาจับไหล่ก้าวลงจากเวที
เขาไม่คิดเลยว่าผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งชั้นกลางจะรีบเข้ามาโจมตีใส่
นอกจากนี้เขาไม่คิดเลยว่าลูกเตะจะทำร้ายไหล่เขาได้ เขาขัดเกลากระดูกแขนเสร็จแล้ว กระดูกไม่ได้เปราะบาง
การที่อีกฝ่ายทำให้กระดูกเขาบาดเจ็บได้แปลว่าปราณและเลือดอีกฝ่ายไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา ในเรื่องระเบิดพลัง อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ
ไม่งั้น การป้องกันของเขาคงไม่พังง่ายขนาดนี้
เมื่อมองเด็กหนุ่มอีกครั้ง เขาไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้แล้วว่าเด็กคนนี้น่าจะมาจากมหาลัยวิชายุทธ ถ้าพวกเขาประมือกันจนจบ โอกาสแพ้ของเขาก็มีสูงมากอยู่ดี
มันไม่ใช่สังเวียนเป็นตาย กระนั้นถ้าพวกเขาสู้กันต่อ การรักษาอาการบาดเจ็บจะเป็นเงินก้อนใหญ่
…..
ล่างเวที หลายคนสบถออกมา
หลู่เฟิ่งโหรวขมวดคิ้ว “มันไม่ช่วยเลย”
ฟางผิงแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้มาก ไม่ว่าจะเป็นด้านวิชาต่อสู้ จวงกงหรือปราณและเลือด ทุกอย่างล้วนเหนือกว่า สิ่งเดียวที่เขาแพ้อีกฝ่ายคือจำนวนการขัดเกลากระดูก
เมื่อฟางผิงบุกโจมตี คู่ต่อสู้ไม่มีเวลาสวนกลับด้วยซ้ำ
ฟางผิงชนะได้ในเวลาไม่ถึงนาที
การประลองแบบนี้แทบไม่มีความหมายต่อเขาเลย
“น่าเสียดายเด็กคนนี้กลัวตาย ไม่งั้นเขาอาจลองขึ้นสังเวียนเป็นตายก็ได้”
“แต่ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องรีบ เพราะเขายังไม่ถึงขั้นหนึ่งสูงสุดเลย เวลานี้ควรให้ความสำคัญกับการขัดเกลากระดูกเป็นหลัก”
หลู่เฟิ่งโหรวส่ายหน้าเบาๆ แต่จ้าวเสวี่ยเหมยกำลังดูด้วยสายตาชื่นชม
“ฟางผิงแข็งแกร่งกว่าฉันมาก ปราณและเลือดเขา…บางทีน่าจะ 300แคลใช่ไหมคะ?”
“ฉันไม่รู้ น่าจะปรมาณนั้น”
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้ถามเรื่องนี้กับฟางผิง แต่ฟางผิงขัดเกลาสามครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ถึง 300แคล แต่อย่างน้อยก็น่าจะถึง 280แคล
…..
ฟางผิงพบว่าสังเวียนปกติค่อนข้างง่าย แต่มันทำให้เขามีความสุขมาก ประเด็นหลักไม่ใช่เพราะเขาชนะ แต่เป็นเขาทำเงินได้มากมาย!
รอบนี้เขาทำเงินได้ง่ายมาก เนื่องจากมันเป็นครั้งแรกของเขา ผู้คนของสนามประลองจึงไม่คุ้นเคยกับความแข็งแกร่งของเขา เพราะงั้นอัตราต่อรองของเขาจึงเป็นหนึ่งต่อสาม
อย่างไรก็ตามครั้งถัดไปอัตราต่อรองจะไม่ดีแบบนี้อีก ไอรีนโนเวล
ฟางผิงเดิมพันข้างตัวเองหนึ่งล้าน ได้รับกลับมาสามล้าน บวกกับเงินโบนัสชนะประลอง 50,000 หยวน ในหนึ่งนาที เขาได้รับเงินมา 2.05 ล้าน!
เวลานี้ มันเป็นครั้งแรกเลยที่ค่าทรัพย์สินของฟางผิงเกิน 10 ล้านหยวนอย่างเป็นทางการ!
คืนก่อนเขาพึ่งฝึกฝนประจำวันและหยุดพักหลังใช้ค่าทรัพย์สินไปประมาณ 50,000 หยวน
ค่าทรัพย์สินเขามีเกือบ 8 ล้าน แต่บวกเพิ่มไปอีก 2 ล้านตอนนี้ เขามีค่าทรัพย์สินถึง 10 ล้านแล้ว!
หลังค่าทรัพย์สินถึง 10 ล้าน ฟางผิงพบว่าระบบเริ่มอัพเกรดตัวเอง!
มันเป็นเหมือนครั้งก่อน หน้าจอดับลงกะทันหัน พริบตาค่าสถานะใหม่ก็ปรากฏ!
…..
ทรัพย์สิน : 10,010,000
ปราณและเลือด : 267แคล (289แคล)
จิตใจ : 241เฮิรตซ์ (249เฮิรตซ์)
ขัดเกลากระดูก : 40 ชิ้น (90%) 166 ชิ้น (30%)
มีค่าสถานะใหม่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งค่า มันเป็นความคืบหน้าขัดเกลากระดูก สายตาของฟางผิงสั่นไหว แปลว่าเขาเพิ่มความคืบหน้าขัดเกลากระดูกได้โดยตรงเลยงั้นเหรอ? เพราะจำนวนขัดเกลากระดูกยังไงเขาก็รู้อยู่แล้ว
หลังพยายามตั้งสมาธิเพิ่มความคืบหน้าขัดเกลากระดูกในใจ วิสัยทัศน์ของฟางผิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย!
ตอนนี้ข้อมูลขัดเกลากระดูกเปลี่ยนไปแล้ว
ขัดเกลากระดูก : 40 ชิ้น (ความคืบหน้า 90%) 1ชิ้น (31%) 165 ชิ้น (30%)
“มันได้ผลจริงๆ!”
ฟางผิงยินดีมาก เขาขัดเกลากระดูกได้ตรงๆเลยเหรอ?
แต่ไม่นาน ฟางผิงก็หน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง!
ค่าทรัพย์สินเขาลดลง 10,000!
ความคืบหน้า 1% ลดค่าทรัพย์สินเขาลงไป 10,000!
จากการคำนวณ ถ้าเขาอยากขัดเกลากระดูก 90% เขาต้องใช้ค่าทรัพย์สินถึง 600,000 แต้ม!
ปัจจุบัน เขายังมีกระดูก 22 ชิ้นที่ยังไม่ได้ขัดเกลา 90% ซึ่งเป็นมาตรฐานของขั้นหนึ่งสูงสุด
พูดอีกนัยนึง เขาต้องใช้ค่าทรัพย์สินอย่างน้อย 13.2 ล้าน!
ถ้าเขาฝึกฝนเองโดยใช้ปราณและเลือด เขาไม่ต้องใช้มากขนาดนั้น อย่างมากเขาต้องใช้ค่าทรัพย์สินครึ่งเดียว นั่นคือ 6 ล้าน
“สรุป ฉันโกงได้ แต่ฉันต้องใช้ค่าทรัพย์สินเพิ่ม?”
ฟางผิงรู้สึกไร้อำนาจ เขามีค่าทรัพย์สินสิบล้าน แต่ใช้เวลานานกว่าจะสะสมมาได้
สุดท้าย มันก็ไม่พอให้เขาไปถึงขั้นหนึ่งสูงสุด
“ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันควรฝึกฝนเองให้มากที่สุดเพื่อลดการใช้ค่าทรัพย์สิน”
“แต่พอถึงช่วงจำเป็นจริงๆ ฉันค่อยเพิ่มมันตรงๆ”
หลังคิดได้ ฟางผิงก็ละทิ้งความคิดเพิ่มความคืบหน้าตรงๆ อย่างน้อยก็ตอนนี้น่ะนะ เพราะความคืบหน้าขัดเกลากระดูกของเขาเร็วอยู่แล้ว
ถ้าเร็วกว่านี้อีก หลู่เฟิ่งโหรวคงอยากจับเขาเข้าห้องทดลอง
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามันผลาญค่าทรัพย์สินมากไป มันมากเป็นสองเท่า
“มันเป็นการผลักดันฉันให้หาเงินให้มากขึ้นใช่มั้ย?”
ฟางผิงถอนหายใจ โกงด้วยระบบมันก็ดี แต่ค่าทรัพย์สินหายากมาก แต่ถูกใช้หมดเร็วขึ้นเรื่อยๆ
“นอกจากนี้…มันอาจมีข้อจำกัด เหมือนกับปราณและเลือดที่ฉันเคยเพิ่ม เมื่อปราณและเลือดเพิ่มขึ้น มันจะเพิ่มขึ้นได้ตรงๆ แต่ต่อมาต้องบ่มเพาะกระดูกและเลือดเนื้อด้วย”
“กระดูกก็อาจเหมือนกัน ถ้าเพิ่มขึ้นตรงๆ ฉันเกรงว่ามันอาจเกี่ยวข้องกับความทนทานของร่างกาย”
“อย่างน้อยที่สุด ความแข็งแกร่งของร่างกายต้องตามทัน เดาได้โดยไม่ต้องคิดเลย ระบบคงไม่ใจดีถึงขนาดยอมให้ฉันพัฒนาไปจนถึงขั้นสามสูงสุดตรงๆในข้ามคืน”
ฟางผิงก่นด่าในใจ เขาไม่คิดว่าเขาจะคิดผิด ไม่งั้นถ้าเขาเพิ่มความคืบหน้าทั้งกระดูกแขนขาและลำตัวถึง 90% มันก็แปลว่าเขาจะก้าวขึ้นเป็นขั้นสามสูงสุดทันทีงั้นเหรอ?
มีโอกาสมากกว่าที่จะมีข้อจำกัดในแง่อื่นๆ
‘อย่าลองตอนนี้เลย ไว้ค่อยคิดทีหลัง กลับกันฉันสงสัยว่าฉันจะเพิ่มระดับไปจนถึง 100% ได้ไหม?’
ขณะที่เขาคิดกับตัวเอง ฟางผิงก็นึกถึงหลู่เฟิ่งโหรวและคนอื่นๆได้
หลังลงจากเวที ฟางผิงก็เดินตรงไปมารับรางวัล แต่ดันลืมทักทายพวกเขา